Corolla เจเนอเรชั่นที่ 2
The All New Corolla เจนเนอเรชั่นที่ 2 เริ่มขึ้นในปี 1970 หลังจากในรุ่นแรกที่สร้างชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในยอดขายอย่างรวดเร็วไปแล้ว ทางทีมผู้ผลิตได้พัฒนา มีความคิดในรูปแบบใหม่ทั้งความสะดวกสบายตัวถังที่กว้างขึ้น และประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเจริญเติบโต และการขยายตัวของรถยนต์ในญี่ปุ่น ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดือนมิถุนายนปี 1970 รวมการผลิตสะสมของ Corollas ถึงหนึ่งล้านคัน…
ในช่วงเวลานั้น โตโยต้ามีแผนที่จะอัพเกรดเครื่องยนต์ Corolla ในเจนเนอเรชั่นแรก เครื่อง1.2 ลิตร โดยที่รุ่นถัดมาคือ รุ่น Corona เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นในสายการผลิต เครื่องยนต์ความจุ 1.6 ลิตร ทางทีมงานผู้ผลิตพิจารณาถึงความจำเป็นสำหรับรถยนต์เพื่อเติมเต็ม ช่องว่างระหว่างรุ่น Corolla และ Corona นับตั้งแต่นั้นแผนการสำหรับ Celica และ Carina ก็เริ่มต้นขึ้นเพื่อเติม ในการผลิตเครื่องยนต์ความจุ 1.4 ลิตร รวมทั้งทีมงานได้ตัดสินใจใช้เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร กับ Corolla เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้ด้วย
สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นของ Corolla เจนเนอเรชั่นที่ 2 คือการขยายธุรกิจรถยนต์รุ่นสปอร์ต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิด “Corolla Levin” ขึ้น เป็นผลมาจากการนำความคิดของนักออกแบบรุ่นใหม่ ผู้ที่รักรถแข่งมารวมกัน พวกเขาแนะนำให้ใช้เครื่องยนต์ DOHC กับ Corolla ที่พัฒนามาเพื่อใช้กับรถยนต์คันอื่นๆ ได้ด้วย รถรุ่นใหม่นี้ได้ชื่อขนามนามว่า “Levin” แปลว่า สายฟ้า และเป็นรุ่นที่บรรดาแฟนๆ ต่างอยากได้มาครอบครอง
เมื่อผู้พัฒนาเสร็จสิ้นการออกแบบใหม่ ที่ใช้เวลายาวนานประมาณ 4 ปี พวกเขาได้รับประสบการณ์และแรงกดดันอย่างหนักหนา เพราะความรับผิดชอบที่พวกเขาต้องแบกรับมันหนักไม่น้อย ท้ายที่สุด Corolla เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะรถยนต์ครอบครัว เจริญรอยตามรุ่นบรรพบุรุษของมัน นับตั้งแต่เริ่มทำการผลิตเจนเนอเรชั่นที่ 2 และต่อด้วยรุ่นที่ 3 ออกมาในปี 1974 คิดเป็นจำนวนทั้งหมด 2,406,860 คันเลยทีเดียว
นอกเหนือจากรถซีดาน 2 ประตู, ซีดาน 4 ประตู และรถแวน หรือวากอน ที่นำเสนอมาในรูปแบบรุ่นก่อนหน้านี้ ได้เพิ่มรุ่นคูเป้ เข้าไปในสายการผลิตของ Corolla รุ่นที่ 2 ต่อมาในปี 1972 โตโยต้าแนะนำรถสปอร์ตรุ่นท๊อปของสายที่ผลิต บนพื้นฐานของรถคูเป้ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ในบอดี้ Corolla Levin
ณ ช่วงเวลานั้นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ของค่ายคู่แข่งออกมามากมาย ทางทีมงานจึงต้องปรึกษา ค้นคว้ากันอย่างเคร่งเครียด เพื่อพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นต่อไป หลังจากนั้นไม่นานมีการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ รหัส 1T ความจุ 1.4 ลิตร มาใช้เช่นเดียวกับรูปแบบของเครื่องยนต์ 3K สายการผลิตเริ่มขยายตัวกว้างขึ้นรวมถึงเครื่องยนต์ T-B คาร์บูเรเตอร์คู่ และเครื่องยนต์ T-D ที่มีแรงอัดสูง และท้ายที่สุดเครื่องยนต์ DOHC 2T-G ก็กลายมาเป็นขุมพลังในรุ่น Corolla Levin ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดได้สมบูรณ์แบบที่สุด
ภายนอก มิติของด้านนอกรุ่น 2 นี้นั้นถูกขยายออก ประตูหน้าดีไซน์ใหม่ นำกระจกสามเหลี่ยมของประตูด้านหน้า หรือกระจกหูช้าง รุ่นนี้ไม่มีแล้ว ทั้งรุ่นซีดานและคูเป้ใน และเพิ่มช่องลมขนาดใหญ่มาติดตั้งแทนหน้าต่างสามเหลี่ยมเพื่อช่วยระบายอากาศ ด้วยสิ่งนี้ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ไป ในขณะเดียวกันการออกแบบนี้ก็ตรงกับความความต้องการของตลาดต่างประเทศ และนำไปสู้ความสำเร็จให้กับโตโยต้าไม่น้อย
ช่วงแรกๆ ของการเปิดตัว Corolla รุ่นที 2 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 3K ขนาด 1.2 ลิตร เดินรอยตามจากรุ่นแรก ไม่นานหลังจากการเปิดตัวเครื่องยนต์ รหัส 1T ขนาด 1.4 ลิตร OHV ฝาสูบแบบ Cross Flow คือท่อร่วมไอดีและท่อร่วมไอเสียอยู่คนละฝั่งกัน ไม่เหมือนกันกับเครื่องบล็อก K ที่อยู่ฝั่งเดียวกัน ที่นำเข้าไปเพิ่มในสายการผลิตสามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 86 ps /6000 prm และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 11.7 kg-m/3800 rpm เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ เพื่อให้ทันกับยุคแห่งความเร็วที่กำลังจะมาถึง มีการแชร์โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันกับเครื่องยนต์รหัส K
“Corolla Levin” ถือเป็นรถสปอร์ตตัวท๊อป ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2T-G ความจุ 1.6 ลิตร อีกทั้งยังมีคาร์บูเรเตอร์คู่ Solex ฝาสูบแบบ DOHC ใหม่ล่าสุดให้กำลังสูงสุด 115ps/6400 rpm และแรงบิดสูงสุด 14.5 kg-m/ 5200 rpm สำหรับ Corolla Levin ติดตั้งเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่งดงามในทุกประเภทของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต และเป็นผลทำให้ 2T-G ต่อมากลายมาเป็นตำนานแห่งประวัติศาสตร์เครื่องยนต์โตโยต้า ส่วนระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ธรรมดา 4 สปีด และรุ่นสปอร์ตจะเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson strut ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบคานแข็ง แหนบ
ส่วนภายในของ Corolla รุ่นที่ 2 มีการปรับแต่งให้เบาะพนักพิงสูงขึ้นและติดตั้งที่รองศีรษะเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร พร้อมขยายระยะปรับเลื่อนที่นั่งเพื่อสร้างความเหมาะสมแก่การขับรถ เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด
ลักษณะพิเศษในการออกแบบของรุ่นนี้คือการยกเลิกหน้าต่างสามเหลี่ยมที่เคยติดบริเวณประตูหน้าและติดตั้งตั้งช่องระบายอากาศภายในรวมถึงเครื่องเป่าลมซ้ายขวาแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยควาสะดวกเพิ่มเติมอีกมากมายเช่น วิทยุ AM/FM และเครื่องปรับอากาศซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตกแต่งภายในที่มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น
สายการผลิตเจนเนเรชั่นที่ 2 นี้พิเศษกว่ารุ่นอื่นโดยการติดตั้งดิสก์เบรกหน้าเพิ่มเข้าไปด้วย รุ่นเหล่านี้ได้รับการติดตั้งตัวกระจายแรงดันน้ำมันเบรคเพื่อป้องกันล้อหลังจากภาวะล้อล๊อคเมื่อเกิดการเบรครุนแรง มีการใช้แม่ปั๊มเบรกแบบสองชั้น เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มแรงเบรครองรับการส่งแรงที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์ นอกจากนี้มีการติดตั้งเครื่องปัดน้ำฝนและกรอบเรือนไมล์เป็นรูปทรงกรวยลดการสะท้อนแสงเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่อีกด้วย