จับชน !! PPV 4×4 คันไหนแน่ ยี่ห้อไหนเจ๋ง มาดูกัน

 

บททดสอบจาก : GPINEWS

มากันอีกแล้วกับการจับรถยนต์ในเซ็กเม้นท์เดียวกัน มาเทียบกันให้เห็นๆเลยว่าคันไหนเจ๋งกว่ากัน จากครั้งที่แล้วเราได้จับรถกระบะขับ2 ยกสูงมาวัดกันให้เห็นกันไปแล้ว งานนี้เอาใหม่เราจับเอารถยนต์เซ็กเมนท์ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ อย่างรถยนต์อเนกประสงค์ PPV หรือรถกระบะดัดแปลงนั้นเอง ซึ่งรถยนต์ประเภทนี้กำลังได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในบ้านเรา ด้วยราคาที่พอรับได้ไม่แพงเกินไป รูปทรงรูปลักษณ์ที่สวยงามสะดวกนั่งสบายขนของขนคนได้เยอะ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าจะซื้อคันไหนดี ยี่ห้อไหนมันดีกว่ากัน แต่ละรุ่นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป มาดูข้อมูลกันแล้วคันไหนจะโดนใจคุณ “คุณคือคนตัดสิน…”

 

เมื่อดูการออกแบบภายนอกของทั้ง 4 รุ่น ดูเหมือนเจ้าเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ จะเสียเปรียบที่สุดเพราะเป็นตัวที่ยังใช้การปรับโฉมเล็กน้อยและได้ทำตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว จึงจะดูตื่นเต้นน้อยกว่าตัวอื่น แต่ภายนอกก็ยังดูบึนบึนดุดันไม่เชยยังพอเค้ากับสมัยนิยมได้อยู่ ในเรื่องของความสดใหม่ และความหวือหวาอาจจะสู้รถทั้ง 3 ยี่ห้อที่เพิ่งออกมาใหม่ไม่ได้ แต่เรามาลองมองดูอีกมุม การออกแบบของเจ้าเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ คันนี้ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระจังหน้าแบบสองชั้นและโลโก้โบว์ไทขนาดใหญ่ตรงกลางทำให้รถดูดุดัน บึกบึน เส้นสายด้านข้างดูแข็งแกร่ง ขณะที่ด้านหลังใช้ไฟท้ายแอลอีดีเพิ่มทัศนวิสัยบนท้องถนนให้มองเห็นได้ชัดขึ้นโดยเฉพาะในสภาวะที่มีแสงน้อยโดยรวมถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่แข่งอีก 3 รุ่นได้แต่ได้ข่าวมาว่าเร็วนี้จะมีการไมเนอร์เชจน์แล้วแฟนคลับเชฟโรเลต อดใจรอเลยครับ

 

ในขณะที่ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ รอบนี้เปลี่ยนภาพลักษณ์โดยสิ้นเชิงจากออกแนวสปอร์ต รุ่นนี้เน้นออกแนวไฮโซเรียบหรูดูดีมีชาติตระกูลไม่น้อย มามองที่ด้านหน้าดูเหมือนรถ SUV ระดับหรูเลยทีเดียวด้วยไฟหน้า Bi-Beam LED ที่ดูโฉบเฉี่ยวหรูหรารับกับกระจังหน้าและกันชนหน้าได้อย่างลงตัว ส่วนด้านข้างจะเป็น  3 Iconic Line นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของรถรุ่นนี้ ประกอบด้วยแนวเส้นหลังคา, แนวเส้นขอบกระจกและแนวเส้นที่ตัวถัง ทั้งหมดนี้รวมกันให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยว หรูหรามากยิ่งขึ้น และยังใช้เป็นโลโก้ที่สื่อถึงรถรุ่นนี้อีกต่างหาก โป่งล้อหน้าและหลังมีขนาดใหญ่ ให้มุมมองที่ดุดัน กันชนท้ายดูสปอร์ตและลงตัวเสริมความเท่ห์ด้วยไฟท้าย LED Light Guiding ทรงแบนกว้างดูปราดเปรียว มองเห็นได้จากระยะไกลช่วยให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าสามารถตั้งปรับระดับได้ เรียกได้ว่าใครชอบแนวหรูหราดูไฮโซต้องฟอร์จูนเนอร์เลยครับ ส่วนใครที่ชอบออกแนวสปอร์ต โฉบเฉี่ยวดูวัยรุ่นหน่อยต้องคันนี้เลย

 

มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ใหม่ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าสปอร์ต รูปร่างหน้าตาออกแบบมาได้โฉบเฉี่ยว สปอร์ตสมชื่อมาพร้อมไฟหน้าแบบ Bi-LED โปรเจคเตอร์ที่ปรับไฟสูง-ต่ำด้วยชุดโคมเดียวกัน พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ และDaytime Running Light แบบ LED ตัวไฟหน้ายังสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติตามสภาพแสงภายนอกด้านข้าง ดูบึกบึน แข็งแรง ด้วยซุ้มล้อและโป่งขนาดใหญ่แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวลด้วยเส้นโค้งต่างๆที่เห็นเด่นสะดุดตาไม่แพ้ด้านหน้าก็คงเป็นไฟท้ายแบบ LED ที่ออกแบบให้ดูแปลกตาผู้พบเห็น ด้วยดีไซน์แนวตั้งที่ลากยาวจากด้านบนลงมาด้านล่างให้ดูเรียวเล็ก รวมถึงติดตั้งไฟเบรกแบบ LED ทรงสี่เหลี่ยมช่วยเพิ่มเอกลักษณ์ให้กับปาเจโร สปอร์ตคันนี้ ฝาท้ายไม่เปิดอัตโนมัตินะครับ แหมมน่าจะมีสปอยเลอร์อีกสักชิ้นก็คงจะแจ่มไม่เบา มาดูรถฝั่งอเมริกันกันบ้างถ้าใครชอบแนว แข็งแกร่ง บึกบึน ดุดัน ออฟชั่นเยอะต้องนี้เลย

 

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รูปร่างหน้าตาใหญ่โต บึกบึน ดุดัน แข็งแกร่ง ออกแนวเหลี่ยมๆสไตล์อเมริกัน กระจังหน้ารูปหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ บงบอกความเอกลักษณ์ของฟอร์ดได้อย่างลงตัว เสริมความดุดันด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ล้อมด้วยไฟเดย์ไลท์ LED ด้านล่างเป็นกันชนสีเทาแบบ 3 มิติ และไฟตัดหมอก ตัวถังรถขนาดใหญ่โดดเด่นมากเมื่อขับขี่บนท้องถนน ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วดีไซน์ดุดันเข้ากับตัวรถ ด้านหลังไฟท้าย LED สว่างเด่นชัดเชื่อมต่อกันด้วยเส้นแถบโครเมียมขนาดพอเหมาะ และชุดกันชนหลังที่ออกแบบเสริมความดุดันในสไตล์รถครอสโอเวอร์ คันนี้คงโดนใจคุณผู้ชายขาลุยแน่นอน

การออกแบบภายในดูเหมือนแต่ละค่ายก็งัดไม้เด็ดกันออกมาโชว์กันอย่างเต็มที่ เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ เรียกได้ว่าตอนที่ออกมาใหม่ๆ ในช่วงนั้นดูหรูหรา แปลกตา ทันสมัยกว่ารถPPVของค่ายอื่นๆในขณะนั้น ด้วยแผงคอนโซลกลางสีดำเงา หรือ Piano Black Console เบาะหนังสีน้ำตาลปรับด้วยระบบไฟฟ้า ห้องโดยสารกว้างขวางรองรับการใช้งานแบบรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ระบบเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ครบครันด้วยอุปกรณ์เสริมต่างๆ ตอบสนองการใช้งานได้เต็มรูปแบบ ภายในกว้างขวาง สะดวกสบายด้วยเบาะตอนที่ 2 และ 3 ที่สามารถปรับพับราบได้ เพิ่มพื้นที่อเนกประสงค์ในการเก็บสัมภาระได้ตามต้องการ

ส่วนเจ้าโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ครั้งนี้มาสไตล์หรูหราไฮโซ ภายในออกแบบใหม่ให้อารมณ์เหมือนรถยนต์ เอสยูวี หรูหรา ซึ่งต่างจาก รถยนต์ พีพีวี ทั่วไป โดยมีการออกแบบตกแต่งด้วยหนังสีน้ำตาลอ่อนช่วยเพิ่มความหรูหราเบาะคู่หน้านั่งสบาย ฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง  ในส่วนของคอนโซลหน้าทั้งหมดดูหรูหราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดีไซน์สวยงามลงตัว มาตรวัดเรืองแสงที่ดีไซน์ให้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว ใช้งานได้สะดวกสบายขึ้น และยังมาพร้อมหน้าจอระบบทัชสกีนขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง DVD และระบบเชื่อมต่อ บลูทูธ USB iPod AUX พร้อม เบาะแถว 2 นั้งสบายปรับเอนได้หลับพริ้วเลยครับ แต่ที่วางแก้วน้ำตรงด้านข้างประตูจะมีไว้ทำอะไร เพราะเมื่อเอาแก้วน้ำใส่ลงไปแล้วปิดประตู มันไม่สามารถดึงแก้วน้ำออกได้ด้วยมือเดียวเพราะมันติดเบาะ เห็นแล้วขำต้องใช้สองมือช่วยกันงัดแงะประคองแก้วออกมาลำบากไปมั้ย ใครออกแบบแก้ไขด่วน เบาะแถว 3 ยังคงพับขึ้นด้านข้างเหมือนรุ่นเดิม กินเนื้อที่สุดๆ โตโยต้าบอกว่าที่ไม่ออกแบบเบาะแถว 3 ให้พับราบไปกับพื้นเพราะรถรุ่นนี้เน้นการโดยสารเป็นหลักจึงต้องออกแบบให้โดยสารได้อย่างปลอดภัยโครงสร้างเบาะต้องให้มีความแข็งแรงปลอดภัยเมื่อเกิดการชนเมื่อตัวเบาะมีความหนาจึงพับราบกับพื้นไม่ได้ แหมม คนอื่นเค้าผับเรียบกันหมดแล้วเฮีย ไม่ต้องกลัวร้อนนะครับ เพราะมีแอร์บริเวณที่นั่งแถว 2 และ3 ใครชอบแนวหรูหรา ไฮโซต้องฟอร์จูนเนอร์เลยครับตอบโจยท์สุดๆ

แต่ถ้าวัยรุ่นชอบแนวสปอร์ต ต้องคันนี้เลย มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต เพราะภายในเค้าคุ้มโทนด้วยสีดำดูเข้มเพิ่มความสปอร์ตได้ดีทีเดียว ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยโทนสีดำ พร้อมการตกแต่งแบบสีเงิน ซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น ผสมผสานกับสีดำแบบ Piano Black ที่บริเวณแผงคอนโซลหน้า แผงประตู และคอนโซลกลาง ล้ำสมัยด้วยการออกแบบคอนโซลแบบทีเชพ-ไฮคอนโซล (T-Shape High Console) ด้วยการยกคอนโซลกลางให้สูงขึ้นเพิ่มความหรูหราและสะดวกในการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ทั้งเกียร์ ปุ่มปรับเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (เฉพาะรุ่น GT- Premium)  และปุ่มเบรกมือไฟฟ้า (ครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์มิตซูบิชิ)พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ 4 ก้าน สามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ บนพวงมาลัย ขณะที่มาตรวัดความเร็วและความเร็วรอบดูง่ายชัดเจนพร้อมจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ (Multi-information display)  ที่แสดงผลข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ระยะทางขับขี่ที่เหลือจากปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ในถัง รวมถึงแสดงการขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในสภาพพื้นผิวถนนที่แตกต่างกันเมื่อเลือกโหมดการขับขี่แบบออฟโรดเบาะนั่งได้รับการออกแบบใหม่ (ergo seat design) ให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งมากยิ่งขึ้น โดยคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ในขณะที่เบาะนั่งแถวที่สองสามารถแยกพับแบบ 60:40 ซึ่งพนักพิงสามารถปรับเอนและพับไปข้างหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน  ส่วนเบาะนั่งแถวที่สามสามารถแยกพับให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสารเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น

ส่วนความเท่ห์บึกบึนต้องเจ้านี่เลยครับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ภายในห้องโดยสารใหญ่โตกว้างขวาง เสริมความหรูหราด้วยการใช้สีโทนสีเบจ แต่ผมว่ามันจะสกปรกง่าย และทำความสะอาดยากไปหน่อย มีภายในสีเทาดำแต่ยังไม่ขายบ้านเรา ภายในมีพื้นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีเบจ ดูสว่างและสบายตา เบาะนั่ง 3 แถว โดยเบาะแถวที่ 2 พับแบบ 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 พับแบบ 50:50 สามารถพับด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งเมื่อพับทั้งหมดแล้วจะมีพื้นที่เก็บของมากถึง 2,010 ลิตร เลยทีเดียว แถมประตูหลังยังเปิดขึ้นลงด้วยระบบไฟฟ้า ใช้งานง่ายสะดวกสบาย คอนโซลหน้าใช้วัสดุคุณภาพดีมาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบปฏิบัติการ Ford SYNC 2 รองรับคำสั่งเสียงได้ดีและฉลาด ใช้งานง่ายกว่ารุ่นเก่าอย่างเห็นได้ชัด ออฟชั่นเพียบจริงๆครับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้ายขวาและระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเย็นสบายทั่วทั้งคันไม่มีร้อน และพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นรองรับการทำงานของระบบอินโฟเทนเม้นท์เต็มรูปแบบ อันนี้ต้องขอชมหน่อย นอกจากใช้แบบมัลติฟังก์ชั่นได้แล้ว น้ำหนักของพวงมาลัยยังสามารถปรับน้ำหนักตามว่าเร็วได้อีกต่างหากใช้งานได้ดีมากครับ ไม่หนัก และไม่เบาจนเกินไป ทำให้ขับง่ายขึ้นเยอะ มาตรวัดออกแบบใหม่โดยเป็นเข็มวงกลมพร้อมหน้าจอแสดงผลคู่ ให้ข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน ด้านบนหลังคาเป็น Panoramic Moonroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แต่ไม่มีกันหนีบให้นะครับน่าจะมีให้ซะหน่อยนะครับใส่ของมาให้เยอะซะขนาดนี้แล้ว

 

เอาละทราบข้อมูลภายนอกภายในกันคร่าวๆไปแล้วเรามาดูตอนขับมั้งดีกว่าว่าแต่ละคันเป็นอย่างไร ต้องขอบอกเลยว่าการทดสอบในครั้งนี้เราใช้การขับแบบใช้งานจริง ไม่มีปั้นตัวเลข ขับปกติทั่วไปมีเร่งแซง ขับเร็ว ขับช้า โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพ – เขาใหญ่  เริ่มจาก เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ ตัวนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลดูราแม็กซ์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 200 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ซึ่งนับว่าแรงม้าเยอะทีเดียวทำงานผสานกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะได้อย่างลงตัวไหลลื่นนุ่มนวลดีครับ มีความคล่องตัวพอสมควรเมื่ออยู่ในเมืองแต่จะรู้สึกเหนื่อยหน่อยเพราะน้ำหนักของพวงมาลัยมันหนักไปนิดสำหรับใช้งานในเมือง แต่ถ้าอยู่นอกเมืองใช้ความเร็วสูงไม่มีปัญหาครับ อัตราเร่งช่วงอออกตัวอาจจะไม่จื๊ดจ๊าดทันใจวัยรุ่นเท่าไหร่นักแต่ช่วงกลางขึ้นไปใช้ได้ทีเดียวครับขับสนุก เร่งแซงไม่มีปัญหาไม่ต้องออกแรงในการเร่งเค้นเครื่องยนต์มากมายนัก หลายๆครั้งที่ต้องเบรกกะทันหันการไต่ระดับความเร็วขึ้นไปอีกครั้งต้องใช้เวลานิดนึง และถ้ากดคันเร่งแบบรวดเร็วเสียงเครื่องยนต์ดังมากทีเดียว       เทรลเบลเซอร์ ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังโฟร์ลิงก์ คอยสปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ไม่นุ่มเหมือนเอสยูวีพื้นฐานรถเก๋ง แต่ได้ความแข็งแรงหนักแน่นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะเมื่อขับลุยทางออฟโรดส่วนบนทางเรียบก็มีความนุ่มนวลนั่งสบายพอตัว ไม่พบอาการดีดเด้งเหมือนในปิกอัพ การเค้าโค้งด้วยความเร็วก็ทำได้อย่างมั่นใจ แน่น หนึบดี ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ยังคงไว้ใจได้ สร้างแรงดึงได้อย่างเหลือเฟือเมื่อเบรกฉุกเฉิน มาพร้อมตัวช่วยมทั้งการทรงตัวและการเบรก เช่น ABS ป้องกันล้อล็อก, EBD กระจายแรงเบรก, PBA ช่วยเบรกกะทันหัน, HBA ช่วยเพิ่มแรงเบรก, ระบบควบคุมความเร็วเมื่อลงทางลาดชัน HDC, ระบบป้องกันรถไหลเมื่อออกตัวบนทางลาดชัด HSA, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP และระบบช่วยเบรกขณะเข้าโค้ง CBC

ส่วนทางด้านเจ้า โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1GD-FTV มีความจุ 2,800 ซีซี ฝาสูบแบบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน VN Turbo 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที บล็อกเดียวกับปิกอัพรีโว่แต่ปรับจูนกล่อง ECU ใหม่เพื่อให้เข้ากับตัวรถ ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะทำงานผสานกันได้อย่างนุ่มนวล และต่อเนื่องอัตราเร่งช่วงความเร็วต่ำทำได้ดีกดไปเพลินๆความเร็วไปแตะที่ 150 กม./ชม.ไปแบบไม่ยากเย็น ขับสบายกว่าเทรลเบลเซอร์ครับ แถมเป็นรถที่รอบเครื่องยนต์ต่ำดี อย่างนี้ประหยัดแน่นอนวิ่งที่ความเร็ว 140 กม.ต่อชม.ใช้รอบเพียง 2,000 รอบต่อนาทีเอง การเร่งแซงก็ทำได้แบบสบายๆกดคันเร่งลงไปแซงได้แบบไม่ต้องลุ้นกำลังเหลือเฟือแซงแบบสบายๆ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทำงานได้ต่อเนื่องและนุ่มนวล ลองเล่น Paddle Shift กันหน่อยใส่เกียร์ไปที่ตำแหน่ง S จะให้อัตราเร่งที่ทันใจขับสนุกและเปลี่ยนเกียร์ง่ายเพราะตัว Paddle Shift ติดอยู่ที่พวงมาลัยจึงหมุนตามเวลาเลี้ยว ไม่เหมือนกับทาง ปาเจโร่ สปอร์ต ที่ติดอยู่กับคอพวงมาลัยไม่หมุนตามเปลี่ยนเกียร์ลำบาก ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดีทีเดียวแม้ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง แต่เมื่อลากรอบสูงหรือจังหวะเร่งแซงจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างชัด มีความคล่องตัวสูงขับง่ายเมื่ออยู่ในเมื่อที่มีการจราจรที่คับคลั่ง สามารถลัดเลาะไปตามช่องว่างได้แบบสบายๆ แถมเจ้าฟอร์จูนเนอร์มีโหมดในการขับให้เลือกใช้ โหมด ECO ให้เลือกใช้เมื่อวิ่งในเมือง และเมื่อต้องการความสนุกก็มีโหมด PWR ให้ได้สนุกกัน ครบจริงครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบโฟร์ลิงค์คอยล์สปริง และเหล็กกันโครง ให้ความนุ่มนวล นั้งสบาย แต่ไม่ถึงกับนิ่มจนย้วย แทบไม่เหลือความรู้สึกของความเป็นปิกอัพให้สัมผัสเลย ดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดีกระชับไม่ยวบย้วย ขับบนทางตรงยาวๆได้อย่างมั่นใจ แน่นหนึบ แต่บางจังหวะลมแรงมีโยนตัวเหมือนกัน ลองเข้าโค้งด้วยความเร็วค่อนข้างสูงมีท้ายยวบไปบ้างเล็กน้อย เพราะช่วงล่างปรับให้นุ่มนวลเพื่อให้นั่งสบาย พวงมาลัยน้ำหนักดี เฉียบคม ควบคุมง่าย ระบบเบรกหน้าดิสก์ หลังดรัม แต่ก็สามารถหยุดรถได้อย่างนุ่มนวล แต่เจ้าคันนี้เป็นคันเดียวที่ยังใช้เบรกหลังเป็นดรัมเบรกอยู่ส่วนยี่ห้ออื่นเค้าไป ดิสก์ 4 ล้อกันแล้ว

มาถึงเจ้า มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต กันบ้างเครื่องยนต์รุ่นเดียวกันรหัส 4N15 แบบดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบบแปรผันวาล์วไอดี MIVEC เทอร์โบแปรผัน VG Turbo พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มีความจุ 2,442 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 43.81 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะเกียร์ใหม่ แถมเยอะกว่าเพื่อนอีกประหยัดน้ำมันแน่นอนดีทีเดียวครับ อัตราเร่งถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรหรือ 3.0 ลิตรเลยครับ ผมว่าออกตัวดีกว่ายี่ห้ออื่นๆด้วยซ้ำ สามารถไล่ไปถึงความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้โดยไม่ต้องรีดเค้นเครื่องยนต์ และไม่ต้องลากรอบสูงมาก แค่กดคันเร่งลึกๆความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะไม่ดึงแบบหวือหวาแต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มีการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและนุ่มนวล ทั้งในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลง ทั้งในโหมดเกียร์ D และ Sport Mode ที่สามารถเข้าได้ทันทีเพียงดึง Paddle Shift หลังพวงมาลัย หรือจะผลักคันเกียร์ไปทางซ้ายก็ได้ เมื่ออยู่ในโหมดนี้เกียร์จะไม่เปลี่ยนขึ้นสูงให้ และคิ๊กดาวน์เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำไม่ได้ ต้องใช้การโยกคันเกียร์หรือดึง Paddle Shift เท่านั้น

ระบบกันสะเทือนรูปแบบเดิมกับรุ่นก่อนหน้า ด้านหน้าอิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง 3 ลิงก์ ทอร์คอาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ปรับเซตใหม่เพิ่มความนุ่มนวลยิ่งขึ้นด้วยการเปลี่ยนช๊อกแอ็บซอร์เบอร์กระบอกใหญ่ขึ้น และใช้สปริงที่มีความแข็งลดลง ใช้เหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ขึ้น นุ่มนวลกว่ายี่ห้ออื่นครับ นุ่มสุดๆ ผมว่ามันนุ่มนิ่มจนย้วยละครับ มันเยอะไปๆ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) ระบบเบรกดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ มีการทำงานที่ฉับไวและสัมพันธ์กับน้ำหนักในการกดแป้นเบรก ช่วยให้เบรกได้อย่างนุ่มนวล และมีแรงดึงที่เหลือเฟือสามารถหยุดรถได้อย่างมั่นใจ พวงมาลัยเพาเวอร์เบาแรงที่ความเร็วต่ำส่วนที่ความเร็วสูงยังรู้สึกว่าเบาไปนิด แต่ยังไม่ถึงกับต้องประคองพวงมาลัยเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ใครชอบรถที่นุ่มนวลชวนฝันต้องเจ้านี่เลย

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ คันสุดท้ายที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาทีการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดมีอาการหน่วงๆในช่วงออกตัว แต่ก็ไม่ถึงกับอืดหนืดพอได้อยู่ครับความเร็วปลายก็ไหลดีขับสนุก อัตราเร่งดีมากทีเดียวครับขับสนุกรวดเร็วทันใจ การเร่งแซงก็ไม่มีปัญหาสบายๆ เดินทางไกลขึ้น-ลงเขาสบายๆ  รถคันใหญ่และวิ่งได้ขนาดนี้ผมยกนิ้วให้เลยครับ การขับในตัวเมืองอาจจะมุดไปตามช่องไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นักเพราะด้วยขนาดรถที่ใหญ่ แต่ขับง่ายเพราะมีพวงมาลัยที่ยอดเยี่ยมจับถนัดกระชับมือ สามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักได้ตามความเร็วทำให้ขับง่ายขึ้นเยอะ

ช่วงล่างระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น ดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง หนึบ นุ่ม ดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี โดดคอสะพานก็ไม่มีปัญหา หรือจะเค้าโค้งด้วยความเร็วก็ยังคงมั่นใจแถมมีพวงมาลัยที่ดีคุมง่ายเฉียบคม ยิ่งขับสนุกกันไปใหญ่ ใครชอบความบึกบึน โหด เท่ห์ ขับสนุก ไม่สนเรื่องน้ำมัน ต้องเจ้านี่เลย

สรุป

FORTUNER เป็นรุ่นที่มีความสดใหม่เปิดตัวก่อนไม่นาน PAJERO SPORT ไม่นานถือเป็นรถที่มีรูปโฉมทันสมัย โดยเฉพาะจุดเด่นที่ภายในที่ค่อนข้างหรูหรา และมีความสะดวกสบายกว่ารุ่นอื่นๆ ที่สำคัญมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างกว่าทุกรุ่นที่นำมาทดสอบ เข้าแนวทางรถยนต์อเนกประสงค์อย่างชัดเจน

PAJERO SPORT มีดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวไม่แพ้ใครเช่นกัน มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน และที่สำคัญแม้เครื่องยนต์จะมีความจุในบล็อก 2.4 ลิตร แต่มีระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดทำให้เรื่องของอัตราเร่งทันอกทันใจตอบสนองไวกว่ารุ่นอื่นๆ ยิ่งมีการปรับเปลี่ยนช่วงล่างใหม่ ทำให้เป็นรถที่ช่วงล่างนิ่มนวลสุดในจำนวนรถทั้งหมดที่นำมาทดสอบในครั้งนี้

TRAILBLAZER กับข้อแม้ที่มันออกมาก่อนความใหม่ สด คงไม่เท่าคนอื่นแต่ส่วนประกอบแล้วมันไม่ได้หนีกันสักเท่าไหร่ในเรื่องของการใช้งานหลักๆ อย่างที่ว่ากันมันเป็นรุ่นที่มีการติดตั้งดิสก์เบรกหลังมาให้ก่อนใคร เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรที่มีแรงบิดสูงสุด ครองตำแหน่งแชมป์อันดับ 1 แห่งความประหยัดในทริปการทดสอบนี้ แต่เรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยอาจจะตามเขาอยู่ด้วยประเด็นนั้น

EVEREST รักษาแนวทางของตัวเองตั้งแต่การออกแบบ ความดุดันแข็งแกร่งถูกสื่อสารออกมาในทุกรายละเอียด ถึงจะมีการบริโภคเชื้อเพลิงที่มากกว่า แต่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอันทันสมัย มันสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนทั้งการขับขี่ทางเรียบและออฟโรด สิ่งที่มันมีทำให้เรื่องยากการเป็นเรื่องง่ายในเรื่องของการลุย อีกทั้งความสดใหม่ก็ไม่หนีห่างแถมเป็นรุ่นที่โมเดล เชนจ์เช่นเดียวกันกับ FORTUNER และ PAJERO SPORT

ตารางอัตราสิ้นเปลือง

CHEVROLET TRAILBLAZER…12.60 กม./ลิตร

FORD EVEREST…8.61 กม./ลิตร

MITSUBISHI PAJERO SPORT…10.98 กม./ลิตร

TOYOTA FORTUNER…11.09 กม./ลิตร

 

ตัวเลขระยะต่างๆ ของห้องโดยสารภายในแต่ละรุ่น

CHEVROLET TRAILBLAZER…

-เบาะหน้า ปรับสูง-ต่ำ

แถวที่ 1 ผู้ขับขี่ 36.5/35 , ผู้โดยสาร 35/34

แถวที่ 2 …สูง 36.5 / กว้าง 18 / ยาว 49.5

แถวที่ 3…สูง 34 / กว้าง 16 / ยาว 38

FORD EVEREST…

-เบาะหน้า ปรับสูง-ต่ำ

แถวที่ 1 ผู้ขับขี่ 35/32 , ผู้โดยสาร 35.5/32.5

แถวที่ 2 …สูง 34 / กว้าง 18.5 / ยาว 49

แถวที่ 3…สูง 33.3 / กว้าง 17 / ยาว 40.5

 

MITSUBISHI PAJERO SPORT…

แถวที่ 1 ผู้ขับขี่ 36/33 , ผู้โดยสาร 36/33

แถวที่ 2 …สูง 35.5 / กว้าง 18 / ยาว 49

แถวที่ 3…สูง 34.5 / กว้าง 17 / ยาว 38

TOYOTA FORTUNER…

แถวที่ 1 ผู้ขับขี่ 38/35 , ผู้โดยสาร 36 (ไม่ปรับสูงต่ำ)

แถวที่ 2 …สูง 36 / กว้าง 18 / ยาว 52

แถวที่ 3…สูง 33 / กว้าง 17.5 / ยาว 48

 

ข้อมูลเครื่องยนต์

CHEVROLET TRAILBLAZER 

ความจุ 2,776 ซี.ซี. แรงม้าสูงสุด 200 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที

www.chevrolet.co.th

FORD EVEREST

ความจุ 3,198 ซี.ซี. แรงม้าสูงสุด 200 แรงม้าที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที

www.ford.co.th

MITSUBISHI PAJERO SPORT

ความจุ 2,442 ซี.ซี. แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตรที่ 2,500 รอบ/นาที

www.mitsubishi-motors.co.th

TOYOTA FORTUNER

ความจุ 2,755 ซี.ซี. แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450นิวตัน-เมตรที่1,600-2,400  รอบ/นาที

www.toyota.co.th

 

ข้อมูลช่วงล่าง/ราคา

CHEVROLET TRAILBLAZER… 

ช่วงล่างด้านหน้า…อิสระปีกนกสองชั้นและโช้คอัพแก๊ส

ช่วงล่างด้านหลัง…แบบคอยล์สปริง (5 LINK Coil Rear Suspension)

เบรกหน้า…ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนขนาด 300 ม.ม.

เบรกหลัง…ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนขนาด 318 ม.ม.

…..ราคา 1,465,000 บาท

FORD EVEREST

ช่วงล่างด้านหน้า…แบบอิสระ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง

ช่วงล่างด้านหลัง…แบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์

เบรกหน้า…ดิสก์เบรก มีช่องระบายความร้อน

เบรกหลัง…ดิสก์เบรก

…ราคา 1,599,000 บาท

MITSUBISHI PAJERO SPORT

ช่วงล่างด้านหน้า…อิสระ แบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง

ช่วงล่างด้านหลัง…แบบทรีลิงค์ ทอร์คอาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง

เบรกหน้า…ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน

เบรกหลัง…ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน

…ราคา 1450,000 บาท

 

TOYOTA FORTUNER

ช่วงล่างด้านหน้า…แบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง

ช่วงล่างด้านหลัง…แบบโฟร์ลิงค์คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง

เบรกหน้า…ดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน

เบรกหลัง…ดรัมเบรก

…ราคา 1,599,000 บาท