ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ได้ฤกษ์เปิดแทร็กกับ ซูเปอร์จีที ตุลานี้

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้ฤกษ์ระเบิดความยิ่งใหญ่กับสนามแข่งรถยนต์มาตรฐานสากล ระดับ FIA เกรด 1 ประเดิมด้วยการแข่งขันระดับโลกรายการแรกในเมืองไทยอย่าง ซูเปอร์ จีที ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 ตุลาคมนี้ ขณะที่รายการแข่งชั้นนาทั้ง ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์, โปร. เรซซิ่ง ซีรีส์ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ, ทรูวิชั่นส์ บ็อบบี้ ฮันเตอร์ ซูเปอร์วัน เรซ, โตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต จ่อคิวลงแทร็กเพียบ ก่อนจะยกดับความมันเร้าใจกับรายการแข่งขันระดับโลกทั้งรถยนต์ทางเรียบและรถจักรยานยนต์

นายเนวิน ชิดชอบ ประธานที่ปรึกษาโครงการ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ได้เริ่มโครงการก่อสร้างการก่อสร้างสนามแข่งรถช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ขึ้นมาในปี 2013 ขณะนี้คืบหน้าไปแล้วกว่า 90% แม้จะเริ่มต้นโครงการด้วยสนามระดับ 2 ของเอฟไอเอ 2 รองรับการแข่งขันรถยนต์สูงสุดคือ ฟอร์มูล่า 3 (Formula3) แต่หลังจากนั้นได้ขยับขยายแผนงานเกรด 1T ซึ่งสามารถรองรับการทดสอบรถแข่งฟอร์มูล่าวันได้ ล่าสุดมีการปรับโครงการก่อสร้างแทร็กให้เป็นสนามระดับ FIA เกรด 1 และหากก่อสร้างเสร็จจะสามารถรองรับการแข่งขันสูงสุดคือ ฟอร์มูล่าวัน ส่วนฝั่ง FIM หรือสหพันธ์กีฬาแข่งรถจักรยานยนต์โลกยังคงยึดระดับสูงสุดที่เกรด A รองรับสูงสุดคือโมโตจีพี

 

สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (BRIC) ใช้งบประมาณก่อสร้าง 2,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ มีระยะทางต่อรอบ 4.554 กม. ทิศทางการวิ่งแบบตามเข็มนาฬิกา ประกอบด้วยจานวนโค้งทั้งสิ้น 12 โค้ง ขวา 7 โค้ง และ ซ้าย 5 โค้ง จุผู้ชมได้สูงสุดถึง 50,000 คน จุดเด่นของสนามคือ ผู้ชมสามารถมองเห็นทุกส่วนของแทร็ก เมื่ออยู่บนแกรนด์สแตนต์ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมเกมมอเตอร์สปอร์ต

 

ไฮไลต์ของแทร็กมีอยู่ 5 จุด คือ ทางตรงยาวระยะทาง 1 กิโลเมตร สามารถทาความเร็วในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบได้ถึง 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรถมอเตอร์ไซค์ ซูเปอร์ไบค์ โดยจุดนี้ถือเป็นจุดท้าทายนักขับในการหาจุดเบรกในการแซง

 

ถัดมาคือโค้ง 4 เป็นโค้งซ้ายความเร็วสูงที่นักขับสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วระดับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะเดียวกันก็จะต้องต่อสู้กับแรงเหวี่ยงอันมหาศาลในโค้งนี้ ตามด้วยโค้ง 7 เป็นโค้งหักขวา 70 องศา ที่ฝังอยู่ด้วยโค้งเล็กๆ อีก 2 โค้งในจุดนี้ และถือเป็นอีกหนึ่งโค้งความเร็วสูงของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งรถแข่งระดับทัวริ่งคาร์และ

 

มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์ไบค์ สามารถรักษาความเร็วได้ในระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงออกจากโค้ง 7 นี้ รวมไปถึงโค้ง 9 และ 10 ที่มีความต่อเนื่องกัน โดยนักขับต้องใช้ไหวพริบอย่างมากในการขับจุดนี้ เพื่อต่อเนื่องไปยังโค้ง 12 โค้งแฮร์พิน หรือ โค้งยูเทิร์นหักศอกขวา 126 องศา ถือเป็นจุดไฮไลต์ของ BRIC สาหรับการแซงโดยนักแข่งสามารถเลือกเรซซิ่งไลน์ของตัวเองได้ตามความเหมาะสมก่อนจะหาจังหวะแซง

 

ความพิเศษของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ยังรวมไปถึงการออกแบบให้มีบ่อน้าภายในบริเวณแทร็ก เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของอากาศ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ขณะเดียวกันยังติดตั้งระบบไฟส่องสว่างมาตรฐานเอฟไอเอ ซึ่งรองรับการแข่งขันกลางคืน หรือ ไนต์เรซ เช่นเดียวกับ ฟอร์มูล่าวัน รายการ สิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ หรือ โมโตจีพี รายการ กาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ได้อย่างไร้ปัญหา

 

นอกจากนี้ยังมีพิตระดับมาตรฐานถึง 30 พิต รองรับความต้องการด้านการทางานของทีมแข่งทุกระดับ โดยบริเวณด้านบนพิตถูกสร้างเป็นแพ็ดด็อก สาหรับกลุ่มผู้ชมระดับวีไอพี รวมไปถึงชั้นบนสุดที่ถูกสร้างเป็นสแตนด์อีกชั้น เพื่อให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตได้สัมผัสการทางานของทีมแข่งอย่างใกล้ชิด

 

ภายใต้การก่อสร้างแบบเต็มกาลังของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จะถูกเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 4-5 ตุลาคมนี้ ด้วยการแข่งขันระดับโลกรายการแรกในเมืองไทยอย่าง ซูเปอร์ จีที ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวญี่ปุ่น รวมถึงมีการติดตามจากแฟนทั่วโลกนับล้านผ่านการถ่ายทอดสดBRIC เซ็นสัญญากับ จีทีเอ เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน ซูเปอร์จีที ด้วยสัญญา 2 ปี ในปี 2014-2015 นับเป็นการปลุกกระแสให้กับวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยให้ตื่นตัวได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็เป็นการปักชื่อของ บุรีรัมย์ ในปฎิทินของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกด้วย

 

ซูเปอร์ จีที มีรูปแบบการแข่งขันแบบมาราธอนใช้ระยะทางเป็นตัวกาหนด ในแต่ละเรซจะดวลความเร็วทั้งสิ้น 300-500 กิโลเมตร ซึ่งการแข่งขันที่จะมีขึ้นที่ BRIC ใช้ชื่อรายการว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซูเปอร์ จีที นับเป็นการเก็บคะแนนสะสมสนามที่ 7 จาก 8 สนามของฤดูกาล 2014 ซึ่งในปีนี้ไทยถือเป็นชาติเดียวที่ได้รับสิทธิ์ให้เป็นเจ้าภาพสาหรับสนามแข่งนอกประเทศญี่ปุ่น

 

กติกาของ Super GT ได้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 รุ่น คือ GT 300 และ GT 500 ซึ่งจะเป็นการแข่งขันระหว่างค่ายรถญี่ปุ่นและรถยุโรป อาทิ ฮอนด้า NSX, เลกซัส LF-CC และนิสสัน GT-R เฟอร์รารี่ พอร์ช บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ ออดี้ แอสตัน มาร์ติน และลัมบอร์กินี ส่วนความพร้อมด้านความปลอดภัย BRIC ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่จะเข้ามาเป็นผู้ร่วมสนับสนุนการแข่งขันบุรีรัมย์ ซูเปอร์ จีที 2014 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 ตุลาคมนี้ โดยจะเข้ามาเป็นผู้ดูแลเรื่องของการรักษาพยาบาลและอุบัติเหตุจากเหตุการณ์ฉุกเฉินในสนามแข่งทั้งหมดในช่วงสัปดาห์ของการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยังจัดอบรมติวเข้มกรรมการภาคสนามขั้นพื้นฐาน หรือ MARSHAL สาหรับกีฬาแข่งรถยนต์ทางเรียบจานวนกว่า 500 คน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขันการจัดการอบรม ไดมีการจัดอบรมทั้งหมด 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 และ 2 เป็นการอบรมภาคทฤษฎี โดยมีผู้เข้าร่วมโดยประมาณ 500 คน ส่วนครั้งที่ 3 จะเป็นภาคปฏิบัติ สาหรับผู้มี่ผ่านการสอบ ครั้งที่ 1 และ2 เหลือจานวน 130 คน ทาการฝึกร่วมกับกรรมการที่มีประสบการณ์และสถานที่จริง ทั้งในด้านโครงสร้างองค์กรกีฬาแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ข้อบังคับและโครงสร้างของสนามแข่ง การแบ่งหน้าที่การทางานของกรรมการ และกฎกติกาความรู้ของการเป็นกรรมการ ซึ่งเป็นการผลักดันให้มีการผลิตบุคลากรมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย เพื่อรองรับการแข่งขันระดับโลก

อย่างไรก็ดี นอกจากการแข่งขัน ซูเปอร์ จีที ในวันเปิดสนามแล้ว สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ยังมีคิวรองรับการแข่งขันระดับอาเซียนหลายรายการในช่วงปลายปีนี้ได้แก่ เอเชียน เลอ มังส์ ซีรีส์ 2014, ทัวริ่งคาร์ ซีรีส์ อิน เอเชีย รวมถึงรายการจักรยานยนต์อย่าง เอเชีย โรด เรซซิ่ง ด้วย

 

ส่วนรายการแข่งขันในเมืองไทย ก็มีรายการชั้นนาอย่าง ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์, โปร. เรซซิ่ง ซีรีส์ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ, ทรูวิชั่นส์ บ็อบบี้ ฮันเตอร์ ซูเปอร์วัน เรซ, โตโยต้า มอเตอร์สปอร์ต และอีกหลายรายการที่จ่อคิวเข้าร่วมการแข่งขันที่แทร็กระดับโลกของเมืองไทย

 

ในปี 2015 BRIC วางเป้าหมายให้มีการแข่งขัน 35 เรซ ตลอดทั้งปี โดยข่าวดีสาหรับคอความเร็วชาวไทย คือ จะมีรายการระดับโลก 4 รายการมาแข่งขันที่นี่ ที่ยืนยันชัดเจนคือ บุรีรัมย์ ซูเปอร์ จีที ขณะที่ความเป็นได้สาหรับรายการอื่นฝ่ายบริหารเล็งไปที่การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือแม้กระทั่งรถยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก