“พี่ฟังผมนะ ตอนที่ผมเปิดหนังสือรถดูในสมัยนั้น ผมคิดว่า วันนึงผมจะต้องรู้จักพี่ๆ ทั้งหลายที่ลงหนังสือให้ได้” ใครจะคิดว่าเด็กใส่แว่นคนนึง ที่วันๆ ดูแต่หนังสือรถ จะก้าวมาเป็น พิธีกรชื่อดังในวงการมอเตอร์สปอร์ตอันดับต้นๆ ของประเทศ ได้อย่าง ณ ปัจจุบัน คำว่า “ปลาหมอ ตายเพราะปาก” มันคงใช้ไม่ได้กับผู้ชายคนนี้ โก้ ฐาปนวัฒน์ วัฒนพฤกษ์
แน่นอนว่า ผม กับ โก้ ต้องสนิทกันมาระดับนึงเลยละ เพราะได้ร่วมงานทั้งในประเทศและ ต่างประเทศกันมาหลายปี เห็นกันมาตั้งแต่นักศึกษาฝึกงาน จนวันนี้ น้องแว่นคนนี้ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนของเค้าจริงๆ ผมคิดว่า นี่คงเป็นครั้งแรกที่ โก้ จะพูดเรื่องของตัวเอง ในแบบฉบับจริงจัง มีสาระ ให้ทุกคนได้รู้จักที่มาของเค้า มันเป็นคำพูดที่ไม่เคยออกหน้าไมค์มาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าอยากรู้จักเค้า ลองอ่านชีวิตของเค้าดูครับ “พื้นเพเดิม ต้นกำเนิด ผมเกิดที่สงขลา คุณพ่อผมเล่นรถอเมริกันมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด พอผมเกิด ผมก็จำความได้ว่า ผมนั่งอยู่เบาะหลังรถคันโตๆ แล้วก็เล่นอยู่บริเวณซาวด์คอนเซปต์หลังรถ เพราะรถคันมันใหญ่ มีพื้นที่มากมายให้ผมเอารถของเล่นไปเล่นบนนั้น พอเริ่มจำความได้ ก็รู้ว่ารถคันโตๆ ที่ผมชอบเข้าไปเล่นที่เบาะหลัง คือรถ Pontiac Grand Am 2 ประตู เป็นรถที่หายากมาก ก็ต้องเท้าความกลับไปตอนสมัยวัยรุ่น พ่อผมเค้าเล่นรถมาตลอด เมื่อก่อนใช้ Sunny ใส่ล้อกล้วย แต่ในยุคนั้นมันก็จะมีคล้ายๆ กัน ถ้าใครใช้รถประเภทนี้ก็ต้องแต่งออกมาแนวประมาณนี้ ซึ่งพ่อผมเค้าชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนใคร ใช้ Sunny มันก็เหมือนๆ กับคนทั่วๆ ไป ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คุณปู่เค้าแบ่งมรดกให้ พ่อผมก็เลยเอาเงินส่วนหนึ่งจากตรงนั้น ไปซื้อเจ้า Pontiac Grand Am คันนี้มา
“ฝันอยากขับรถซิ่งเฟี้ยวๆ มีรถเท่ๆ ให้คนรู้จักในวงการ
แต่มันกลับตาลปัตร กลายเป็นเรามีปาก
ปากที่ทำให้คนเค้ารู้จักกันทั่ววงการ”
ตอนผมเด็กๆ ก็มีของเล่นไม่เหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ เค้ามีรถเหล็ก หุ่นยนต์ ของเล่นแปลกๆ เต็มไปหมด ตัวผมเองมีแค่ “รถเหล็ก” เพียงอย่างเดียว แม้แต่การ์ตูนที่มียอดมนุษย์จอมพลัง ผมก็ไม่เคยได้ดู เพราะพ่อผมกลัวว่าลูกดูแล้ว จะทำตามพวกยอดมนุษย์ กระโดดตึกนี้ไปตึกนู้น อะไรแบบนี้ แล้วเด็กเห็นก็อยากทำตาม เกรงจะเกิดอันตราย ก็เลยตัดสินใจไม่ให้ผมดูการ์ตูนในลักษณะนี้เลย เพราะฉะนั้น ผมจะใช้ชีวิตอยู่กับของเล่นที่เป็นรถมาตลอด เรียกได้ว่า ตอนนั้นชี้บอกได้เลยว่ารถที่วิ่งไปคือรถรุ่นอะไร พอเริ่มโตหน่อยก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ ยังพัวพันอยู่กับรถเหมือนเดิม ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มโตขึ้นมาแล้ว ก็เป็นยุคที่เฝ้าติดตามหนังสือรถ ในตอนนั้นถ้าใครทันคงจำหนังสือ “ตลาดรถ” ได้ เล่มใหญ่ๆ ผมชอบซื้อมาดู ว่ารถอะไร ขายเท่าไหร่ อวทม. ครบมั้ย อะไรทำนองนี้ ซึ่งในตอนนั้นพวก Porsche หรือรถอะไรแปลกๆ ที่ไม่ใช่รถตลาด ผมก็จะตัดรูปเก็บไว้ดู จนเรียนอยู่ในช่วงมัธยม 1 ผมกล้าพูดเลยว่า ผมเป็นคนเดียวในห้องที่ชอบรถ เพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ก็จะชอบกิจกรรมตามวัยรุ่นชอบในยุคนั้น เทคนิคแต่งรถ เป็นหนังสือที่รวมรถแต่งเป็นเล่มแรกของประเทศไทย ก็ติดตามหาซื้อมาดูอยู่ตลอด ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็เป็นช่วงรถนิยมการโหลดเตี้ยมากๆ ด้วยความเป็นเด็ก ม.1 เห็นแล้วก็ตกใจนะ ว่ารถทำไมเค้าเตี้ยกันได้ถึงขนาดนี้ เพราะผมเคยเห็นแต่รถแต่งที่เปลี่ยนล้อ เปลี่ยนท่อ วิ่งอยู่บนถนน พอมาเจอรถเตี้ยๆ ในหนังสือ มันก็เหมือนเปิดโลกทัศน์ผมเลยนะ ซึ่งมันเป็นช่วงที่ปั๊มไฮดรอลิกกำลังได้รับความนิยม ผมก็ตัดสติกเกอร์ RED’S ซึ่งมันเป็นยี่ห้อปั๊มไฮดรอลิกในยุคนั้น มาติดกระเป๋านักเรียนเลย ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่ามันคืออะไร ในกระเป๋านักเรียนผมก็จะพกหนังสือรถใส่กระเป๋าไปโรงเรียนด้วยทุกวัน คิดไปเองว่า เด็ก ม.1 พกหนังสือแต่งรถไปโรงเรียน คิดว่าเท่ไง พกไปทุกวัน รู้หมดเลยนะ เห็นรถคันนู้น คันนี้วิ่งบนถนน รู้เลยรถใคร ลงเล่มไหน ปกไหน คือผมเป็นคนชอบดูหนังสือซ้ำไปซ้ำมาไม่มีเบื่อ แล้วก็ชอบตัดภาพรถสวยๆ คันที่ชอบมาแปะประตูห้องนอนผม ตอนนั้นผมชอบการแต่งรถเป็นแบบไทยสไตล์อ่ะนะ จนหนังสือออโตโมบิล เปิดตัวขึ้นในประเทศไทย ซึ่งถ้าใครจำได้ ในช่วงต้นๆ เล่ม เค้าจะมีคอลัมน์แปลมาจากหนังสือรถแต่งซิ่งที่ญี่ปุ่น นั่นแหละ เปิดโลกรถสปอร์ตแต่งซิ่งสำหรับผม ซึ่งตอนนั้นบ้านผมอยู่แถวรัชดา แต่ผมเรียนอยู่แถวๆ คลองประปา เวลาเดินทางมาโรงเรียนก็จะต้องผ่านเต็นท์รถทั้งสองฝั่งบนถนนรัชดา ผมนี่หน้าเกาะกระจกรถที่แม่ขับไปส่งทุกวันเลย เพื่อที่จะดูรถสปอร์ตที่จอดขายอยู่ที่เต็นท์ทั้ง 2 ฝั่งบนถนนรัชดา ยิ่งแถวๆ เหมยฮัวเลยขึ้นไปหน่อย จะมีเต็นท์เกรย์มาร์เก็ต ซ้ายมือ ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นเต๊นท์ของพวกพี่อ๊อด โรตารี่ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้จักกับพี่เค้านะ จะมี RX-7 จอดอยู่ ผมนี่ชะโงกดูทุกครั้งที่ผ่านเลย คิดว่าโตมาจะต้องมีรถสปอร์ตแบบนี้ให้ได้ แต่พอมาดูราคากับความเป็นจริงเนี่ย แม่ยังขับ ซูซูกิ คาริเบียน ไปส่งอยู่เลย ซึ่งจะไปเทียบราคากับสปอร์ตพวกนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย มันก็ได้แค่ฝันที่ติดตัวมาตลอด
จน XO AUTOSPORT เปิดตัวหนังสือ ในยุคแรกๆ จะเป็นหนังสือแถมมากับนิตยสารกรังด์ปรีซ์ ผมจำได้ว่า เล่มแรกของ XO หน้าปกเป็นรถซูบารุ ซึ่งสไตล์ของหนังสือคือการลงลึกรายละเอียดเครื่องยนต์ การโมดิฟาย เป็นหลัก ผมก็รู้สึกชอบสไตล์ในการเขียนของ XO แต่ที่แย่คือหาซื้อยาก เพราะในช่วงนั้นเป็นหนังสือแถมเท่านั้น ก็เป็นช่วงที่ผมย้ายบ้านจากรัชดา ไปอยู่แถวประชานิเวศน์ 3 ผมนี่โรคจิตขนาดไหน คิดดูผมไปเฝ้าแผงหนังสือทุกวัน เพื่อรอหนังสือออก เพราะกลัวหมด ผมเก็บตังค์วันละ 10 บาท จากการไปโรงเรียน เพื่อซื้อหนังสือรถทุกเดือน เดือนละ 3 เล่ม คือ เทคนิคแต่งรถ ออโตโมบิล และ XO AUTOSPORT การใช้เงินร้อยกว่าบาทสำหรับเด็กคนนึงนี่มันก็ยิ่งใหญ่แล้วนะในตอนนั้น ผมซื้อทุกฉบับ ไม่มีการเปิดดูก่อนว่ามีอะไรที่ชอบแล้วค่อยซื้อ จนร้านหนังสือเค้าเห็นผมเป็นลูกค้าประจำ เค้าก็จะเก็บไว้ให้อย่างละเล่มเมื่อหนังสือออก หรือไม่เค้าก็เอามาส่งให้ที่หน้าบ้านเลย เพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านผม
“ยุคนี้ แต่งรถมาก็จะคล้ายๆ กันหมด ต่างจากเมื่อก่อนที่แต่ละคันก็จะมีเอกลักษณ์ต่างกันไป
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดี ที่เดี๋ยวนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากฝีมือคนไทย มีการยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย
แต่ติดอยู่เรื่องเดียว คือมันจะเหมือนๆ กัน เช่น ท่อไอเสีย ทรงนี้ได้รับความนิยม
ทุกคนก็จะแห่ผลิตแต่ทรงนี้ออกมาขาย แล้วมันก็วนกลับไปเหมือนเดิม คือรถทุกคันแต่งคล้ายๆ กันหมด”
ผมดูหนังสือไปเรื่อยๆ จนวันนึงมีความคิดที่แล่นมาบนหัวว่า “ผมจะต้องรู้จักคนที่ลงในหนังสือให้ได้” ซึ่งก็มี พี่อ๊อฟ หทัย, พี่ปรีดา, พี่อั๋น Kansai แล้วก็อีกหลายคนมากมายที่ผมอยากจะรู้จักเค้า เมื่อเห็นรถเค้ามาลงหนังสือ ครั้งแรกของผมที่ได้ไปดูรถแข่ง ก็จะเป็นที่สนามพีระฯ เซอร์กิต (พัทยา) ผมก็ยังไม่ค่อยอินเท่าไหร่นะ เพราะมันเป็นยุคของพวกพี่ๆ เค้า จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมอินหนัก ก็คือยุคสนาม BRC ยุคนี้มันเป็นยุคที่ตรงกับผมเลย เห็นทีแรกก็อึ้งเลยนะ รถไรวะ เอาข้างวิ่ง งงว่าเขาทำได้ไง ผมก็เลยไปศึกษา ซึ่งในตอนนั้นมันมี VDO ของออปชั่น ราคาม้วนละ 1,200 บาท ขายอยู่ในร้านหนังสือ Tokyodo จำได้ว่ามีเงินอยู่แค่ 500 บาท ที่เหลือขอพ่อ เพื่อที่จะซื้อ VDO มาดู เรียกว่าดูจนคุ้ม กรอแล้วกรออีก ดูจนเทปยืดเลย
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็เหมือนเป็นโชคของผม พี่เล็ก โปรเจ็ค มิว แกมาเปิดร้านหน้าปากซอยบ้านผมเลย อยากจะบอกว่าผู้ชายคนนี้เท่มาก ซึ่งแนวทางการแต่งรถของผมที่มาจนถึงทุกวันนี้ ก็มาจากผู้ชายคนนี้เลย ผมปั่นจักรยานจากบ้านที่อยู่ในซอยวัดบัวขวัญ ไปที่ร้านพี่เล็ก ก็ประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อที่จะไปซื้อหนังสือออโตโมบิล แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่อยากได้หนังสือหรอก เพราะผมซื้อหน้าบ้านประจำอยู่แล้ว แต่ที่ไปก็เพื่ออยากจะเห็นรถเค้า อยากเจอตัวพี่เล็ก ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ เข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนึงมั้ย ที่ชอบรถสปอร์ต แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะไปถึงในวุฒิภาวะแค่นั้น มันก็ทำได้เพียงแค่ดูใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว ตอนนั้นรถ 200 SX พี่เค้าเท่มาก ใส่เบาะบริด (BRIDE) สมัยนั้นผมยังอ่านแบบนั้นอยู่เลย สะเหร่อมั้ยล่ะ หรือ RX-7 อะไรวะเนี่ย สีฟ้า เคยเห็นแต่สีพื้นๆ ผมให้เค้าเป็นไอดอลเลยนะ ในความบ้า กล้าที่จะทำรถ ศรัทธามาก มีแข่งที่สนาม BRC ทุกครั้ง ผมก็ไปเชียร์ตลอดนะ นั่งรถเมล์ไปกับเพื่อน 2 คน
ยุคนั้นน่าจะเป็นช่วงแรกๆ ของดริฟต์ในประเทศไทย ผมจำได้ว่า มีพี่โอเปิ้ล, พี่เล็ก, พี่ป๊อปปิ, พี่โจอี้, พี่ป๊อป P Style, พี่บอย ขจรศักดิ์, พี่พีท ทองเจือ, พี่อ๊อฟ หทัย และ พี่จ้ำ กรัณฑ์ ซึ่งยุคนี้แหละที่ทำให้ผมเข้าถึงรถแต่งซิ่งอย่างจริงจัง หนังสือทั้งของไทยและของญี่ปุ่น ผมซื้อหนักมาก เพื่อที่จะให้ได้เห็นถึงความหลากหลายของการแต่งรถ จนมาในวันนึง พ่อผมซื้อ VOLVO มาคันนึง ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ขับโฟล์คตู้ โฟลค์เต่า ของพ่ออยู่ก่อนแล้ว ก็คิดมาตลอดว่ารถที่แต่งซิ่งๆ ที่ไปดู คงไม่มีบุญได้สัมผัสแน่ เพราะพ่อผมชอบสายคลาสสิก วินเทจ ประมาณนี้ ผมเองก็ชอบ ใช้ทุกวันมันก็ผูกพัน คิดว่าตัวเองเป็น ลีโอ พุฒ ประมาณนั้น ขับโฟลค์ตาม มัฆวาน ลานพระรูป ทุกคนรู้จักรถโฟล์คตู้คันนี้ดีนะ ในยุคนั้นโฟลค์ตู้สีขาว-แดง โหลดเตี้ย เพราะในยุคนั้นรถตู้ยังไม่ค่อยมีใครนิยมนำมาโหลดกัน
มาถึงยุคที่พ่อซื้อ VOLVO 760 Turbo พ่อผมใช้ได้สักพักนึง เครื่องยนต์พัง มันก็เข้าทางผมเลย เพราะผมอ่านหนังสือมาตลอด ทางออกของเครื่องยนต์ตัวต่อไปต้อง JZ เท่านั้น สรุปความเห็นเดียวกับพ่อ ทีนี้ก็หาอู่ที่เค้ามีความสามารถในการวางเครื่อง ผมก็เปิดหนังสือดูเลย ว่าควรจะเป็นที่ไหนดี จนไปเจอที่นึง ก็เอารถเข้าไปหาเค้าแล้วคุยรายละเอียดกัน คิดแค่เป็นเครื่อง 1JZ-GE แต่มันไม่ใช่แบบที่ผมคิดน่ะสิ เมื่อพ่อผมบอกว่า จะเปลี่ยนเครื่องทั้งทีก็ต้องไปให้สุดที่ 2JZ-GTE ไปเลย คิดดูสิว่าชั่วโมงนั้นราคาเท่าไหร่ 1JZ-GE ตัวประมาณ 4 หมื่น พอมาเป็น 1JZ-GTE ตัวละ 7 หมื่น ผมคิดว่า 2JZ-GTE มันก็น่าจะแพงกว่าอีกหน่อย ก็คงมี 8 หมื่นกว่าๆ แต่ป่าวเลย เครื่องพร้อมเกียร์ออโต้ 1.2 แสนบาท โอ๊ยได้ยินถึงกับขนลุก แล้วถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด จบที่ 1.8 แสนบาท ราคานี้ไม่รวมวางนะ ฟังแล้วขนลุกทันที ซึ่งในที่สุดก็วาง 2JZ-GTE กับอู่แถวๆ บ้าน เพราะเดินทางไปดูรถได้สะดวกที่สุด จากจุดนี้ผมมีรถแต่งวางเครื่องเป็นคันแรก ขับบ้างนิดหน่อย ต้องคอยแอบๆ เพราะพ่อกลัวเกิดอุบัติเหตุ แต่ในที่สุดเค้าก็ปล่อย เพราะห้ามไปเดี๋ยวก็แอบขโมยไปขับอีก
VOLVO เครื่อง 2JZ คันนี้ผมซ่อมไม่เลิกเลยนะ โดนอู่หลอกตลอด ไปมากี่อู่ก็โดนเค้าหลอก เพราะตอนวางเครื่องมาใหม่ๆ ก็คิดว่าตัวเองเจ๋งไง เจอพวก BENZ เปลี่ยนเครื่อง ก็เล่นกับเค้าไปทั่ว แล้วส่วนใหญ่โดนเค้าตลอด ทั้งๆ ที่เค้าก็แค่ 1JZ-GTE ก็เริ่มสงสัยเครื่อง 2JZ โดน 1JZ หิ้วตลอดเลย ก็พยายามหาข้อมูลศึกษา จนไปพบกับอู่ที่อยู่ในซอยทรายทอง ชื่ออู่ Prostreet ผมก็ขับรถไปหาเลย แจ็คพอต เจอเจ้าของพอดี เห็นสภาพทีแรกจะไหวเหรอวะเนี่ย ก็เข้าไปคุยกับเค้า ว่าอาการรถมันเป็นยังไง แล้วถามเค้าว่าแก้ได้มั้ย? พี่เอ๋ เจ้าของอู่ เค้าบอกกับผมว่า ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก จอดรถทิ้งไว้เลย เดี๋ยวทำให้ ทีนี้แหละ ผมก็เจอกับเพื่อนคนนึง ชื่อ กอล์ฟ หรือที่รู้จักกันดีว่า ประทวย เค้าขับรถกระบะแวน ISUZU TFR อยู่ในตอนนั้น อินเตอร์คูลเลอร์ห้อยหน้ารถใบเบ้อเริ่ม กันชนหน้าไม่มี ก็คิดว่าไอ้นี่รถมันเท่ว่ะ หลังจากนั้นก็สนิทกับกอล์ฟมาจนถึงทุกวันนี้ กลับมาที่ VOLVO ของผม ซึ่งพี่เอ๋ ได้แก้ปัญหาต่างๆ ให้ จนเครื่องสมบูรณ์ พอได้ลองเท่านั้นแหละ มันหนังคนละม้วนกับตอนก่อนเข้ามาเลย รถแรงมาก ขับมา 2-3 ปี ก็เพิ่งจะรู้ว่า 2JZ สมบูรณ์ๆ มันแรงขนาดนี้
“มุมมองของผม ผมมองว่า คนไทยติดกับค่านิยม คือมีเงินแล้วก็ถมของลงให้เต็ม
แล้วก็มีของแพงๆ เต็มคัน แล้วก็บอกเนี่ยสุด! ผมว่ามันไม่ใช่นะ
แต่อย่างว่า ความชอบของคนไม่เท่ากัน
ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง แต่งไว้แข่ง กับ แต่งไว้คุย มันจึงต่างกัน”
คราวนี้เริ่มบ้าความแรง จนวันนึงมีเพื่อนมาสะกิดให้ไปดูรถแข่ง ผมก็งง แข่งแบบไหน เพื่อนบอกว่าเป็นการแข่งกินเงินหลังถนน ผมก็ไปเลยกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนผมก็รู้จักกับกลุ่ม Nagaoka ซึ่งพอไปบ่อยๆ ก็เริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ผมเป็นคนพูดติดตลกอยู่แล้วไง ก็ฮากันไป เริ่มรู้จักคนเพิ่มเรื่อยๆ รวมถึงคนในหนังสือ ที่ผมเคยบอกว่าจะต้องรู้จักให้ได้ ผมก็มีโอกาสได้รู้จักหลายคนมากมายในวงการ ด้วยความที่ผมเป็นคนติดตลก ชอบพูดปากหมา แล้วเพื่อนๆ ก็ขำกัน จนไปคนที่จัดงานเชง เค้าเห็นแวว ผมก็เลยได้เสียงปลายสายที่โทร.มาชักชวนไปให้ทำงานด้วย ซึ่งคนที่โทร.มาหาผมในวันนึงคือ พี่บอยเชง ซึ่งพี่บอยแกจะจัดการแข่งขันร่วมกับเพื่อนเค้าอีกคนชื่อพี่เด่น ก็นับว่าเป็นงานแรกของผมที่ก้าวเข้าสู่วงการแบบเต็มตัว
หน้าที่ของผมในตอนนั้น คือ เชียร์ทั้ง 2 ฝั่ง แล้วเงินเดิมพันจะอยู่ที่ผม ผมเป็นคนปล่อยรถทุกครั้ง เชื่อมั้ยว่า ผมเดินเข้าสู่วงการรถได้อย่างรวดเร็ว คนที่ผมบอกว่าอยากจะรู้จัก มันกลับขั้วเลย กลายเป็นเค้ามารู้จักผม เพราะผมเป็นคนปล่อยรถ เป็นคนถือเงินทุกครั้งที่มีเดิมพัน ในยุคนั้นการวิ่งเชงบูมมาก มีอยู่ตลอดทุกสัปดาห์ ก็เล่นหลังถนนกันมาตลอด จนนิมิตหมายอันดี เมื่อสนามบางกอก แดร็ก อเวนิว คลอง 5 เปิดให้มีการแข่งขันในสนามแข่งที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อสนามเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการ มันเป็นช่วงที่ผมใกล้จะเรียนจบแล้ว มันเป็นช่วงที่ออกไปฝึกงาน ผมอยากฝึกที่ XO AUTOSPORT ก็เลยตัดสินใจมาฝึกงานพร้อมหมู Sit Turbo เพราะหมูบอกว่าสนิทกับพี่ใน XO หลายคน สรุปได้ฝึกสมใจหมูคนเดียว ส่วนผมต้องมาฝึกงานที่หนังสือกรังด์ปรีซ์แทน ระหว่างที่ฝึกงาน ผมก็จะเข้ามาในส่วนกองบรรณาธิการของ XO ตลอด ซึ่งในช่วงนี้แหละ พี่เก่ง Racingweb จัดแข่งรายการ Drag War ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน โทร.มาชวนผมไปร่วมงาน โดยอยากให้ผมเป็นพิธีกรสนาม ผมก็บอกพี่เก่ง ว่ามันจะไหวหรอพี่ ผมเป็นคนพูดโวยวาย มีหยาบคายด้วย จะไหวเหรอพี่ พี่เก่งบอกเอ็งทำได้แน่นอน ผมก็ไปทำเลย โดยไม่รู้จักระบบใดๆ ทั้งสิ้น ก็ได้พี่หนุ่ม เป็นคนสอนระบบเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันในสนามให้กับผม พร้อมกับสอนวิธีการพากย์ ว่าหลักๆ นักแข่งและผู้ชมต้องการฟังอะไรจากพิธีกรเป็นหลัก ผมก็ค่อยเรียนรู้เข้าระบบ พากย์ให้พี่เก่งอยู่แค่ เสาร์ที่สองของเดือน จนวันนึงพี่นัท ชนินทร์ ธรรมาธิคม โทร.มาให้ผมไปเป็นพิธีกรในรายการ Drag Zone ทุกวันเสาร์ที่ 1 ของทุกเดือน ผมก็ทำงาน เสาร์ที่ 1 กับเสาร์ที่ 2 ของทุกเดือน ช่วงนี้ผมก็ยังฝึกงานอยู่ที่หนังสือกรังด์ปรีซ์ ก็ได้รู้จักกับพี่ในทีม XO ท่านนึง สราวุธ จีนไชยะ ได้แนะนำให้ผมรู้จัก พี่แป๊ะ อภิรักษ์ สุทธิชัยรัตนา บก.ใหญ่สุดของ XO ก็มีโอกาสได้ร่วมงานพิธีกรให้กับ XO ในหนังสือ Tuned By… ที่เพิ่งจะเปิดตัวใหม่ๆ เลยในตอนนั้น
หลังจากนั้น เฮียบ้วย ปรีดา สุวรรณชัยศักดิ์ ก็โทร.มาชวนผมให้เป็นพิธีกรในเสาร์ที่ 3 แล้วก็ ในเสาร์ที่ 4 ก็เช่นกันครับ เรียกว่าผมมีงานพิธีกรทุกสัปดาห์ แต่อย่าคิดว่ารวยนะ ผมเริ่มจากค่าตัวราคา 1,500 บาท พากย์ตั้งแต่บ่าย 3 โมง จนเลิก ไม่ใช่ตี 2 นะ เมื่อก่อนจบเช้าตลอด ทำงานแบบนี้มาโดยตลอด ทำจนรู้จักทุกคนไปเรื่อยๆ ก็บอกเลยว่าทำได้ดั่งที่ฝันไว้นะ ได้รู้จักคนที่เราอยากรู้จัก ได้มายืนตรงนี้เพราะปาก”
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักโก้ แต่ไม่รู้ว่าเค้ามายืนตรงจุดนี้ได้อย่างไร วันนี้โก้ได้บอกหมดแล้วว่าเค้าเริ่มต้นมาจากอะไร มาถึงตรงนี้ได้อย่างไร ก็ฝากผลงานของน้องชายคนนี้ไว้ให้ท่านผู้อ่านคอยติดตามกันนะครับ