XO AUTOSPORT No.240
Story : T.Aviruth (^_^!)
เราจะเห็นว่า ในแต่ละตอนของรายการไทยเรซซิ่ง “น้าแมน” จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเพื่อสัมภาษณ์อู่ต่างๆ หรือคนตลอด แต่ในครั้งนี้ เราขอกลับขั้วกันบ้าง กลายเป็น “น้าแมน” นี่แหละ เป็นผู้ที่ถูกเราเข้าไปสัมภาษณ์บ้าง เรียกกันว่า เอาให้รู้จักกันไปเลย ผู้ชายที่ตกเป็นกระแสฮอตที่สุดตลอดปี 2016 ที่ผ่านมา เค้าเป็นใครกันแน่ อะไรที่ทำให้มีคนติดตามเค้าผ่านทางแฟนเพจไทยเรซซิ่งถึง 6 แสนกว่าคน อินบ็อกซ์แมสเสจเต็มตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เปิดอ่านแล้วตอบกลับไปเท่าไรก็ไม่มีวันหมด My Name is… นี่แหละ คือที่แรก ที่ น้าแมน จะมาเปิดใจให้รู้กันครับ…
“นี่ แหละ มันส์ มาก จากการที่เราได้ไปเล่นแล้วก็รู้สึกว่า
ไอ้นี่แหละ ที่เรียกว่า มันส์
ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อรายการ”
ผมเชื่อว่ามีหลายคนอยากที่จะรู้จักเค้า โดยเฉพาะในช่วงกระแสฟีดแบ็กจากเกมโชว์ จำนวนคนที่เคยติดตามจากรายการไทยเรซซิ่งก็มีจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ผนวกกับรายการออนแอร์ออกไป ทำให้ชื่อ “น้าแมน” ขยายออกไปให้คนรู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้นอีก แล้วยิ่งเห็นเค้ารู้จักกับดาราคนนั้น สนิทกับนักร้องคนนี้ มันเหมือนเป็นการเร่งปฏิกิริยาของคน ยิ่งอยากค้นหาคำตอบที่แท้จริงเข้าไปใหญ่ ทาง XO AUTOSPORT ก็เลยยกหูหาแจ้งความประสงค์ ซึ่ง น้าแมน ก็ตอบรับ พร้อมที่จะเปิดเผยชีวิตให้ทุกคนได้รู้จัก เพียงแต่ว่าขอเวลาเคลียร์ปฏิทินสักหน่อย ซึ่งผมเองก็ถามว่า ตลอดระยะเวลา 1 เดือน งานแน่นตลอดเลยหรอน้า… เค้าบอกผมว่า ในแต่ละเดือนผมว่างงานตลอดแหละ เอ้า? แล้วที่ออกไปถ่าย นู่น นี่ นั่นล่ะ น้าแกบอกว่า ที่ทำอยู่เนี่ย มันไม่ใช่งาน “มันคือความชอบ” ผมรักที่จะออกไปทำอะไรแบบนี้ มันจึงทำให้ผมออกไปทำได้อย่างที่ใจต้องการ โดยแบบไม่มีสคริปต์ ไม่มีแรงกดดัน อยากให้ออกมาเป็นแบบไหนก็ทำเลย มันก็เลยไม่ใช่งาน ลองถ้าใจไม่ไปอยู่ตรงนั้น ทำเพราะคิดว่ามันเป็นงาน รับรองว่า เหนื่อยไปนานแล้ว ผมก็เลยบอกกับน้าแกว่า เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่าน้าสบายๆ วันไหน ยกหูคุยกันครับ
“ชื่อของ ไทยเรซซิ่ง เป็นการขยายความหมาย บอกให้รู้ว่า
คนไทยก็มีเล่นอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ”
ซึ่งมันก็เป็นระยะเวลามาสักพักใหญ่แล้ว จากการที่เคยคุยกัน จำวันนึงเสียงจากในโทรศัพท์ที่ดังลอดผ่านลำโพงออกมาว่า “ผมพร้อมแล้ว” นั่นคือสัญญาณไฟเขียวของคอลัมน์นี้ ก็เลยนัดกินข้าว นั่งคุยกันสบายๆ น้าแมนบอก ผมไม่เคยพูดเรื่องของตัวเองให้ใครฟังมาก่อน นี่คือที่แรกที่ผมจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ทุกคนจะได้รู้ว่า “น้าแมน” ไทยเรซซิ่ง มาจากไหน แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ผมไม่รอช้าที่หยิบเครื่องอัดเสียงขึ้นมาพร้อมกับบทสนทนาแรกที่น้าแกพูดว่า “ผมก็เด็กรถซิ่งหลังถนนคนนึงนั่นแหละ ตั้งแต่ยุคบางใหญ่-วิภาวดี มันเป็นยุคของกระบะวางเครื่องนะในตอนนั้น ผมก็ใช้ โตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ วางเครื่อง 1G-GTE แล้วก็ไป 7M-GTE ขยับมาเป็นอีซูซุ 1JZ-GTE ก็ใช้ชีวิตรถซิ่งหลังถนนมาตลอด
น้าแมนดูเหมือนรู้เรื่องรถเยอะ บางคำถามที่ออกรายการ น้าแมนดูเหมือนไม่รู้
ซึ่งอยากบอกว่า ถ้าผมรู้อยู่แล้ว แล้วผมไม่ถาม อันนี้คนทางบ้านจะรู้มั้ย?
บางทีเราต้องเป็นคนโง่ด้วย เพื่อที่ถาม และให้ทางบ้านได้รับคำตอบ
โดยธุรกิจทางบ้านประกอบอาชีพรับสร้างตึกและออกแบบตกแต่งภายใน คุณพ่อก็เลยอยากให้เรียน Interior เพื่ออยู่ในแวดวงสถาปนิก ในการสานต่อธุรกิจของทางบ้าน สมัยเรียนที่ ไทยวิจิตรศิลป์ ตอนไปเรียนก็ผ่านโรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา จะเห็นบริษัทชื่อ โอเวอร์ซี (OCS) บอกตรงๆ ตื่นเต้นมาก สถานที่สวยมาก ซึ่งที่นี่คือบริษัททำรถแข่งของ SPOON ในตอนนั้น ก็เลยตั้งเป้าว่าอยากจะทำงานที่นี่แหละ จนในที่สุดได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในส่วนของแมคคานิค แต่สุดท้ายก็ต้องออกจากงาน เพราะป่วยเป็น “อีสุกอีใส” ชนิดเป็นไข้หนักมาก ก็ทำให้หยุดงานยาวๆ เลย ซึ่ง มร.มัยดะ (เจ้าของ) เค้าก็ให้ผมตัดสินใจลองพิจารณาตัวเอง เพราะหยุดยาวเกินไป
“ตั้งแต่ ทำรายการมา ตอนที่หวาดเสียวที่สุดก็คงจะเป็นแมตช์ที่นั่งเรือกระดาน
ความเร็ว 150 กม./ชม. บนแผ่นน้ำ อันนี้ต้องยอมใจเลย บังคับได้เก่งมาก”
ซึ่งจุดเปลี่ยนชีวิตรถซิ่งหลังถนน พลาดทำให้เกิดอุบัติเหตุ ต้องผ่าตัดถึง 2 ครั้ง เรียกว่าเกือบจะเป็นอัมพาต จากจุดนั้นแหละจึงทำให้เลิกเล่นรถซิ่งบนถนนไปเลย หลังจากที่รักษาตัวหายดีก็ตัดสินใจเริ่มกลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง งานไม่เกี่ยง แต่ขอเดินทางสะดวก ซึ่งจังหวะดีที่มีบริษัทโปรดักชันเฮ้าส์ มาเปิดใกล้บ้านมาก คือเดินแค่ 200 เมตร ก็เลยเข้าไปสมัครงานทำที่เลย เริ่มจากเป็นเด็กแบกสาย ลายกล้อง พวกโอบี ทำจนครบ 1 ปีผ่านไป รู้สึกนอยด์ ไม่ได้จับกล้องกับเค้าซะที จนเจ้าของบริษัท อ.ประเทือง เค้าให้โอกาสผม ลองจับกล้องวิดีโอ และ ไล่โฟกัสให้ดู ซึ่งตัวผมเองเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปเล่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งผมก็ทำให้เค้าดู เค้าถามผมว่าอะไรที่ยากสุดในการถ่ายวิดีโอ ผมก็บอก “คนเดินเข้าหากล้อง” เค้าให้ผมลองถ่ายให้ดู ผมก็ตั้งกล้องหน้าออฟฟิศ ถ่ายไล่มอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งผ่าน จนเค้าอินเตอร์คอมผ่านมาบอกให้ผมลองอีกที ก็ถ่ายมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านไปให้เค้าดู แล้วเสียงจากอินเตอร์คอมก็ดังขึ้นว่า ลองหาอะไรที่ถ่ายยากสุดให้ดูหน่อย ผมก็เห็นเด็กกลุ่มนึงกำลังปั่นจักรยานเข้ามา ผมก็ทำให้เค้าดูอีกครั้งเท่านั้นแหละ วันรุ่งขึ้นผมได้เป็นตากล้อง 3 ทันที โดยที่ไม่มีใครสอน เริ่มถ่ายงานไปก็ผ่านได้ ทำอยู่ประมาณ 3 เดือน ก็ได้เป็นตากล้อง 1 ซึ่งตรงนี้มันก็ได้มาจากความพยายามที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง และเหมือนกับว่านิสัยผมเองนั้น ถ้าจะทำอะไรก็ต้องดันไปให้สุดซอยเลย ครึ่งๆ กลางๆ ไม่เอา เสียเวลา เหนื่อยฟรี
ด้วยความพยายามผนวกกับการไม่เคยที่จะหยุดนิ่ง มันจึงทำให้ผมขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง โอบี จูนสีกล้อง ทำนู่นี่นั่นจนเชี่ยวชาญ วันนึงได้มีโอกาสได้ควบคุมสวิตช์ช่อง คือจะต้อง ตาดูมอนิเตอร์ หูฟัง มือคอยสับสวิตช์ ในเวลาเดียวกัน เรียกว่ายากเลยในตอนนั้น พอทำมาได้ประมาณ 3 เดือน ก็ได้ตำแหน่งในการควบคุมสวิตช์เพิ่มขึ้นอีกงาน แล้วก็เลื่อนมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ทำอยู่ปีนึงก็กลายเป็นผู้กำกับ ซึ่งที่ขยับขึ้นมาถึงตรงจุดนี้ได้ มันก็มาจากความชอบเป็นหลัก ก็เลยเรียนรู้ และซึมซับมันได้เร็ว ทำแล้วมีความสุขก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ
จนเข้าสู่ยุคฟองสบู่แตก เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งส่งผลกระทบถึงธุรกิจของที่บ้านด้วย ผมก็เลยตัดสินใจมาทำโฆษณา ทำหนัง MV ละคร อะไรในลักษณะนี้ เพราะเพื่อนที่รู้จักเค้าเป็นผู้กำกับก็หลายคน ทำไปทำมาก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับฝรั่ง เพราะเค้าชอบไอเดียผม ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าเค้าทำอะไร หรือผมทำอะไร ก็จะมีการแชร์ไอเดีย แลกเปลี่ยนกันตลอด จากประสบการณ์ที่เคยร่วมกับคนไทย เค้าจะไม่ได้มาแชร์ แต่กลับคิดว่า ทำไม่ได้หรอก โม้บ้าง อะไรต่างๆ นานา ผมก็ไม่เคยเถียงหรือว่าตอบโต้ รอให้ผลงานที่ออกมาเป็นเครื่องตัดสินดีกว่า ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้ผมรู้จักกับนักแสดง ดาราหลายๆ ท่าน ผมยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการละครอยู่ไปมาตลอด และเรื่องสุดท้ายทำในสายงานละคร คือ บันทึกกรรม แต่งานทางด้านอื่นก็ยังคงทำต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าหันหลังให้กับรถซิ่งไปเลย
จนยุคแรกของ Drift หลังสนามซีคอนสแควร์ ก็ต้อง “คุณป๊อปปิ” เลย ตั้งแต่ยังเป็นยุคของม้วน VDO อยู่เลย ผมจะสนิทกับ “คุณป๊อป P Style” แรกๆ เค้าใช้รถ Opel เล่น Drift อยู่ พอกลับมาจริงจังอีกทีก็ไปซื้อรถ 200SX มาใช้ แล้วตระเวนไปกว้านซื้อยางเปอร์เซ็นต์ มาขับเล่นกันอยู่ 2 คน ก็ซ้อมเล่นกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอมีงานแข่งที่สนามหลังซีคอนสแควร์อีก ผมก็มาดู ตอนนั้น “จอห์น” เป็นคนพากย์ ผมก็เลยขึ้นไปแจมพากย์ร่วมด้วย ก็สนุกฮากันทั้งสนาม เพราะตั้งแต่ยุค Drift เริ่มต้นขึ้นในบ้านเรา ผมก็เห็นมาตั้งแต่แรกๆ ตั้งแต่ พี่จุ๊ ขับ Toyota Crown พี่โอเปิ้ล มากับ MX-5 แล้วก็อีกหลายท่านมาก ดังนั้น จะรู้ว่าใครเป็นใคร แซวกันขำสนุกเลย จนในวันนึงมีคนมาพูดว่า “แมน คนอย่างคุณไม่มีทางทำรายการทีวีมอเตอร์สปอร์ตได้หรอก” จู่ๆ ก็มีคนมาพูดในลักษณะดูถูกความสามารถของผม คงนึกอารมณ์ออกใช่มั้ย? ว่ามันเป็นยังไง ก็เลยเก็บคำพูดนั้นแหละมาตั้งเป็นโจทย์เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แล้วสี่เดือนให้หลัง ชื่อของรายการ นี่ แหละ มันส์ ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งตอนยุคเริ่มแรกออนแอร์ทางช่อง 9 และก็สู้ค่าเวลาไม่ไหว ก็เลยย้ายมาที่ช่อง 11 ทำรายการตัวเองด้วยทุนทรัพย์ของตัวเองมาตลอด 5 ปี ผู้สนับสนุนก็ไม่ค่อยมี อีกทั้งตัวผมเองก็ไม่ใช่ดารา นักแสดง มันก็เลยเป็นโจทย์ยาก ก็เลยคิดว่าขอหยุดรายการไว้ดีกว่า ก็เลยกลับมาทำหนังโฆษณาเหมือนเดิม พร้อมกับทำคลิปเล่นไปเรื่อยๆ จนมีรุ่นพี่มาทักว่า “ทำไมไม่ทำ Page ใน Facebook เพราะถ้าเป็นส่วนตัว เพื่อนเต็มได้แค่ 5,000 คน แต่ถ้าเป็นเพจนี่ได้เป็นแสนๆ เลยนะ” ซึ่งตัวผมเองมองโซเชียลมานานแล้ว ชอบอะไรที่มันเล็ก สามารถติดตัวไปได้ทุกที่ เข้าถึงทุกกลุ่มคน ในยุคปัจจุบันคนให้ความสำคัญกับหน้าจอเล็กๆ ของสมาร์ทโฟน มากกว่าหน้าจอทีวีเสียอีก ผมเองขนาดที่บ้านมีทีวียังไม่ค่อยได้ดูเลย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ก่อนหน้าที่ผมจะมีเพจ ก็ทำใน Facebook ส่วนตัวมาก่อน พอมาเริ่มทำเพจจริงจังได้ประมาณ 1 ปี ก็มียอดคนติดตามถึง 6 แสนกว่าคน มันทำให้เรารู้สึกว่าสนุกดี มีคนเข้ามาทักทายพูดคุย มีเพื่อนตลอดเวลา ซึ่งถ้าผมคิดจะทำตรงนี้เพื่อเป็นการพาณิชย์ ป่านนี้รวยไปแล้ว แต่ที่ทำก็เพราะความมันส์ล้วนๆ
“การเลือกที่จะเป็นวีรบุรุษ มันเลือกได้นะ คุณแข่งในสนามแข่งคุณคือฮีโร่นะ
แต่เมื่อใดที่คุณไปแข่งบนถนน คุณจะกลายเป็นคนไม่ดีไปเลยนะ
ทั้งๆ ที่มันเป็นการขับแข่งเหมือนกัน”
ซึ่งก็ต้องบอกว่าที่ชื่อของ “ไทยเรซซิ่ง” เติบโตมาได้เร็วมากขนาดนี้ ก็จะเป็นผลพวงที่ได้สะสมมาจาก “นี่ แหละ มันส์” รวมถึงผู้ใหญ่ใจดี ที่เคยไปถ่ายรายการ เค้าก็ให้คำปรึกษาข้อคิดดี บางทีก็ได้รับโอกาสพิเศษในการถ่ายทำ โดยที่ไม่มีใครเคยได้สัมผัสมาก่อน ซึ่งเปรียบเสมือนความโชคดีของผม เสมือนว่าเป็นน้องรัก ท่านผู้ใหญ่ใจดี หรือพี่ๆ ก็เลยหยิบยื่นโอกาสให้ จนทำให้ผมได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยได้ลองมาก่อน อาทิ รถแข่ง เจ็ตสกี ดำน้ำ จนกระทั่ง เครื่องบิน แน่นอนว่า นอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจในการนำเสนอ รูปแบบหรือคาแรกเตอร์ของการดำเนินรายการก็ต้องมีความชัดเจน ไม่ซ้ำใครด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากเป็นตัวแทนของคนที่นั่งดูอยู่ ก็เลยคิดรูปแบบการเดินถือไม้เซลฟี่มาทำรายการ โดยแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีการเซตอัพอะไรเลย แค่เพียงยกหูหานัดกัน แล้วก็เดินทางไปทำรายการ ไปแบบซื่อๆ เลย อยากรู้อะไรก็ถามตรงนั้น โดยใช้สมาร์ทโฟนเป็นตัวถ่าย ดำเนินรายการ ด้วยเหตุผลที่ว่า ณ ปัจจุบันสมาร์ทโฟนมีประสิทธิภาพมากกว่าการเป็นแค่โทรศัพท์มือถือ รวมถึงสิ่งที่ตั้งใจเลย ผู้ร่วมดำเนินรายการเค้าไม่เครียด เพราะมันเป็นแค่ไม้เซลฟี่กับสมาร์ทโฟน ลองมาเป็นกล้องใหญ่สิ เค้าจะเกร็งกัน แล้วสิ่งที่ได้มันจะได้ความเป็นธรรมชาติ เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน แล้วก็จะได้บุคลิกของเค้าจริงๆ ด้วย แต่ใช่ว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งในทุกครั้ง บางครั้งอุปกรณ์เหล่านี้มันอาจจะไม่ดูเป็นมืออาชีพเหมือนกับกล้องใหญ่ แต่จะให้กล้องใหญ่ ก็ทำได้ แต่มันไม่ใช่สไตล์ของไทยเรซซิ่ง
ผมจะเน้นการทำรายการในแบบเข้าใจง่าย ไม่อิงวิชาการมาก อธิบายแบบบ้านๆ เห็นภาพกันไปเลย เพราะด้วยคาแรกเตอร์ของรายการที่เน้นสบายๆ รวมทั้งระยะเวลาที่จำกัด ดังนั้นทุกอย่างต้องจบกระชับ เข้าใจ ในตอนครับ ยิ่งช่วงหลัง Facebook สามารถถ่ายทอดสด (LIVE) ได้ ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความสนุกเข้าไปใหญ่ ถามมาจัดให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย มันถึงเข้าไปอยู่ในใจแฟนรายการ ซึ่งโดนรีเควสให้ไปอู่นู้น อู่นี้ ทีละ 800-900 ในข้อความ Inbox ผมก็พยายามตอบทุกคนที่ให้ความสนใจถามไถ่เข้ามานะ บางทีช้าหน่อย เพราะข้อความเยอะมากและเต็มตลอดเวลาจริงๆ อยากจะบอกว่า อ่านและตอบไปเท่าไหร่ ก็ไม่เคยลดจำนวนลงเลย Inbox ขึ้น +999 ตลอดจริงๆ
“ในการทำคอนเทนต์ของผม ผมจะหยิบเรื่องราวอะไรที่มันดีอยู่แล้ว
แต่คนไม่เห็นค่า อย่างประเทศไทยมีของดีเยอะมาก แต่คนไทยใกล้ตัวกลับมองไม่เห็นค่า
อย่างเช่น ตุ๊ก ตุ๊ก คนต่างชาติชอบ มาประเทศไทยเพื่อมาดู มาสัมผัส ได้ถ่ายภาพคู่
กลายเป็น Signature ในการมาประเทศไทย แต่ทำไมคนไทยถึงไม่นั่ง
จนผมลองหา ตุ๊ก ตุ๊ก มาขับอยู่หนึ่งวัน ก็ได้ข้อสรุปที่คนไทยไม่ชอบ
ก็เพราะกลิ่นควันไอเสียบนถนน และอีกอย่างคือ มันร้อน
ซึ่งวันนึงผมกลัว Signature ของประเทศไทย อันนี้จะหายไป”
ณ ปัจจุบันผมแฮปปี้กับการทำตรงนี้มาก โดยตั้งเป้าไว้เพียงแค่ 5 หมื่นคน สำหรับผู้ที่เข้ามาติดตาม Page ของไทยเรซซิ่ง แต่ผลการตอบรับที่ได้มา เปรียบเสมือนเอ็กซ์ตร้า โบนัส ต่อไปในอนคตข้างหน้า ผมก็ต้องทำการให้หนักกว่าเดิม พร้อมทั้งรับฟังข้อติชมเพื่อนำมาพัฒนารายการให้ตรงใจผู้ชมมากยิ่งขึ้น จนล่าสุดนี้ก็ไปโดนไม้เซลฟี่ สเตบิไลเซอร์ อันใหม่มา ด้วยคุณสมบัติที่นิ่งมาก จะช่วยในเรื่องความเสถียรในมุมมองภาพ รวมถึงคอนเทนต์ใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้มันสนุกที่สุดจนถึงจุดนึง แต่ก็ไม่สามาถตอบได้ว่า จุดนึงที่ว่านั้น มันอยู่ที่ตรงไหน และสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้เรื่องนึง คือ ผมไม่อยากให้คนไทยมาดูถูกฝีมือคนไทยกันเอง มีใครรู้มั่งว่า ช่างชุดแรกๆที่ทำช่วงล่างให้ Ken Block คือคนไทย หรือจะเป็นการแข่ง WRC ก็มีคนไทยทำช่วงล่างให้เยอะมากนะ พวกนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ ก็เพราะว่า บางทีพอเราพูดอะไรออกไป เค้าก็หาว่าโม้ ขี้อวด บ้างล่ะ คือไม่ค่อยจะยอมรับความสำเร็จในสิ่งที่เค้าเป็น และล่าสุด ผมได้คุยกับช่างคนนึง เค้าเป็นคนทำรถแชมป์ระดับโลกในรายการ WRC เค้าเป็นคนไทย อยู่จังหวัดน่าน ลองไปหาดูครับ รวมถึงการจูนรถแข่ง เดี๋ยวนี้การแข่งขันในต่างประเทศก็มีจูนเนอร์ที่เป็นคนไทยนี่แหละ เดินทางไปจูนรถแข่งหลายคนเลยล่ะ คนไทยนี่อยู่ทุกที่ในโลก เพียงแต่ไม่มีใครสนใจ เพราะอย่างนั้นผมจึงอยากให้คนไทยมาสนใจในความเก่งของคนไทย มันจึงเป็นที่มาของไทยเรซซิ่งครับ”
น้าแมน ได้เล่าชีวิตของเค้าให้ฟังแล้วนะครับ ว่าเค้าเป็นใคร แล้วมายืนตรงจุดนี้ได้อย่างไร เพียงเพราะแค่คำพูดเดียวจริงๆ ที่ปลุกความสามารถของตัวตนที่แฝงอยู่ภายใน ให้กลายมาเป็น น้าแมน ไทยเรซซิ่ง ที่โด่งดังอย่างในทุกวันนี้ครับ…