“เราสามารถทำธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเล่นรถที่เราชอบได้…ทุกคนทำงานต้องเหนื่อย แต่เราจะมีสิ่งที่ชอบเป็นแรงผลักดัน ให้เราผ่านอุปสรรคการทำงานไปหาสิ่งที่ฝัน สิ่งที่ชอบได้”
คนๆ เดียว ผู้มากฉายา…หยิบจับอะไรก็จะมาสรรพนามตามต่อท้ายชื่ออยู่เสมอ บุรุษรุ่นใหญ่แห่งวงการรถซิ่ง เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมการแต่งรถมากว่า 2 ทศวรรษ ส่วนมากรู้จักชื่อ แต่ไม่รู้จักตัว ออกงาน แต่ ไม่เคยออกสื่อ!! เป็นครั้งแรกของผู้ชายคนนี้ ที่จะเผยตัวตนออกสื่ออย่างเป็นทางการ กับเรื่องเล่าขานบนเส้นทางเดินชีวิตในวิถี “สมบัติผลัดกันชม” ของผู้ชายที่ชื่อ ตี๋ V12
นั่นคือจุดเริ่มต้นของผมที่กำลังจะได้รู้จักกับ “เพชร AUTOHOLIC” เพราะเค้าคือเจ้าของสถานที่ที่เราจะเดินทางไปทำคอลัมน์นี้ เนื่องด้วย เพชร เพิ่งจะเปิดกิจการ จำหน่าย-แลกเปลี่ยน อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ใช้ชื่อว่า AUTOHOLIC ย่านถนนเพชรเกษม (ใกล้มหาวิทยาลัยสยาม) พี่ตี๋ แนะนำให้ไปที่ร้านของ เพชร เนื่องจากพื้นที่กว้างขวาง (มาก) พร้อมทั้งมีโชว์รูมโอ่โถง สบายๆ เหมือนกับห้องนั่งเล่นที่บ้าน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกชมของแต่งซิ่งๆ กันเพลินๆ ในแบบเป็นกันเองครับ
ผมตกลงกับพี่ตี๋ว่าในการถ่ายทำเซ็ตนี้ อยากให้มี GTR มาเป็นภาพประกอบด้วย เพราะจะได้ตอบโจทย์ของชื่อ ที่ถูกเรียกกันตอนนี้ว่า พี่ตี๋ GTR หลังจากทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ ผมกดเครื่องบันทึกเสียง พร้อมกับเอ่ยว่า เริ่มเลยครับพี่ตี๋ “ชีวิตกับรถซิ่งของพี่เริ่มต้นตอนอายุ 22-23 ปี จบการศึกษาใหม่ๆ เลย ถือว่าเป็นคนเล่นรถช้ากว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันตอนนั้นนะ เริ่มต้นกับรถซิ่งยุคนั้นก็ต้องกระบะเลย ออกมาพร้อมกัน 2 คัน คือ อีซูซุ มังกรทอง กับ มิตซูบิชิ ไซโคลน แอโรบอดี้ แต่งตามสไตล์วัยรุ่นทั่วๆไปในยุค โหลดเตี้ย ล้อแม็กล้นๆ ขอบ 15 นิ้ว เครื่องยนต์ก็ตามสูตร “รามอินทราเทอร์โบ” เลยครับ ดีเซลเทอร์โบล้วนๆ
ทางครอบครัวที่บ้านท่านก็โอเคนะ ไม่มีคอมเม้นต์ เพราะท่านเห็นว่าเราได้ตั้งใจเรียนจนจบการศึกษาและเริ่มทำงานได้แล้ว หาเงินเริ่มเป็น จะใช้จ่ายอะไรก็อยู่ที่การบริหารตัวเองแล้ว ซึ่งหลังจากช่วงดีเซลเทอร์โบเริ่มเบาบางลง ก็เข้ามาสู่ยุคของเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนมากก็เป็นกระบะคันเดิมๆ ที่เคยเล่นดีเซลเทอร์โบ ก็เปลี่ยนแนวทางมา “วางเครื่องเบนซิน” กันหมด รถพี่ทั้ง 2 คันก็ตามสมัยเช่นกัน มิตซูบิชิ ไซโคลน แอโรบอดี้ วางเครื่อง 1G-GTE เกียร์ธรรมดา ส่วน อีซูซุ มังกรทอง วางเครื่อง 1JZ-GTE เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ซึ่งในยุคนั้นการวางเครื่องยนต์เบนซินเป็นเรื่องใหม่ของการแต่งรถซิ่ง เครื่อง 1JZ-GTE ในตอนนั้น ราคาแสนสอง นับว่าแพงมาก และเป็นเครื่องที่หายากด้วย ก็เลยกัดฟันสู้ โดยรถทั้ง 2 คันให้ “พี่น้อย ออโต้รีเสิร์ท” อู่อยู่ตรงสะพานควาย เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ซึ่งอันที่จริงเครื่องบล็อก 6 สูบที่นิยมก็มีให้เลือกไม่กี่ตัวในตอนนั้น อาทิ เครื่อง 7M-GTE หรือ RB20DET ก็เรียกว่าเจ๋งแล้วนะ และไม่ต้องไปถามถึง 2JZ-GTE เพราะว่าไม่มีใครรู้จัก เครื่องรหัสนี้!!!
แต่ถ้าเบสิกพื้นฐานเสียงหวาน 6 สูบ ต้องรหัส 1G-GTE เลยนะ ปลั๊กเทา ปลั๊กเหลือง อินเตอร์น้ำ หรือ อากาศ หรือแม้เครื่อง Supercharger รหัส 1G-GZE ก็ถือว่าแจ๋วแล้วนะ จะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์ Toyota จะเป็นที่นิยมมาก เพราะเป็นสูตรสำเร็จแรงมาตั้งแต่โรงงาน ส่วนตระกูล Nissan อย่าง RB20DET หรือ VG30DETT ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ ผมมีรถในความทรงจำนะ ในยุคนั้นกระบะต้องคันนี้เลย ทีม Ziggy สีแดง ถ้าจำไม่ผิด หลังคาตัดแบบเปิด Targa ได้ เครื่องยนต์ 1 G-GZE ส่วนถ้าเป็นรถสปอร์ตก็ต้อง คุณเล็ก Project M เค้าโดดเด่นมาในยุคนั้นกับกองทัพรถสปอร์ตตัวเทพของญี่ปุ่นแบบครบครัน
จุดเปลี่ยนของชีวิตอยู่ตรงที่ “พี่น้อย ออโต้รีเสิร์ท” เปลี่ยนจากอู่ไปทำโชว์รูม Toyota นั่นหมายถึงกลุ่มที่พี่น้อยทำรถให้ รวมทั้งตัวผมเอง ต้องหาที่สำหรับเซอร์วิสรถใหม่ นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเข้าวงการรถซิ่งแบบเต็มตัว เมื่อได้มาพบกับ อ.เต้ย OTTO SHOP ได้ร่วมกันเปิดอู่ OTTO SHOP ขึ้นมา ในยุคเปิดอู่ผมใช้ VOLVO 740 เครื่อง 1JZ-GTE ส่วน อ.เต้ย MB 500SEL เครื่อง 3 โรเตอร์ ซึ่งเงื่อนไขในการเปิดอู่คือ ทำงานตั้งแต่ 18.00-05.00 น. เป็นที่ฮือฮามาก เพราะเป็นอู่ที่เปิดกลางคืนอย่างเดียว นี่คือจุดแจ้งเกิดชื่อของผมในวงการซิ่ง ก็สนุกสนานกับชีวิตอู่ได้เกือบ 1 ปี ก็มีปัญหากับการดำเนินชีวิตของตัวเอง เนื่องจากผมมีครอบครัวแล้ว ชีวิตกลางวันก็มีงานที่จะต้องดูแล ตกกลางคืนไปอู่อีก เป็นแบบนี้ทุกวัน มันไม่ไหว ก็เลยแยกตัวออกมาหาธุรกิจแถวๆ บ้านทำ ส่วนอู่ OTTO SHOP อ.เต้ย ก็ยังคงทำอู่ต่อไป…
โดยใช้ทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 3 ห้อง ในซอยวิภาวดี 64 มาปรับแต่งบ้านให้กลายเป็นช็อปซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยน โดยยังใช้ชื่อ ตี๋ OTTO MAX แทนชื่อเก่าที่ทุกคนรู้จักกันว่า ตี๋ OTTO SHOP ขายล้อแม็กรถยุโรปเป็นหลัก เพราะมันเป็นช่วงของ BMW E36 E34 VOLVO BENZ แต่งซิ่งๆ กันเยอะ และก็ล้อแม็กที่ทุกคนหากันในช่วงนั้นก็ต้อง RIAL และ BBS RS เลย เป็นสินค้าบ่งบอกปีเลย ว่ามันฮิตมากจริงๆ โดยเฉพาะขอบ 17 นิ้ว กว้าง 8.5 นิ้ว ออฟเซ็ต 13 เป็นสเป็กล้อที่รถยุโรปแต่งซิ่งๆ หากันให้ควั่ก… ซึ่งรถญี่ปุ่นในตอนนั้นก็มีซิ่งๆ แต่ภาพยังไม่ชัดเจนเท่ากับ BMW E36 กับ E34 และ VOLVO
ผมประกอบอาชีพในหมวดของล้อแม็ก ตอนนั้นใช้ BMW E34 ใส่ BBS ขอบ 18 หน้า 8.5 หลัง 9.5 นิ้ว ก็เปลี่ยนมาเป็น BENZ W124 และก็คันรักสุดๆ จะเป็น BENZ 300 CE วางเครื่อง 2JZ-GTE จากนั้นขยับมาเป็น BENZ S-Class และก็ไปจบสุดสายยุโรปที่ BENZ SL ทุกคันที่เอามาขับ เน้นแต่งไว้ขับเล่นใช้งานได้ หลักๆ เน้นที่ล้อแม็กมากว่า เพื่อให้ลูกค้าที่มาหาได้เห็นว่าใส่แล้วรถของคุณจะออกมาเป็นเช่นไร ยุคนั้นมันไม่กราฟิก คอมพิวเตอร์ไม่แพร่หลาย ที่จะตัดต่อภาพแล้วเห็นได้เลย ก็เลยต้องทำแบบนี้ ชอบด้วยได้ใช้ด้วย ก็ทำแบบนี้ประมาณ 4 ปี ก็ถึงจุดอิ่มตัว ล้อที่วนเวียนซื้อมา-ขายไป ก็เริ่มหมดไป และเริ่มมีสินค้า Copy เค้ามาแทนที่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาแนวทางใหม่แล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ ก็เลยเบนเข็มไปเล่นรถญี่ปุ่น ตั้งแต่ Cefiro ขึ้นไป ดังนั้น ล้อแม็กที่เคยหา อาทิ BBS หรือ RIAL ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นแทน เมื่อมาถึงช่วงนี้ มีคนรู้จักผมมากขึ้นแบบปากต่อปาก เพราะตอนนั้นไม่ใช่ยุคไซเบอร์ หรือโลก Social เหมือนกับตอนนี้
จากปัจจุบันมองย้อนกลับไปในยุคนั้น การสื่อสารแบบปากต่อปาก แต่ก็มีคนแวะมาหาที่บ้านทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าธุรกิจที่ทำอยู่ตอนนั้น ยังไม่มีใครทำในสไตล์แบบนี้ คัดล้อแม็กจากต่างประเทศ แบรนด์เจ๋งๆ มาขาย ซึ่งใช่ว่าเซียงกงจะไม่มีนะ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ขายหลายๆ อย่างคละกันไป แต่สำหรับผมเน้นของแม็ก 17-19 นิ้ว เป็นหลัก เป็นแนวญี่ปุ่นซิ่งๆ ก็ตั้งแต่ Cefiro ใส่ แม็ก Volk Challenge หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุค Cefiro, 200 SX วางเครื่อง 2JZ กับ RB
คือจุดเริ่มต้น ผมเป็นแค่คนค้าล้อแม็กไม่ได้ค้าขายรถ… แต่ว่าที่มันเปลี่ยนไปจนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเพราะว่า อยู่ตรงนี้ได้เจอคนมาก มีทั้งเพื่อนๆ และน้องที่เริ่มเล่นรถ ต่างเข้ามาหา มาดูของ แล้วก็เริ่มมีการขอซื้อรถของผมเองก่อนเลย ก็เลยเกิดเป็นช่องทางการซื้อขายรถกับล้อแม็กควบคู่กันไป พอเป็นแบบนี้ ฐานของผมก็กว้างขึ้นอีกเป็นทวีคูณ เพราะธุรกิจโตขึ้น แล้วที่สำคัญ เวลาใครจะขายรถก็จะนึกถึงผมเป็นตัวเลือกแรกๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะผมมีคอนเซ็ปต์อยู่ว่า “ผมให้ราคาสูงกว่าที่อื่น” หลายคนก็เลยยินดีที่จะมาหาเรา เพราะส่วนใหญ่จะจบง่ายๆ ในยุคนั้น แต่พอมาในช่วงหลังๆ ยุคของรถจดประกอบเข้ามามากมาย ผมก็เลยต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ เพราะตัวเลือกรถในรุ่นเดียวกันมีมากมายในยุคนี้
หลังจากที่เริ่มมาเล่นรถญี่ปุ่น ก็ค่อยๆ ขยับสเต็ปขึ้นมาจนเข้าสู่รถสปอร์ต จำได้ Toyota Supra ผมได้ครอบครองในช่วงปี 2003 ซึ่งเป็นรถที่ผมชอบมาก และมีการเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่เราคุ้นเคยกับหมวดเครื่องยนต์ตระกูล JZ ตั้งแต่ไหนแต่ไร โมดิฟายง่าย ทนแล้วไม่แพง มันเป็นสูตรสำเร็จ ก็เลยทำซึมซับมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งได้บอดี้กับเครื่องที่ตรงรุ่น ก็เลยทำให้ตัดสินใจง่าย เล่นรถรุ่นนี้กันจนได้ฉายาที่ทุกคนเรียกติดปากกันว่า “พี่ตี๋ Supra” เพราะผมเป็นคนที่เล่นของแต่งรถอยู่แล้ว ได้รถมาก็เลยเติมแต่งให้อยู่ในมุมที่สวยงาม ก็บังเอิญไปถูกใจกับคนที่ชอบการแต่งรถในสไตล์เดียวกัน หลายๆ คนก็รู้จักผมจากตรงนี้ด้วย ในยุคเริ่มต้นที่เล่น Supra “คุณใหม่ P&C Garage” ก็จะเป็นคนดูแลเครื่องยนต์ให้ แต่เมื่อ 5 ปีให้หลังมานี่ ผมเริ่มย้ายล้อแม็กและของแต่งต่างๆจาก วิภาวดี 64 ไปอยู่ แยกศรีสมาน ก็เลยให้ทาง “คุณสยาม Siam Prototype” เป็นผู้ดูแลและเซอร์วิสให้ครับ ซึ่งเมื่อพอมองย้อนกลับไปก็ 10 ปีเต็มๆ นะ ที่วนเวียนอยู่กับรถรุ่นนี้ ซื้อมาแต่ง ใครถูกใจขอซื้อก็ขายให้ แล้วก็ซื้อมาแต่งใหม่ มันเป็นวัฏจักร…
และมีรถอีกแบรนด์นึงที่มีน้อยคนนักจะรู้ว่าผมชอบ คือรถ Subaru Impreza คือมีไว้ใช้งาน แล้วก็เป็นความต้องการอยากให้มี Subaru จอดคู่กับ Supra อยู่ที่บ้านตลอด โดย Subaru ที่เลือกจะคัดเฉพาะหมวดเครื่องยนต์ที่เป็นตัว “คอแดง” เท่านั้น สาเหตุที่ชอบรถขับสี่เพราะว่าฟีลลิ่งการขับขี่มีครบ ขับสนุก ช่วงล่างดี เสียงเครื่องมีเสน่ห์ และบอดี้ซีดาน ที่มีลักษณะคล้ายรถสปอร์ต คือ ไม่มีเสาประตู ทำให้ดูประตูเปลือย มันทำให้ดูเป็นสปอร์ตซีดานกว่ารถอื่นๆ ซึ่งในตอนนั้นหลายคนจะมองถึงการซื้อ-ขายรถ แต่พวกล้อแม็ก หรือของแต่ง ตัวท็อปๆ อย่างเช่น บั๊กเก็ตซีต และ ชุดเบรกแบรนด์ดังๆ ก็ยังทำควบคู่กันไป
จุดเด่นและเป็นจุดแข็งที่ทำให้ทุกคนนึกถึงผมก็คือ “ซื้อ – ขาย – แลก – เปลี่ยน” คือผมเน้นเรื่องนี้เป็นหลัก รับเทิร์น แลก เปลี่ยน มีส่วนต่าง หรือสวนตัวกันไปเลย เพราะผมชอบที่จะได้เล่น หมุนเวียนของอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ของไม่ซ้ำ มีสินค้าใหม่ๆ วนเข้ามาตลอด แต่มีสินค้าอยู่หมวดเดียวที่ไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวเลยคือ หมวดของอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเรากลัวปัญหามันจะตามมา ก็เลยตัดปัญหาเลี่ยงของประเภทนี้ ก่อนที่มันจะตามไปสร้างปัญหาในอนาคต
นอกเหนือจากเรื่องของการซื้อ-ขาย ก็จะมีโหมดของการแต่งรถ หรือเลือกใช้ของแต่งได้โดนใจ ทำให้คนในกลุ่มที่ไม่ได้รู้จักผมมาจากการ ซื้อ-ขาย แต่มารู้จักผมจากการแต่งรถได้โดนใจเค้า ก็ต้องยกเครดิตให้กับ คุณหนุ่ม YATT เลยที่เป็นผู้ทำให้รถเราให้สวยงามเสมอ ผมทำรถกับคุณหนุ่ม YATT มานานมาก ต้องมี 7-10 ปี อย่างแน่นอน โดยตัวคุณหนุ่มเอง ก็เป็นลูกค้าที่มาซื้อล้อแม็กกับผมนานแล้ว ตลอดระยะเวลาทำรถ ผมก็จะมีสไตล์การทำรถแบบของผม คือ จะไม่ตามแพตเทิร์นทั้งหมด คือมีปรับแก้ให้เป็นไปตามที่ต้องการ จึงทำให้รถที่ทำออกมาในแต่ละคัน หาความโดดเด่นได้ไม่ยาก คือ ไม่ทำตามแค็ตตาล็อกทั้งหมด เลือกในส่วนที่เด่นๆ และสวยถูกใจ มาใส่ที่รถตามความต้องการ ซึ่งรถของผมส่วนใหญ่ที่ทำก็มักจะได้เป็นรถโชว์ให้กับ YATT ด้วย ก็เลยใส่เต็มทุกเม็ด แต่ใช่ว่าจะไม่มีการวางแผนในการเลือกของแต่งให้เข้ากับตัวรถนะ ไม่ใช่ว่าชอบอะไรก็จับมาใส่ ไม่ใช่แบบนั้น ทุกอย่างมีการวางแผนอยู่ทุกขั้นตอน และเป็นความโชคดีกับที่เราเป็น “คนเล่นของ” วัตถุดิบของเราค่อนข้างมีรองรับอยู่พอสมควร ก็เลยทำให้มีโอกาสลองได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งรถทุกคันที่ผมแต่งก็จะทำซ้ำๆ แบบนี้มาตลอด มันก็เลยไม่แปลกที่ประสบการณ์จะทำให้รถนั้นดูสวยขึ้น…
ปัจจุบันนี้ พวกล้อแม็กมือสอง ก็ไม่ได้หาเพิ่มเติมแล้ว มาทำธุรกิจล้อแม็กใหม่แทน เพราะล้อแม็กมือสองราคากลางค่อนข้างสูง ในความรู้สึกของผมคิดว่า ราคาล้อแม็กมือสองมันแพงเกินไป ก็เลยเริ่มต้นมาทำของใหม่ โดยได้ทำธุรกิจกับคุณอรรถ N Sports Shop สั่งแม็ก RAYS ขนาด 18-20 นิ้ว เน้นแต่รถขับหลัง สเป็กกว้างสุดๆของตารางรุ่น ซื้อแบบนี้มาตลอด จนกระทั่ง คุณอรรถ N Sports Shop แต่งตั้งให้ผมเป็นตัวแทนจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ RAYS อย่างเป็นทางการเลยครับ ณ ปัจจุบันก็ยังคงซื้อ-ขายรถสปอร์ต อยู่เช่นเดิม แต่เริ่มที่จะเลือกซื้อรถเข้า ส่วนนึงก็แปรผันตามเศรษฐกิจด้วย เพราะว่ารถสปอร์ตเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
แล้วฉายาล่าสุด “พี่ตี๋ GTR” ก็ได้มาจากเล่น GTR เนี่ยแหละ จำได้ว่าล็อตแรกๆ ที่เข้ามาปี 2008 ผมซื้อ GTR คันแรก จำเลขได้เลยว่าเป็นคันที่ 916 คือตอนที่ขับ Supra เครื่องยนต์พันแรงม้า ผมก็ว่ารถใหญ่ๆ แรงม้าเยอะขนาดนี้ ก็ถือว่าแจ๋วแล้วนะในตอนนั้น แต่พอได้มาขับ GTR ความรู้สึกบอกเลยว่า “มันใช่สิ่งที่ต้องการ” เป็นรถขับ 4 ที่หนักหน่วง ถ้าเป็นนักมวย ก็เรียกว่า “ชกข้ามรุ่น” กับรถที่ใหญ่กว่าได้สบายๆ ก็เลยมีความสุขกับ GTR ในฟีลลิ่งแบบ “ครบเครื่อง” ล่าสุดนี้ก็คันที่ 4 แล้วสำหรับรถรุ่นนี้ เพราะบางครั้งรถตัวเราเองก็เลี่ยงไม่ได้ ที่น้องๆ หรือเพื่อนฝูงถูกใจ แล้วมาขอซื้อรถที่เราใช้ไป ในขณะที่รถขายก็มีแต่เค้าไม่สนใจ เค้าจะเอารถที่ผมใช้ ก็เลยต้องขายไป แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องกลับไปซื้อรุ่นเดิมมาอีกคัน เพราะใจยังชอบอยู่ เคยมีโอกาสได้ลองสัมผัส BMW M3 (E92) อยู่ 1 ปี แต่ก็ยังชอบฟีลลิ่งรถ Turbo มากว่ารถ NA ครับ
สุดท้ายนี้ผมมองกว่า 20 ปีที่อยู่ตรงนี้ และวันนี้ก็ยังเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้อยู่ และเป็นที่รู้จักมากมายของคนในและนอกวงการ นั่นเป็นเพราะว่าผมมีใจรักในงานด้านนี้ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับมัน ถึงมันจะเหนื่อยบ้างก็ตาม และทุกครั้งที่ทำงานก็จะทำด้วยความจริงใจ เพราะลูกค้าคือเพื่อนของผม ซึ่งถ้าผมไม่ซื่อสัตย์กับเพื่อนๆ ผมคงไม่มีเพื่อนเยอะจนถึงทุกวันนี้!!”
มันไม่หมู!! ที่จะสัมภาษณ์ผู้ชายคนนึงที่อยู่ในวงการรถแต่งมานาน เห็นความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เป็นที่รู้จักของเหล่าชาวรถซิ่งเป็นอย่างดี เค้าอยู่วงการนี้มานาน หลายคนรู้จัก และอีกหลายคนก็รู้กันแต่ชื่อเช่นกัน…ไม่เคยปกปิดตัวตน…แต่เป็นคนไม่ออกสื่อ!! ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้สัมภาษณ์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากบังเอิญว่า “เคมีในตัวเราตรงกัน… ความสัมพันธ์ก็เกิด” ขอบคุณครับ พี่ตี๋ V12
AUTOHOLIC ย่านถนนเพชรเกษม (ใกล้มหาวิทยาลัยสยาม) สถานที่ถ่ายทำ
ประโยคโดนใจ
– 20 ปีที่ผ่าน สังคมของรถซิ่งบ้านเราเปลี่ยนไปเยอะ ถ้าเป็นรถก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง แต่ในสังคมคนเล่นรถ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมมองสมัยก่อนแน่นแฟ้นกว่า สมัยนี้เทคโนโลยีมันไว ทำให้คนเรารู้จักกันง่าย แต่ไม่สนิท เหมือนกับเมื่อก่อนที่รู้จักยาก แต่สนิทได้นานกว่า
– ผมไม่เคยมองใครเป็นแค่ลูกค้า… แต่ทุกคนที่เข้ามาหาเค้าคือ “เพื่อน”ผมคนนึงครับ…
– ชื่อ V12 มาจากยุค Social เนี่ยแหละ…เกิดจากความรู้สึกดีๆ กับบิ๊กบล็อก เพราะมันคือเทพสุดแล้วในหมวดของเครื่องยนต์ ในตอนนั้นเคยได้ลองสัมผัสบล็อก V12 แต่รู้สึกว่า เครื่องมันใหญ่เกินความจำเป็นในแง่ของรถใช้งาน ก็เลยได้แค่ชอบแต่ไม่ใช้ดีกว่า…