Cr. เนื้อหา : คมชัดลึก / รูปเปิด : ไทยรัฐ
เปิดใจ “อนันต์ ร่มรื่นวาณิชกิจ” ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง นำพรจากในหลวงคือ “ประมาณตน” เป็นหลักนำชีวิต จนสามารถปลอดหนี้สิน 10 ล้านได้สำเร็จ พร้อมเปิดเผยว่า พระองค์ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกร ภายในรถยนต์พระที่นั่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 ในการบันทึกรายการตีสิบ ช่วงหนึ่งนายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ พิธีกรรายการ ได้สัมภาษณ์นายอนันต์ ร่มรื่นวาณิชกิจ ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง
นายอนันต์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าไปดูแลรถยนต์พระที่นั่งว่า เดิมเป็นช่างทำสีรถยนต์ทั่วไป กระทั่งเมื่อประมาณปลายปี 2541-2542 มีคนมาคุยที่ร้าน แต่งชุดธรรมดามาบอกว่าจะให้ทำสีรถยนต์พระที่นั่ง ตอนนั้นคิดว่าล้อเล่นจึงปฏิเสธ ไม่นานเขานำรถยนต์ รยล. และแต่งชุดเต็มยศเข้ามาหาที่อู่ พร้อมทั้งจดหมายจากสำนักพระราชวัง บอกว่าพรุ่งนี้ให้แต่งชุดสุภาพเพื่อเตรียมเข้าวังไปพบท่านรองราชเลขาธิการ พอเข้าไปในสวนจิตรลดา ท่านรองฯ ถามว่าจะให้ดูแลทำสีรถยนต์พระที่นั่งทั้งหมด จะทำได้ไหม ก็รับคำทันที
ส่วนรถยนต์พระที่นั่งคันแรกที่ได้ทำนั้น นายอนันต์ กล่าวว่า คือรถโรลส์รอยซ์ ที่เป็นรถยนต์พระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ในพระราชพิธีสวนสนาม วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี
“เราเห็นเข่าอ่อนเลย วันแรกที่เห็นรถก็นั่งมองรถตั้งแต่ 9 โมง ถึงตีสาม และฝากให้สารถีถามท่านว่าท่านโปรดสีรถยนต์ยี่ห้อไหน แต่ท่านมีรับสั่งกลับว่าให้ใช้สีที่นายช่างใช้ ก่อนที่เราจะทำสีรถก็ก้มกราบที่เยื้องพระบาทขึ้นรถยนต์ จากนั้นจึงเริ่มทำ ระหว่างที่ทำก็ต้องติดกล้องวงจรปิดส่งภาพให้ทางสำนักพระราชวังดู และมีตำรวจมาคอยตรวจดู ตอนนั้นเรานอนเฝ้ารถยนต์พระที่นั่งเลย ตอนที่ซ่อมแม่มาเห็นเข้าก็บอกว่าให้เราซ่อมถวายท่านเลยได้มั้ย เพราะว่าแม่เป็นคนจีนโล้สำเภามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากท่าน อยากจะตอบแทนคุณท่าน ให้ลูกทำแทนแม่ได้มั้ย เราก็รับคำแม่ทันทีว่าได้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ดี เราเป็นหนี้อยู่ 10 ล้าน แต่เราก็พยายามทำงานให้ท่านอย่างดีที่สุด” นายอนันต์กล่าว
ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง เล่าอีกว่า พอทำสีรถยนต์ไปได้สัก 7 คัน มีผู้ใหญ่ทำจดหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า นายช่างทูลเกล้าฯ ถวายค่าซ่อมรถทั้ง 7 คัน ก็มีรับสั่งมาว่าขอบใจ แต่ตอนหลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีรับสั่งให้สารถีมาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดที่นายช่างทำแบบนี้ อยากให้นายช่างรู้จักประมาณตนว่าอะไรควรถวาย อะไรไม่ควรถวาย
“ท่านคงรู้ว่าผมมีปัญหาหนี้สินมาก ท่านก็เลยเตือนสติ ผมถือว่าเป็นพรที่นำคำว่ารู้จักประมาณตน มาใช้จนทุกวันนี้” นายอนันต์กล่าว
นายอนันต์ เล่าต่อว่า นอกจากรถยนต์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังดูแลรถยนต์พระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย
“ครั้งหนึ่งผมต้องซ่อมรถตู้เชฟโรเลต ซึ่งเป็นรถที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ สมัยท่านเรียนจบที่จุฬาฯ และเป็นคันโปรดของท่านด้วย ก่อนซ่อมข้างประตูด้านที่ท่านประทับเวลาฝนตกจะมีน้ำหยด แต่หลังจากที่ซ่อมแล้ว วันหนึ่งท่านก็รับสั่งกับสารถีว่า วันนี้รถดูแปลกไป น้ำไม่หยด อย่างนี้ก็ไม่เย็นน่ะสิ แต่ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเอากระป๋องมารอง” นายอนันต์เล่าถึงพระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นายอนันต์เปิดเผยว่า ภายในรถยนต์พระที่นั่งของแต่ละพระองค์นั้น เรียบง่ายมากไม่มีอะไรเลยที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวก มีแต่ถังขยะเล็กๆ กับที่ทรงงานเท่านั้น
ส่วนการได้มีโอกาสดูแลรถยนต์พระที่นั่ง ทำให้ได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยนั้น นายอนันต์กล่าวว่า ครั้งหนึ่งมีรถยนต์พระที่นั่งที่เพิ่งทรงใช้ในพระราชกรณียกิจมาทำ เห็นว่าพรมใต้รถมีน้ำแฉะขังอยู่และมีกลิ่นเหม็นด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านทรงนำรถไปทรงพระราชกรณียกิจในที่ที่น้ำท่วม แถมน้ำยังซึมเข้าไปในรถพระที่นั่งด้วย แสดงว่าน้ำก็ต้องเปียกพระบาทมาตลอดทาง จึงถามสารถีว่า ทำไมไม่รีบเอารถมาซ่อม ก็ได้คำตอบว่าต้องรอให้เสร็จพระราชกรณียกิจก่อน
เมื่อพิธีกรถามว่า จากการที่ได้มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ได้เห็นถึงความพอเพียงของพระองค์อย่างไร นายอนันต์ ตอบว่า “ปกติถ้าทรงงานส่วนพระองค์ ท่านก็ใช้รถคันเล็กเพื่อประหยัดน้ำมัน และเมื่อเราสังเกตสีรถพระที่นั่ง จะเห็นว่ามีรอยสีถลอกรอบคันรถ กว่าที่ท่านจะนำมาทำสีใหม่ก็รอบคันแล้ว แต่คนใช้รถอย่างเราแค่รอยนิดเดียวก็รีบเอามาทำสีแล้ว และครั้งหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังประสานงานไปรับรถพระที่นั่งของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ก็มีวิทยุของข้าราชบริพารบอกกันว่ารถติดมาก สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จฯ ขึ้นรถไฟฟ้าไปแล้ว”
ในช่วงตลอดเวลา 10 ปี ที่ปฏิบัติงานถวายนั้น นายอนันต์กล่าวว่า พระราชกระแสรับสั่งที่ให้เราประมาณตน ทำให้เรายึดมั่นคำนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันมาโดยตลอด ทำงานด้วยความสุจริต ไม่เอาเปรียบใคร
“เชื่อมั้ยว่าชีวิตจากที่เป็นหนี้ 10 ล้าน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ขยายกิจการมาโดยตลอด ครอบครัวมีความสุข คุณแม่ที่เคยขอให้เราทำงานเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน ก็อายุ 90 ปีแล้ว แต่ท่านยังแข็งแรงอยู่ เหมือนสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดเป็นพรที่สะท้อนกลับมาหาผมเป็นทวีคูณ” นายอนันต์กล่าวในตอนท้าย
วันเดียวกัน สำนักพระราชวังแจ้งว่า ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงรับการถวายการรักษาพระอาการประชวรเป็นเวลา 70 วัน ปรากฏว่ามีพระประมุขและผู้นำประเทศส่งพระราชโทรเลข พระราชสาส์น และสาส์นถวายพระพร รวมทั้งสิ้น 11 ประเทศ อาทิ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงส่งพระราชโทรเลขถวายพระพรมีใจความว่า “หม่อมฉันและพระสวามีมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ที่ทราบว่าฝ่าพระบาททรงพระประชวร และขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาททรงพระสำราญในเร็ววัน”
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งชาวเบลเยียม อัลแบร์ที่ 2 ทรงส่งพระราชโทรเลข มีใจความว่า “เมื่อทราบว่าฝ่าพระบาททรงเข้ารับการถวายการรักษาพระอาการประชวร หม่อมฉัน พระราชินี และพระราชวงศ์ ขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาททรงพระสำราญในเร็ววัน”
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย มีพระราชสาส์นความว่า “หม่อมฉันและพระราชินีรู้สึกห่วงใย ขอสวดมนต์ภาวนาเพื่อฝ่าพระบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์ ทรงพระเกษมสำราญมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน” ขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสเปน ฮวน คาร์ลอส โซเฟีย ความว่า “ขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาทเกษมสำราญโดยเร็ววัน” ด้านสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร มีพระราชสาส์นความว่า “หม่อมฉันรู้สึกเป็นห่วงเมื่อทราบว่าฝ่าพระบาทประชวรเมื่อไม่นานนี้ ขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาททรงพระสำราญในเร็ววัน”