PHOTO : ธัญญนนท์ แสงภู่
My Name is… หมูหยอง
หลังจากที่ XO ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มดีเซลมากขึ้น แน่นอนว่า พวกเราก็มีเพื่อนเพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในครั้งนี้ได้มีโอกาสไปคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง จะเรียกว่า “ซุป’ตาร์”สายดีเซลอีกท่านหนึ่งก็ใช่นะ หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ “หมูหยอง” แต่วันนี้แหละ เราทุกคนจะได้รู้จักกันแบบจริงจังซะที ว่าเค้าคนนี้เป็นใคร ทำไมใครๆ ก็เรียกว่า หมูหยอง ฉันว่าชื่อไม่ค่อยเข้ากับหน้าพี่เค้าเลยยย…
ก่อนจะไปรู้จักกับ คุณหมูหยอง ขอขอบคุณสถานที่ Vinyl & Toys เลียบด่วนเอกมัย–รามอินทรา ก่อนครับ ที่สนับสนุนพื้นที่ พร้อมกับเครื่องดื่มให้ทีมงานสดชื่นตลอดการทำคอลัมน์ สำหรับที่นี่ผมเรียกว่าสวรรค์ของคนเล่นของ แผ่นเสียง โมเดลรถ หุ่นยนต์ มีให้คุณได้เสพย์กันเต็มอรรถรส หรือว่าอยากจะนำไปชื่นชมที่บ้านต่อ ก็ติดต่อซื้อหากันไปครับ
บอกกันตรงๆ นะ ผมเนี่ยได้ยินแต่ชื่อ “หมูหยอง” ส่วนตัวไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะมารู้จักก็วันนี้แหละ ก่อนหน้าที่จะเริ่มสัมภาษณ์ ผมมีโอกาสได้คุยกันสักพักหนึ่ง เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ซึ่งคุยกันไม่นานก็เหมือนสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน ผมก็เริ่มต้นโดยให้พี่เค้าแนะนำตัวเองเลยแล้วกันครับ “ จุดกำเนิดผมเริ่มต้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านเกิดของผมนะครับ พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นก็มุ่งหน้าเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ผมทำงานครั้งแรกแถวๆ สมุทรสาคร กับคุณอา ผมทำอยู่ตรงนั้นประมาณ 3 ปี มันเป็นช่วงวัยรุ่นของชีวิต เห็นมอเตอร์ไซค์ เค้ารวมตัวกันขี่รถเล่น ผมก็มีไปกับเค้าบ้าง เพราะความอยาก แต่มันยังไม่มีโอกาส ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง จนเริ่มโตขึ้นอีกสักหน่อย ก็ย้ายงานที่ทำกับคุณอา ไปทำกับคุณพ่อที่สมุทรปราการ ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับโรงงานพลาสติกรีไซเคิล ชีวิตมันเริ่มหันเห ตรงที่คุณพ่อผมเค้ารับซื้อของเก่าด้วย ซึ่งก็รับซื้อไปเรื่อยๆ จนได้ไปรับซื้อที่โรงงานทำหมูหยอง ซึ่งผมอยากมีเงินเป็นของตัวเอง เพราะตอนที่ทำกับคุณพ่อ ท่านก็แบ่งรายได้ให้ ซึ่งชีวิตในช่วงนั้นเรียกว่าล้มลุกคลุกคลานดีกว่าครับ ก็เลยอยากจะเพิ่มช่องทางในการหาเงิน คุณพ่อก็เลยไปฝากผมเข้าทำงานที่โรงงานหมูหยองให้ครับ เพราะเฮียเจ้าของโรงงาน ท่านเป็นคนใจดี ก็รับผมเข้ามาทำที่โรงงาน
โดยงานแรกของผมคือ พนักงานผัดหมูหยอง ทำไปทำมาก็ได้ก้าวกระโดดไปรับอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ เด็กส่งของ เพราะเค้าขาดคนพอดี ผมก็เลยมีโอกาสได้เป็นเด็กส่งของ นั่งรถไปกับลูกพี่ คอยยกของลง เมื่อถึงที่ มันเปลี่ยนความรู้สึกของชีวิตไปเลย ได้เปิดหูเปิดตา เห็นอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ในโรงงาน ทำหน้าที่ไปสักพักใหญ่ๆ ลูกพี่ผมก็วัยรุ่น ขับรถก็มีซิ่งบ้างอยู่แล้ว ผมเองก็ชอบไง พอเค้าเปิดโอกาสให้ผมลองขับ โดยเค้าเป็นคนสอนขับ พอผมขับได้ แต่ยังทำใบขับขี่ไม่ได้ จนวันนึงลูกพี่ผมมีปัญหาหลายด้าน ก็เลยขอลาออกจากตำแหน่งนี้ ก็ถึงตาผมถึงต้องมารับบทบาทแทนลูกพี่ ก็ไปทำใบขับขี่ให้เรียบร้อย ผมก็เปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ใหม่เป็นคนขับรถส่งหมูหยอง จากประสบการณ์ที่ทำงานมา เปลี่ยนตำแหน่งจนรู้อะไรหลายๆ อย่างในการทำหมูหยอง ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น จนถึงจัดส่งถึงมือลูกค้า ซึ่งในสมัยนั้นเครปญี่ปุ่นนิยมมาก ผมก็เลยไปสอบถามใช้หมูหยองเกรดไหน ของผมมีเกรดนี้ สนใจมั้ย อะไรประมาณนั้น เหมือนเริ่มการทำการตลาดไปด้วยในตัว ผมก็ไปถามทางเจ้าของโรงงานขอตัดของราคาส่งไปขายตามร้านเครป แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมาย ซึ่งก็สร้างรายได้เสริมให้อีกหนึ่งช่องทาง แต่ใครจะคิดว่าไปๆ มาๆ ออเดอร์เริ่มเยอะมากขึ้น ทางโรงงานก็ผลิตของส่งลูกค้าไม่ค่อยจะทันอยู่แล้ว ก็เลยไม่มีของส่งให้ผม ผมก็เหมือนเสียลูกค้า และขาดรายได้ไป
จากจุดนี้แหละ ผมคิดว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เลยคุยกับแฟนถึงเรื่องเงินเก็บสะสมมีอยู่เท่าไหร่ ผมอยากลองทำเอง ส่วนแฟนผมก็กลัวว่าจะทำแล้วเจ๊ง เค้าก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดผม ซึ่งจากตรงนั้นผมมีเงินเก็บสะสมจากการทำงานอยู่สองแสนกว่าๆ ก็ไม่เยอะแยะอะไร แต่แล้วแฟนผมก็บอก ลองวัดดวงดูก็ได้ ก็เริ่มซื้ออุปกรณ์ผัดหมู คือกระทะใบแรก แสนสามหมื่นบาท ก็ลองเทสต์ทำตามขั้นตอนอย่างที่เคยทำในโรงงาน แต่ผลลัพธ์คือมันไม่ใช่!! มันออกมาเป็นอีกแบบเลย ก็ลองทำซ้ำไปเรื่อยๆ ทีนี้เริ่มกลับมาเข้ามือ ก็ได้หมูหยองอย่างที่ต้องการ ซึ่งคราวนี้ก็ถึงคราวที่ผมคงต้องเริ่มออกตลาดหาลูกค้าเอง ซึ่งพื้นที่ที่ผมเช่าทำหมูหยอง หมดสัญญาเช่าที่ ผมไม่มีที่ที่จะทำ ก็เลยคุยกับแฟนจะเอาอย่างไรดี แฟนก็บอกให้ผมย้ายไปบ้านแพ้วมั้ย? เพราะเค้าโตที่นั่น น่าจะพอถามๆ หาเช่าที่ทำได้ ก็สรุปมาเริ่มต้นที่บ้านแพ้ว เรียกว่าสร้างโรงงานกันใหม่เลย ใช้เงินเยอะมาก กู้หนี้ยืมสินธนาคารมาหลายบาท ตอนนั้นคิดในใจจะใช้เค้าหมดมั้ยเนี่ย? แต่ใจก็หวังไว้ว่าขอให้มีงานทุกวัน เดี๋ยวสักวันก็ปลดหนี้ได้หมด
ตัวผมเองไม่รู้เรื่องรถสักนิด แต่ต้องขับรถส่งของไปกับลูกน้อง รถที่ใช้มันไม่แรง เหยียบไม่ออก น้ำมันก็กิน ลูกน้องผมเป็นคนบ้านแพ้ว ก็บอกให้วางเทอร์โบเลย ผมเองก็ไม่รู้ อะไรคือวางเทอร์โบ ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญไปเจอรถลูกค้า อาจารย์เบิร์ด หลัก 5 ตัวผมไม่รู้หรอกว่าควันดำที่พ่นออกมาจะทำให้รถแรง ก็ขับไปดันตูดเค้า เท่านั้นแหละ เค้ากดตูมเดียว ควันมหาศาลเลย ขับตามไม่ทัน ผมงง นี่คืออะไร ลูกน้องผมเลยบอกว่านี่แหละรถเซตเทอร์โบ ก็เกิดอยากทำให้รถวิ่งแบบนี้บ้าง ผมก็ถามลูกน้องเลย ให้พาไปหาอาจารย์เบิร์ด หลัก 5 หน่อย สรุปการโมดิฟายรถครั้งแรกใช้เงินไปสี่หมื่นกว่าบาท สัมผัสแรกตกใจนะ มันแรงดึงใจหายใจคว่ำ พอปรับตัวได้เริ่มสนุก สรุปวันเดียวพังเลย เพราะผมไม่รู้คันเร่งจุ่มได้เท่าไหร่ ผมไปไม่ยกเลย ก็ลากกลับมาทำใหม่ ไม่วายพังอีก เรียกว่าขี่ควาย ควายก็ตายประมาณนั้น ทีนี้เริ่มไปมาหาสู่ที่อู่บ่อยๆ เข้า จนกลายมาเป็นพวกพ้องกัน คือเสร็จจากงานหมูหยอง ผมก็ไปอยู่ที่อู่ เพื่อหัดทำนู่นนี่นั่น ซึ่งที่อู่มีคนหมุนเวียนมามากมาย ไม่มีใครรู้ว่าผมคือใคร รู้แต่ว่าขายหมูหยอง ทีนี้เค้าก็เรียกผมว่า “หมูหยอง” ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ในยุคนั้นมีแต่ปั๊มสาย คอมมอนเรลยังไม่มา ซึ่งผมทำรถมาเยอะแล้ว ก็อยากลองทำรถแข่งขึ้นมาสักคัน ก็เอา NISSAN Frontier ไปทำเครื่อง ก็ไปแข่งกับค่าย MITSUBISHI CD56 กับ 4M48 แต่ของผมป็น NISSAN TD27 แค่คันเดียว ก็ไปเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ระดับประเทศ จำนวนรถสี่สิบกว่าคัน ผมได้อันดับ 2 ของประเทศ แต่เป็นรถเครื่อง NISSAN คันเดียวที่วิ่งรวมกับ CD56 และ 4M48 เล่นเอาเกือบเครื่องพังเหมือนกันนะ น้ำดันเต็มระบบ ก็คิดว่าน่าจะเต็มของมันแล้วในเครื่องตัวนี้ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ Commonrail เริ่มมา อาจารย์เบิร์ด ก็ร่วมกับทาง ECU=SHOP คิดค้นกล่องขึ้นมา ซึ่งรถคอมมอนเรลใส่กล่องใบเดียว มันแรงเลย ผมก็เลยซื้อรถคันใหม่เป็นเชฟโรเลต ตาหวาน 4 ประตู มาให้อาจารย์เบิร์ดทำ ซึ่งผมคอยเป็นลูกมือ อันไหนหัดทำเองได้ก็ทำ ผมคลุกคลีจนเริ่มทำเป็น มันเหมือนการเรียนรู้แล้วได้สัมผัสเลย ประจวบเหมาะใจผมชอ บแล้วอยากทำด้วย ก็เลยทำให้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นมาก ก็ซนเล่นนู่น ทำนี่ อยู่ประมาณ 6 ปี แล้วจึงเริ่มทำรถเอง เอาจริงๆ ผมไม่ได้อยากจะออกมาทำรถเองหรอก พรรคพวกผมนี่แหละ คือเรื่องของเรื่องคือผมทำรถผมเอง แล้วไปลงสนามแข่งกับเค้า ซึ่งก็ได้ที่ 1 เค้าเห็นผมทำเอง ก็เลยมาคะยั้นคะยอให้เอารถเค้าไปทำให้บ้าง ผมก็ปฏิเสธ เพราะผมต้องทำงานดูแลโรงงานหมูหยองของผมด้วย พอมีเวลาว่างผมก็ถึงจะทำรถตัวเอง เพื่อนผมก็บอกว่าว่างหรือไม่ว่างก็ต้องทำ เค้าเอารถจอด แล้ววางเงินไว้ 3 แสนบาท ให้ผมทำรถของเค้าไปวิ่ง ปรากฏว่าได้ที่ 1 จากตรงนี้แหละคนเริ่มสงสัย มาจากไหน ทำไมรถแรง เบอร์โทร.ไม่มีที่รถสักคัน แต่โทร.กันมาเอง ไม่รู้ไปหามาจากไหน จาก 1 คัน เป็น 2, 3, 4, 5 จนเต็มพื้นที่ กลายมาเป็นอู่ทำรถ ส่วนหมูหยอง ผมนี่เลิกเลย ไม่ใช่ว่าเลิกทำโรงงานหมูหยองนะ ผมนี่แหละเป็นคนเลิก แล้วไปทำรถแทน ส่วนโรงงานหมูหยอง ก็ให้แฟนผมเป็นคนบริหารจัดการไป
มันเป็นช่วงพีคจริงๆ สำหรับผมเลยนะในช่วงนั้น มีแมตช์นึงที่มีเงินมูลค่าสูงถึง 2.6 ล้านบาท ในการแข่งขันในรุ่นเทอร์โบเดิม แข่งแบบชิงชนะ 2 ใน 3 รอบ ซึ่งผมก็เป็นผู้กำชัยชนะในครั้งนั้น หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ก็เป็นรุ่น All New ออกมา ซึ่งตอนช่วงออกมาใหม่ๆ ก็ยังหากันไม่เจอ เพื่อให้เครื่องยนต์มันทนทาน ผมก็ทำออกไปวิ่งกับเค้าคันนึง เป็นรถป้ายแดงมาทำเลยนะ สรุปก็ทำเสร็จ ได้อันดับที่ 1 ยืนมาตลอด ซึ่งแน่นอนว่า ก็ต้องมีคนทำรถมาใหม่ แล้วอยากลองดูว่าจะวิ่งชนะรถที่ผมทำมั้ย ก็ลองจัดวิ่งกันสนุกๆ มีรางวัลติดปลายนวมมูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ชนะในครั้งนี้ แข่งในรูปแบบเดิม คือ ชนะ 2 ใน 3 รอบ สรุป ผมก็เป็นคนกำชัยชนะได้อีกครั้ง มันก็เลยเป็นเรื่องราวบอกแบบปากต่อปาก คนก็เลยไว้วางใจ เอารถเข้ามาทำที่ผมจนถึงทุกวันนี้ครับ นอกเหนือจากอู่ที่รับโมดิฟายเครื่องยนต์ ผมก็เป็นตัวแทนจำหน่ายกล่อง PRO SPEED รวมถึง SPEED OIL พวกน้ำมันเครื่องสมรรถนะสูง อีกทั้งคอยสอนดีลเลอร์ใหม่ๆ ด้วยครับ
ในส่วนของอนาคต มันเป็นเรื่องที่ตอบยากนะ เพราะเทคโนโลยี เครื่องยนต์กลไก ไม่ใช่คนไทยเป็นผู้ผลิต แต่เมื่อเค้าผลิตออกมาแล้ว คนไทยนี่แหละจะนำมาต่อยอดอีกที ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้ เครื่องยนต์คอมมอนเรล 4 สูบ คนไทยยังครองอันดับที่เร็วที่สุดในโลกอยู่นะ ก็เพราะคนไทยไม่เคยหยุดนิ่งที่จะคิดค้นอยู่ตลอด เพื่อต่อยอดในการเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็น ข้อเหวี่ยง ก้านสูบ ลูกสูบ แคมชาฟต์ วาล์ว หรือกล่อง คนไทยก็เป็นคนคิดค้นขึ้นมาเพื่อต่อยอดความแรงทั้งนั้น จากเหตุผลจุดนี้ ผมมองว่าถ้ามีเครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมา พวกเราคนไทยก็น่าจะต่อยอดความแรงจากตรงนี้ได้อีกครับ อย่างที่เห็นรุ่น 1.9 ที่ออกมา ต่างก็พูดกันว่าไม่แรง แต่คนไทยก็ทำแรงให้เห็นจนได้ ถ้าถามผมว่า มันพีคจนถึงที่สุดหรือยัง สำหรับวงการดีเซลบ้านเรา ส่วนตัวผมว่ายังนะ ยังไปต่อได้อีก ซึ่งผมเองมองว่า เครื่องยนต์ดีเซลในวงการแดร็ก ประเทศไทยเกิดเร็วกว่าทุกประเทศนะ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในแทบเอเชียด้วยกัน ก็ต้องมาเอาของแต่งที่บ้านเรานะ หรือไม่ก็มาซื้อเครื่องเกียร์ ยกไปทั้งตัว ไปใส่รถที่บ้านเค้าเลยก็มีครับ ซึ่งตอนนี้ทุกประเทศที่เค้ามาซื้อของที่บ้านเรา เค้าก็พยายามศึกษาอยู่ว่าทำไมรถที่ประเทศไทยแรงกว่ารถของเค้า ซึ่งอนาคตรถเค้าอาจจะแรงกว่าบ้านเราก็เป็นได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของข้างหน้า ไม่อาจคาดการณ์ได้ ณ วันนี้ คนไทยยังคงคิดค้นของแต่งเสริมสมรรถนะอยู่ทุกวัน ผมเชื่อว่า คนที่คิดและลงมือทำ จะนำคนที่ทำตามอยู่ก้าวหนึ่งเสมอครับ”
ผมว่าหลายคนที่ได้อ่านคงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเค้าแล้วนะครับ กว่าจะมีวันนี้ ไม่ใช่ง่ายๆ และผมขอทิ้งท้ายก่อนจบว่า ที่จริง คุณหมูหยอง ที่เราเรียกกันนั้น ชื่อเล่นเค้ามี ชื่อว่า “หลาม” ครับ
สวัสดี…
สมาน จันธรท้าว (หมูหยอง)
วลีโดนใจ
- ผมภูมิใจนะ จากเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย จนวันนี้ผมมีทุกอย่าง ที่สร้างด้วยตัวเองทั้งหมด
- ความมุ่งมานะที่อยากจะเก่ง อยากจะเป็น จุดนี้มันสำคัญมาก ที่ทำให้ผมก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ได้ครับ
- ถ้าผมไม่ตัดสินใจเปลี่ยนงานในวันนั้น ก็ไม่มีชื่อ “หมูหยอง” อย่างทุกวันนี้แน่นอนครับ
- ก่อนที่เราจะเก่ง มันต้องพังมาก่อน แล้วบทเรียนนั้นจะสอนเราเองครับ