ฤดูกาลการแข่งขันระดับโลกของนักแข่งไทยที่กำลังโลดแล่นอยู่ในรายการ GP3 Series 2015 ตั้งเป้าสู่ GP2 ในฤดูกาลหน้า จะเป็นไปได้ขนาดไหน วันนี้เรามาคุยกับ แซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค ที่ประกาศศักดาธงชาติไทยต่อสายตาชาวโลกอยู่ ณ ขณะนี้
เจาะใจแซนดี้ใน GP3
ถาม: แนะนำตัวกันสักนิดนึง แซนดี้เป็นใครมาจากไหน มาอยู่ในวางการความเร็วได้อย่างไร
แซนดี้: ผมชื่อ แซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค อายุ 20ปี เป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ คุณพ่อเป็นชาวนอร์เวย์ คุณแม่เป็นคนจังหวัดตรัง ตอนนี้ครอบครัวอาศัยอยู่ที่ อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ผมเริ่มหัดขับโกคาร์ทมาตั้งแต่ผมอายุ 4 ขวบ ตอนนั้นเพื่อนที่เนอร์สเซอรี่ เค้ามีโอกาสไปขับรถโกคาร์ทที่พัทยาวันเสาร์อาทิตย์ เค้าก็มาเล่าให้ฟังว่ามันสนุกมาก ผมก็อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร อยากไปบ้าง ก็เลยไปบอกคุณพ่อ ให้พาไปขับโกคาร์ทหน่อย หลักจากนั้น เราก็ไปกันทุกอาทิตย์เลย ผมกับคุณพ่อ ชอบโกคาร์ทมาก
ถาม: จากตอนแรกขับเล่นๆ แล้วได้เริ่มเข้าสู่การแข่งขันได้อย่างไร
แซนดี้: ผมเริ่มแข่งเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ ซึ่งตอนนั้นแข่งครั้งแรก ผมก็ได้ที่ 3 เลย ก็รู้สึกว่า โห ดีใจมาก สมัยนั้น โกคาร์ทยังไม่มีแบ่งแยกอายุ แข่งรวมกับผู้ใหญ่ กับคนอายุ 30 ปี อะไรแบบนั้น หลังจากได้ขึ้นโพเดียมผมก็ติดใจความเร็วเลย อยากจะชนะ พยายามที่จะต้องเก่งขึ้น ต้องชนะให้ได้ ผมก็แข่งโกคาร์ทเรื่อยมา จนกระทั่งได้แชมป์ เอเชี่ยนคาร์ทติ้งแชมป์เปี้ยนชิพ ปี 2008 เราก็ตัดสินใจว่า พอแล้วกับโกคาร์ท อยากไปฟอร์มูล่า ความฝันสูงสูดของผมคือ ฟอร์มูล่าวัน ผมมีไมเคิล ชูมัคเกอร์เป็นไอดอล
ถาม: จากโกคาร์ท ก็มุ่งไปยังฟอร์มูล่า?
แซนดี้: ตอนนั้นเราก็เริ่มจากฟอร์มูล่าในระดับเอเชียก่อน เราหาข้อมูล มีที่เด่นๆอยู่ 2 ซีรีส์ คือ ฟอร์มูล่าเรโนลด์ และฟอร์มูล่า บีเอ็มดับบลิว ผมไปลองทดสอบรถ ทั้ง2แบบ ผมชอบเรโนลด์มากกว่า ก็ตัดสินใจว่าจะเข้าแข่งใน เอเชี่ยนฟอร์มูล่าเรโนลด์ ซึ่งจัดแข่งที่ประเทศจีน แต่ว่าตอนนั้นปี 2009 ผมอายุเพียงแค่ 14ปี ก็ยังลงแข่งไม่ได้ เขาอนุญาตให้อายุ 15ปี ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะลงแข่งได้ ตลอดปี 2009 ผมจึงได้แต่ฝึกซ้อมอย่างเดียว ผมซ้อมเยอะมาก มีโอกาสก็จะบินไปซ้อมที่จีนอยู่เสมอ จนกระทั่งปี 2010 ผมก็ได้ลงแข่งสมดังใจหวัง ผมแข่งในนามประเทศไทยทุกครั้ง พอลงแข่งผมก็คว้าแชมป์ เอเชี่ยนฟอร์มูล่าเรโนลด์ ปี 2010 มาครองได้เลย ก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน แต่ผมก็เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์นี้ได้สำเร็จ มันทำให้ผมดีใจมากๆ เซอร์ไพร์สสุดๆ
ถาม: แล้วจากนั้น เส้นทางดำเนินไปอย่างไรต่อ
แซนดี้: หลังจากได้แชมป์ฟอร์มูล่าเอเชีย ผมก็คิดว่าพอแล้วกับเอเชีย ผมมีความฝันอยากเข้าสู่ฟอร์มูล่าวัน คุณพ่อกับผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะไปแข่งต่อในรายการอะไร เราก็ได้ข้อมูลมาว่า ถ้าอยากไปฟอร์มูล่าวัน เราก็ต้องเข้าไปแข่งในรายการของยุโรป เป็นบันไดไต่ขึ้นไป เราก็ตกลงที่จะลงแข่งในรายการฟอร์มูล่าเรโนลด์ยูโรคัพ (Formula Renault Eurocup) ปี 2011 ซึ่ง 2 ปี แรกในยุโรปมันแตกต่างจากเอเชียอย่างสิ้นเชิง ผมต้องปรับตัวใหม่หมด สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็น สนามแข่งในยุโรปที่เราไม่เคยซ้อมมาก่อน เครื่องยนต์เรโนลด์เหมือนกัน แต่เครื่องแรงขึ้นกว่าเดิม ทุกอย่างใหม่หมดสำหรับผม เราเสียเปรียบนักขับยุโรป ที่เขามีโอกาสได้สัมผัสสนามมากกว่าเรา ผมต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก ผลงานปี 2011 ผมได้อันดับที่ 28 และใน ปี 2012 ผมขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 14 ผมพยายามพัฒนาตัวเองตลอด จนกระทั่งปี 2013 ผมลงแข่งในรายการเอฟทรี โอเพ่น (F3 open) ผมได้รองแชมป์ และ ปี 2014 ผมได้แชมป์ยูโรฟอร์มูล่าโอเพ่น (Euroformula open) จากนั้น เราก็ตัดสินใจลงแข่งใน GP3 ในปี 2015 คือปีนี้ ความจริงอยากจะขึ้นไปสู่ระดับ GP2 ซึ่งเป็นสเต็ปสุดท้ายก่อนฟอร์มูล่าวัน ผมมีโอกาสได้ไปซ้อมกับทีม GP2 มาก่อน ซึ่งทีมก็อยากให้ผมเข้าร่วมทีมกับเขา แต่ว่างบประมาณในการแข่ง GP2 สูงกว่า GP3 ถึงเท่าตัว เรามีงบประมาณไม่พอที่จะขึ้น GP2 สุดท้ายเราจึงตัดสินใจอยู่ใน GP3 ปีนี้
ถาม: ผลงานใน GP3 ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง แฟนที่ติดตามเค้าคิดว่าผลงานปีนี้แย่ลงหรือเปล่า
แซนดี้: ปีนี้มีทั้งหมด 9 สนาม ผ่านไปแล้ว 7 สนาม ผมอยู่ในอันดับที่ 17 ถามว่าแย่ลงไหม มันไม่ได้แย่ลง เมื่อปีก่อนผมได้แชมป์ระดับฟอร์มูล่าสาม แต่ปีนี้ผมอยู่ในระดับ GP3 คือ ระดับมันสูงขึ้น มันเข้าใกล้ฟอร์มูล่าวันมากขึ้นไปอีกสเต็ป อยากอธิบายให้เข้าใจว่า ระดับสูงขึ้น เราก็ต้องพัฒนาปรับตัวตาม เครื่องยนต์ GP3 แรงขึ้นกว่าฟอร์มูล่าสาม เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น กำลังแรงม้าสูงขึ้น พวงมาลัยเป็นแบบแพดเดิ้ลชิพ คือเหมือนฟอร์มูล่าวันเลย เกียร์เป็นเกียร์มือ ควบคุมทุกอย่างจากพวงมาลัยทั้งหมด และอีกสิ่งที่เพิ่มเติมจากเดิมคือ ในระดับGP3 /GP2/ F1 นักขับต้องเรียนรู้การเบิร์นยาง ซึ่งต้องวิเคราะห์ความพอเหมาะกับสภาพของแต่ละสนาม ต้องวางแผนในการเบิร์นยางที่จะใช้ไปได้ยาวจนกระทั่งจบการแข่งขัน หากเราเบิร์นหน้ายางหมดตั้งแต่ครึ่งแรกของการแข่ง ครึ่งหลังเราก็ทำเวลาไม่ขึ้น แซงไม่ได้ ทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เสมือนกับการเทิร์นโปรของกีฬาอื่นๆ ดูเผินๆอาจจะคิดว่า ฝีมือตก หรือว่าแย่ลงหรือเปล่า ความจริงคือ มันไม่ได้แย่ลง เพียงแต่โจทย์มันยากขึ้น เราอยู่ในช่วงต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน นักขับที่อยู่ในอันดับท็อป3 ในปีนี้ ปีที่แล้วเขาก็ผ่านความยากลำบากในการเรียนรู้มาก่อนเช่นกัน บางคนแข่งในรายการนี้มาเป็นปีที่ 3 แล้ว ถึงได้ขึ้นท็อป3 ในปีนี้ ถ้าถามผม ว่าผมพอใจรึเปล่าดีกว่า แน่นอนว่า ผมไม่พอใจกับที่ 17 ผมอยากจะทำให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ อยากอยู่ในท็อป10 แต่ว่าบางอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม อย่างเช่น อุบัติเหตุ รถชนกันในการแข่ง ซึ่งประมาณ 3-4 ครั้ง รถของผมขับมาปกติ แต่กลับถูกคนอื่นชนทำให้ต้องออกนอกสนาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็เกิดขึ้นได้ในวงการมอเตอร์สปอร์ต เราก็เข้าใจ
ถาม: ได้ข่าวว่า ทีมสเตตัสจีพี ไม่ต่อสัญญา GP3 มีผลกระทบอะไรกับแซนดี้หรือไม่
แซนดี้: เขาแถลงออกมาเมื่อต้นเดือน ตค ที่ผ่านมานี้เอง ตอนที่ได้รับทราบข่าวนี้ ก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทราบเหตุผลใดใดในเบื้องลึกของทีม เพราะทีมไม่เคยพูดประเด็นนี้มาก่อน ถามว่าได้รับผลกระทบไหม ก็รู้สึกว่าช็อคนิดหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราเซ็นสัญญา1 ปี เราก็อยู่กับทีมนี้ไปจนกระทั่งจบการแข่งขันในฤดูกาลนี้
ถาม: รู้สึกกดดันไหม และ ความคาดหวังของสปอนเซอร์เป็นอย่างไร มีความคิดเห็นอย่างไรกับผลงานปีนี้
แซนดี้: มีคนถามเยอะว่ารู้สึกกดดันไหม แน่นอนผมกดดัน ความจริงผมกดดันตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าต้องชนะใคร ต้องชนะคนนั้น หรือคนนี้ให้ได้ แต่คือเราต้องชนะตัวเอง เราจะต้องทำอย่างไรให้เราเก่งยิ่งขึ้นในทุกๆวัน ผมไม่ได้เอาความกดดันมาทำให้ท้อ ผมเอามันมาช่วยผลักดันให้เราต้องพัฒนา และทำให้ดียิ่งขึ้น
ผมลงแข่งในฐานะตัวแทนประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนจาก สิงห์คอร์ปเปอเรชั่น เดอะพิซซาคอมปะนี ดาคอนอินสเป็คชั่น เซอร์วิสเซส การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ราชยานยนต์สมาคมฯ และ การกีฬาแห่งประเทศไทย อันที่จริงก็พูดคุยกับสปอนเซอร์อยู่ตลอด สปอนเซอร์เข้าใจ เขามีความเข้าใจในกีฬามอเตอร์สปอร์ต เขามองเป็นเรื่องปกติ ในการขึ้นระดับสูง ปีแรกใน GP3 อันดับอยู่กลางๆ ไม่ได้ถือว่า ผิดแปลกไปจากความคาดหวังของสปอนเซอร์ ถ้าปีแรก ผมขึ้นไปอยู่ท็อป3 เลยนี่สิ โห สปอนเซอร์จะเซอร์ไพร์สมากว่าทำได้ยังไง ผลงานปีนี้ก็เรียกว่า สปอนเซอร์เข้าใจครับ
ถาม: อะไรที่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนาตัวเอง
แซนดี้: ถ้าอยากจะเก่งขึ้น เราก็ต้องซ้อมให้มากที่สุด ในสมัยโกคาร์ท หรือ สมัยฟอร์มูล่าเอชีย ผมมีโอกาสได้ซ้อมเยอะมาก คือเราสามารถจ่ายเงินส่วนตัวเพื่อไปซ้อมเองได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายยังไม่สูงมากนัก แต่พอเราเข้าแข่งในระดับยุโรป ในการซ้อมหรือลงใช้สนามจริง ค่าใช้จ่ายสูงมาก โอกาสที่เราจะได้ซ้อมคือช่วง Official Practice เป็นช่วงซ้อมอย่างเป็นทางการของการแข่งแต่ละสนาม ซึ่งนักขับทุกคนจะได้ลงซ้อมพร้อมกัน ในวันที่ผู้จัดกำหนดไว้ให้ โดยปกติจะเป็น วันก่อนหน้าวันแข่งจริง งบประมาณที่เรามีเพียงพอสำหรับการแข่งเท่านั้น อันนั้นคือเรื่องรถกับเรื่องของสนาม แต่ถ้าเป็นความพร้อมของนักขับ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมทำได้เต็มที่อยู่แล้ว ทุกวันนี้ ผมเก็บตัวฟิตซ้อมร่างกายอยู่ที่ศูนย์ฝึกเชปไดร์เวอร์ ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นศูนย์ออกกำลังกายสำหรับนักแข่งระดับอาชีพ จะมีโค้ชที่ช่วยให้คำแนะนำในด้านร่างกายและพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆกัน เราจะมีโปรแกรมฝึก 6 วัน ต่อสัปดาห์ ใน 1 วันเราจะฝึกประมาณ 5 ชม. สำหรับนักแข่งฟอร์มูล่า เราจะเน้นกล้ามเนื้อคอ ต้องแข็งแกร่งเพื่อสู้กับแรง G และแรงกดดาวน์ฟอสของรถไหว คนทั่วไปมักจะไม่รู้ว่า นักขับต้องมีร่างกายที่แข็งแรงด้วย คิดแค่ว่า ลงไปนั่งขับในรถเฉยๆ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ระยะเวลาที่แข่งยิ่งนาน นักขับย่อมต้องมีความแข็งแรง เมื่อร่างกายแข็งแกร่งพร้อมแข่ง นักขับจะไม่เหนื่อยมาก ทำให้สามารถโฟกัสคิดแต่เรื่องของไลน์สนาม จะเตรียมพร้อมสำหรับโค้งหน้าอย่างไร เป็นต้น
ถาม: ตั้งเป้าหมายอย่างไร สำหรับปีหน้า
แซนดี้: ตอนนี้เราก็กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ ระหว่างการลง GP3 อีกปี กับการขึ้น GP2 ก็ยังไม่มีข้อสรุป ในการขึ้น GP2 ก็ยังต้องการเงินสปอนเซอร์สนับสนุนอยู่อีกมากเช่นกัน ท่านที่สนใจอยากจะเป็นสปอนเซอร์ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ถาม: สิ่งที่อยากจะฝากไปยังแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ต
แซนดี้: ขอขอบคุณกำลังใจ จากทุกๆคน ที่ช่วยเชียร์และยังคงติดตามผลงานมาโดยตลอด คอยเป็นกำลังใจให้ในทุกๆสถานการณ์ รู้สึกซาบซึ้งมากๆ ขอบคุณมากๆจริงๆ ส่วนท่านใดที่อยากติดตามผลงานของแซนดี้ สามารถตามได้ที่ facebook หรือ Instagram : Sandy Stuvik สนามถัดไป สนามที่ 8 จะจัดขึ้นที่ ซากีเซอร์กิต ประเทศบาร์เรน (Sakhir, Bahrain) วันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2558 ฝากเชียร์กันเหมือนเช่นเคยนะครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ