เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

 

เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข

เรียบเรียงข้อมูลโดย กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ GRANDPRIX ONLINE

หลังจากที่เชฟโรเลต ได้เปิดตัว “โคโลราโด” รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีการปรับใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มาถึงตอนนี้ได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะและประกาศราคาที่ทำให้ต้องตะลึง เมื่อราคาจำหน่ายนั้นเทียบกับสิ่งที่ให้มา มันช่างน่ายั่วยวนใจให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของรถกระบะเอาไว้ใช้งานสักคัน ต้องหันกลับมาพิจารณาถึงความคุ้มค่ากันเลยทีเดียว

สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย จัดให้ขับบนเส้นทางทั้งออฟโรดและออนโรดจากโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี เป็นเส้นทางที่มีครบทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ลองสมรรถนะและความปลอดภัยอย่างเต็มที่

หน้าตาของโคโลราโดรุ่นใหม่นี้ ผู้เขียนยอมรับว่ามันโดนใจ ดูเป็นอเมริกันสไตล์มากกว่าเดิมเยอะ ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแกร่งและความประณีต ด้วยการออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งแผงกันชน กระจังหน้า ฝากระโปรง และไฟหน้าที่มาพร้อมไฟส่องสว่างขณะขับกลางวันแอลอีดี ซึ่งถ้าจับเอาหน้าตาของรุ่นใหม่นี้มาลองบีบให้แบนลงจะมองเห็นว่ามันมีส่วนคล้ายกับสปอร์ตคาร์อย่างคามาโร่ชัดเจน

ส่วนภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกทั้งความแข็งแกร่งและความหรูยิ่งขึ้น เพราะทีมงานได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมี“โคโลราโด เอ็กซ์ตรีม (Colorado Xtreme)” รถต้นแบบที่นำมาใช้เป็นแนวทางการออกแบบใหม่ ซึ่งส่งตรงจากออสเตรเลียมาอวดโฉมภายในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา เน้นให้มีความสะดวกสบาย กว้างขวาง ประณีต และเสริมเทคโนโลยีเข้ามา

แผงแดชบอร์ดและการตกแต่งเบาะที่นั่ง ทำมาใหม่ให้ความรู้สึกพรีเมียม เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้ขับและผู้โดยสาร ขณะที่คอนโซลกลางถูกปรับดีไซน์ใหม่ทำให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น การจัดวางตำแหน่งเน้นความสะดวกสบายด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่น) เสริมด้วยการหุ้มวัสดุด้วยหนังให้พื้นผิวสัมผัสที่หรูหราอีกด้วย และระบบอินโฟเทนเมนท์ มายลิงค์ ซึ่งโคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นรถกระบะรุ่นแรกในตลาดที่รองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ แสดงผลหน้าจอสมาร์ทโฟนขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีนของตัวรถที่ใช้งานได้ง่ายมากๆ เหมือนกับเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นระบบความบันเทิงภายในรถ แถมยังมีฟังก์ชั่นสิริ อายส์ฟรี และซอฟต์แวร์สั่งงานด้วยเสียง ทำให้ผู้ขับสามารถสั่งงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย แต่ที่โดดเด่นสุดๆ ในกลุ่มรถกระบะคือ มีกุญแจรีโมทที่ใช้ฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท สามารถสั่งให้เครื่องยนต์สตาร์ทได้ในรัศมีไม่เกิน 100 เมตร อีกทั้งยังเปิดระบบปรับอากาศเพื่อรอรับผู้ขับได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ซึ่งขณะที่สั่งให้เครื่องยนต์สตาร์ท รถจะยังคงล็อคอยู่ จนกว่าผู้ขับจะกดปลดล็อค แต่หากเกินเวลา 10 นาที เครื่องยนต์จะดับเองอัตโนมัติด้วยเช่นกัน

มาถึงเวลาในการทดลองขับกันบ้าง ช่วงแรกเป็นการทดสอบเสถียรภาพในการขับบนถนนพระราม 2 และเพชรเกษมที่ลาดยางเรียบ เพื่อเช็คดูว่าห้องโดยสารของโคโลราโด รุ่นใหม่มีความเงียบและตัดเสียงรบกวนจากภายนอกมากกว่ารุ่นเดิมเพียงใด ซึ่งทีมวิศวกรแจ้งว่ามีเสียงรบกวนลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ขึ้นอีก 12 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมีการปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่หมด ให้มีแรงสั่นสะเทือนที่น้อยลง และยึดเกาะถนนมากขึ้น ลดอาการท้ายสะบัดให้น้อยลง โดยระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น พร้อมคอยล์สปริงและช็อกอัพแก็สและด้านหลังแบบลิฟสปริง แป้นรูปครึ่งวงรี และช็อกอัพแก็ส ที่ถูกเซ็ตอัพใหม่ทั้งหมด ช่วงล่างที่ปรับตั้งใหม่นี้ให้ความนุ่มนวลมากกว่ารุ่นเดิม และยังมีการใช้แท่นรองตัวถังใหม่อีกด้วย

สำหรับการขับในช่วงออนโรดนี้ เครื่องยนต์ดีเซล ดูราแมกซ์ คอมมอนเรล เทอร์โบ ไดเรคอินเจคชัน พร้อมระบบเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2.5 ลิตร 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้การตอบสนองที่รวดเร็ว จังหวะเปลี่ยนเกียร์ราบเรียบดีมาก อัตราเร่งเริ่มมาดีตั้งแต่ช่วงเกียร์ 2 เป็นต้นไป จังหวะเร่งแซงไม่ต้องรอรอบ กดคันเร่งให้หนักขึ้น รอบเครื่องจะกวาดขึ้นมารอและพุ่งตัวเร่งแซงได้อย่างสบายใจ พูดได้ว่าขับสนุกในทุกย่านความเร็ว

เสียงเครื่องที่ดังเข้ามาให้ห้องโดยสารถือว่าน้อยมากกว่าเดิมชัดเจน ขนาดที่ว่าจังหวะที่เร่งรอบสูงก็ยังไม่รู้สึกว่าเสียงดังจนน่ารำคาญ เรื่องการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนี้ยอมรับว่าทำมาได้น่าประทับใจจริงๆ ส่วนเสียงลมที่เข้ามานั้นจะเริ่มได้ยินในช่วง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไป แต่ก็ไม่ได้ดังจนคุยกับคนข้างๆ ไม่รู้เรื่อง

จุดเด่นที่น่าสนใจในช่วงแรกนี้คือ น้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ที่ปรับให้มีน้ำหนักเบา ทำให้คล่องตัวมาขึ้นเมื่อใช้งานในเมืองที่มีสภาพการจราจรที่แออัด และมีน้ำหนักที่มากขึ้นเมื่อความเร็วสูงขึ้น ตรงนี้น่าสังเกตว่าเมื่อผู้ขับเป็นผู้ชายจะรู้สึกว่าเบาไปหน่อย แต่สำหรับผู้หญิงกับรู้สึกว่ามันหนักกำลังพอดี และอาจจะสงสัยว่าแล้วน้ำหนักพวงมาลัยที่เบาลงกว่าเดิมนี้ เมื่อทำความเร็วสูงจะรู้สึกอย่างไร คำตอบคือ พวงมาลัยยังคงนิ่ง ควบคุมได้ แต่หากเจอสภาพผิวถนนที่เป็นลูกคลื่นในจังหวะที่ใช้ความเร็วสูงกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็จะมีอาการหวิวๆ บ้างเล็กน้อยเท่านั้น 

เมื่อเดินทางถึงจังหวัดราชบุรี เป็นการขับเข้าสู่ถนนสายรองที่มีความคดเคี้ยวมากขึ้น มีทางโค้งที่หลากหลายมุ่งสู่อ่างเก็บน้ำบ้านโป่งแห้ง ในตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง ซึ่งถนนที่แคบและคดเคี้ยวนี้มีอุปสรรคให้ลองสมรรถนะของช่วงล่างตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นหลุมบ่อ ทางโคลน หินลอยและทางขรุขระ ซึ่งหลังจากหยุดพักที่อ่างเก็บน้ำบ้านโป่งแห้ง จะเริ่มเข้าสู่การทดลองขับแบบออฟโรด สองช่วง ช่วงแรกใช้รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นการไต่ขึ้นสู่ยอดเขาบีล็อกตอง ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งมีความสูง 2,231 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ด้วยแรงบิด 440 นิวตันเมตร มาที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ 2,000 รอบต่อนาที พร้อมขับเคลื่อนที่สามารถปรับได้ทั้งแบบ 4H และ 4L ทำให้ไต่ขึ้นเนินเขาที่ลาดชันและคดเคี้ยวได้สบายๆ ซึ่งบางส่วนของเส้นทางออฟโรดมีทั้งความทุรกันดาร มีเนินเขาที่ลาดชัน ซ้ายเป็นหน้าผา ขวาเป็นหุบเหว ดูน่าหวาดเสียว แต่โคโลราโดก็พาให้ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย แถมเส้นทางนี้ยังได้ลองใช้งานระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (Hill Start Assist หรือ HSA) และระบบควบคุมความเร็วของรถขณะลงทางลาดชัน (Descent Control หรือ HDC) อยู่บ่อยครั้ง ทำให้พิสูจน์ว่าโคโลราโดรุ่นใหม่นี้ได้รับการพัฒนาให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับอีกหนึ่งเส้นทางออฟโรดใช้รุ่นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่ใช้เส้นทางที่สมบุกสมบันไม่แพ้กันและมีการขับลุยผ่านลำธารที่มีระดับน้ำที่ค่อนข้างสูง ซึ่งโคโลราโดรุ่นใหม่นี้สามารถขับลุยได้ลึกได้ 800 มม. หรือ 80 เซนติเมตร หากไปเจอทางที่เป็นลำธารตื้นๆ จะกลายเป็นอุปสรรคง่ายๆ สำหรับโคโลรา ซึ่งช่วงเส้นทางนี้ มีฝนตกมาก่อนหน้า ทำให้พื้นผิวถนนที่เป็นทางลูกรังค่อนข้างลื่น และมีร่องน้ำอยู่หลายจุด ขณะที่ขับผ่านจะสัมผัสได้ว่าระบบช่วงล่างรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ค่อนข้างดีมาก ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะกับผู้โดยสารตอนหลังที่ปกติจะสัมผัสได้ถึงอาการกระเด้งกระดอนจนแทบเคล็ด แต่สำหรับโคโลราโดรุ่นใหม่ อาการเช่นนั้นลดหายไปพอสมควร อีกเรื่องที่น่าชมคือระบบเบรกที่สั้นและมั่นใจได้มากขึ้น ในช่วงแรกอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับน้ำหนักเบรกสักหน่อย เพราะต้องกดน้ำหนักเท้าลงไปราว 10% ถึงจะรู้สึกได้ว่าเบรกเริ่มทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วรถกระบะหากไม่ได้มีการบรรทุก เมื่อขับมาด้วยความเร็วและเบรกกระทันหันไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือในโค้ง จะมีอาการท้ายปัดเกิดขึ้น ซึ่งโคโลราโดยังมีอาการเช่นนั้นอยู่บ้างเช่นกัน แต่หากเทียบกับรุ่นที่แล้วถือว่าดีขึ้นและควบคุมได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะลองเข้าโค้งด้วยความเร็วแล้วเบรกในช่วงกลางโค้ง

โดยรวมแล้วถือว่า เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่นี้ นอกจากจะปรับรูปโฉมให้โดนใจในสไตล์ของกระบะอเมริกันมากขึ้นแล้ว เรื่องของสมรรถนะก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ที่เขียนมาอาจจะรู้สึกว่าชมเชยอยู่หลายเรื่อง…แต่ผู้เขียนยอมรับว่าต้องชมจริงๆ เพราะพยายามหาข้อติ แต่เรื่องเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เช่น พวงมาลัยที่น้ำหนักเบาไปหน่อยและไม่สามารถปรับใกล้ไกลได้ ทำได้เพียงสูงและต่ำเท่านั้น แต่การที่เบาะปรับไฟฟ้ามันสามารถปรับให้สรีระพอดีกับท่าขับที่ถูกต้องได้ หรือจะเป็นเรื่องของ แอปเปิล คาร์เพลย์ ที่ใช้ได้กับ IOS เท่านั้น ยังไม่รอบรับ Android แต่ในภาพรวมถือว่าคุ้มค่า ยิ่งมามองเรื่องราคาเริ่มต้นในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่ 594,000 บาท ไปจนถึงรุ่นท็อประบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,068,000 บาท เป็นราคาที่น่าสนใจ หากใครกำลังมองหารถกระบะเพื่อใช้งานบรรทุก ตั้งงบไม่เกิน 800,000 บาท ก็มีตัวเลือกที่น่าสนใจหลายรุ่น (มีทั้งหมด 13 รุ่นย่อย) ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน หากจะเลือกเป็นเจ้าของเอาไว้ใช้งานประจำวัน ขอเลือกรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยกสูง 4 ประตู (Crew Cab 4×2 LT เกียร์ธรรมดา) ราคา 779,000 บาท ก็เพียงพอแล้ว

เอาเป็นว่าจะหาว่าเชียร์เกินไป อยากให้ผู้อ่านลองไปทดลองขับดู แล้วจะรู้ว่ามันมีดีและเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจริงๆ

ข้อมูลพื้นฐานของเชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่

การปรับเปลี่ยนภายนอก

กระจังหน้า ไฟหน้า พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวันแบบแอลอีดี

แผงกันชนหน้า ฝากระโปรง

ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 18 นิ้ว

สีตัวถังใหม่

แผงกันกระแทกด้านหน้าใหม่

ภายใน

คอนโซลกลางและคอนโซลหน้าใหม่

มาตรวัดสำหรับผู้ขับขี่พร้อมภาษาไทย

ปรับตำแหน่งและการใช้งานสวิทช์

การออกแบบและจัดวางห้องโดยสารที่แข็งแกร่งและมั่นคง

การตกแต่งแผงข้างประตู

ลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร

สีของเบาะหนังใหม่ Very dark atmosphere

ด้านสมรรถนะ

เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ดีเซล 4 สูบ 2.5 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันเพื่อพละกำลัง แรงบิด และความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น

วัสดุดูดซับเสียงเพื่อลดเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือน

แชสซีส์และการควบคุม

ยางรองแท่นเครื่องยนต์แท่นเกียร์และยางรองตัวถังใหม่เพื่อลดเสียงรบกวนและ แรงสั่นสะเทือน

ระบบช่วงล่างใหม่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น

ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันและระบบป้องกันการลื่นไถลเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดให้มากขึ้นกว่าเดิม

ยกระดับความสะดวกสบาย ความประณีตหรูหรา และความปลอดภัย

เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และการยึดเกาะถนน

ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ในเมืองและขณะจอดรถ และปรับความหนืดตามความเร็วของรถลดอาการกินซ้ายกินขวาที่เกิดขึ้นจากความลาดเอียงของถนนและลดอาการสั่นสะเทือนที่พวงมาลัยที่อาจจะเกิดจากการถ่วงล้อไม่สมบูรณ์

คุณสมบัติพิเศษ ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย

รถกระบะรุ่นแรกในตลาดที่รองรับแอปเปิล คาร์เพลย์

รถกระบะรุ่นแรกในตลาดที่มีฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท

กระจกหน้าต่างคู่หน้าที่เลื่อนลงเล็กน้อยเพื่อช่วยในการปิดประตู

เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน

ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ

ระบบช่วยจอดด้านหน้าและด้านหลัง

กล้องมองหลัง พร้อมเส้นกะระยะปรับทิศทางได้

กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ

ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร

ระบบเตือนการชนด้านหน้า

ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่า (สำหรับผู้ขับขี่)

ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยที่เบาะหลัง

สเปคเครื่องยนต์

ดูราแม็กซ์ รหัส XLDE25 LP2

คอมมอนเรล เทอร์โบ ไดเรคอินเจคชั่น พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ เครื่องยนต์บล็อก 4 สูบแถวเรียง เพลาลูกเบี้ยวคู่เหนือฝาสูบ 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 2,499 ซีซี

กระบอกสูบ-ช่วงชัก 92:94 มม.

อัตราส่วนกำลังอัด 16.5:1

ผ่านมาตรฐานมลพิษไอเสียยูโร 4

พละกำลัง 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที

แรงบิด 440 นิวตันเมตร (45 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบต่อนาที

น้ำหนักเครื่องยนต์ 239 กก.

ระบบส่งกำลัง

อัตราทดเกียร์

1 4.06
2 2.37
3 1.55
4 1.16
5 0.85
6 0.67
เกียร์ถอยหลัง 3.2

 

อัตราทดเฟืองท้าย            : 3.42

อัตราทดเกียร์ถอยหลัง     : 3.2

อัตราทดเกียร์ส่งกำลัง      : 2.62

ระบบกันสะเทือน

ด้านหน้า: อิสระ ปีกนกสองชั้น พร้อมคอยล์สปริงและช็อกอัพแก๊ส

ด้านหลัง: ลิฟสปริง แป้นรูปครึ่งวงรี และช็อกอัพแก๊ส

พวงมาลัย

แร็กแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Power Steering)

เบรก

ด้านหน้า: ดิสก์เบรก ขนาด 300 มม.พร้อมครีบระบายความร้อน

ด้านหลัง: ดรัมเบรก ขนาด 295 มม.

ขนาดหม้อลมเบรก 10.5 นิ้ว

มิติตัวถังภายนอก

ความยาว 5,408 มม. (พร้อมเหล็กกันชนหน้า)

ความกว้าง 2,132 มม. (พร้อมกระจกมองข้างที่ขยายจนสุด)

ความสูง 1,858 มม. (รวมราวหลังคา)

ระยะโอเวอร์แฮงด้านหน้า 1,004 มม.

ระยะโอเวอร์แฮงด้านหลัง 1,308 มม.

ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 219 มม.

มุมไต่ 27.5 องศา

มุมจาก 23.3 องศา

มุมข้าม 22.4 องศา

ล้อและยาง 265/60 R 18

น้ำหนักรถเปล่า 2062 กก.

ขนาดกระบะหลัง ยาว 1484 มม. กว้าง 1534 มม. สูง 584 มม.

น้ำหนักบรรทุกกระบะหลัง 1,003 กก.

ศักยภาพการลากจูง 2,920 กก.

มิติภายในห้องโดยสาร

ความยาว พื้นที่ช่วงขาด้านหน้า 1,049 มม.

ความยาว พื้นที่ช่วงขาด้านหลัง 914 มม.

ความสูง พื้นที่ศีรษะด้านหน้า 1,005 มม.

ความกว้าง พื้นที่ช่วงไหล่ 1,458 มม.

ความกว้าง พื้นที่สะโพก 1,401 มม.

รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง

ความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร

ความปลอดภัย

คานกันกระแทกด้านข้าง

ถุงลมนิรภัยคู่หน้า

ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน (PBA)

ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)

ระบบป้องกันการลื่นไถลทั้งขณะออกตัวและในโค้ง (TCS)

ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)

ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA)

ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP)

ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากจูง (TSC)

ราคาจำหน่าย

รุ่น Extended Cab (2ประตู)
4×2 LS MT 594,000  บาท
4×2 LT MT 652,000  บาท
4×2 ยกสูง LT Z71 MT 699,000 บาท
4×2 ยกสูง LTZ Z71 MT 799,000 บาท
4×2 ยกสูง LTZ Z71 AT 839,000 บาท

รุ่น Crew Cab (4ประตู)
4×2 LS MT 689,000 บาท
4×2 LT MT 779,000 บาท
4×2 ยกสูง LT Z71 MT 813,000 บาท
4×2 ยกสูง LT Z71 AT 859,000 บาท
4×2 ยกสูง LTZ Z71 MT 928,000 บาท
4×2 ยกสูง LTZ Z71 AT 968,000 บาท
4×2 High Country AT 998,000 บาท
4×4 High Country AT 1,068,000 บาท

เชฟโรเลต โคโลราโด เอ็กซ์ตรีม (Colorado Xtreme) เมื่อครั้งนำมาอวดโฉมในงานมอเตอร์โชว์

โคโลราโด พร้อมชุดแต่งพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจาก โคโลราโด เอ็กซ์ตรีม

ความสามารถในการลากจูงน้ำหนักได้ถึง 3 ตัน

ที่เห็นจอดอยู่ไกลๆ นั่นคือระยะประมาณ 100 เมตร ซึ่งสามารถกดปุ่มสตาร์ทจากรีโมทให้เครื่องยนต์สตาร์ทขึ้นมาได้

ขอขอบคุณ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อความสะดวกและภาพถ่ายตลอดการทดสอบ

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th