DUNLOP เปิดซิงยางใหม่ล่าสุด!!!
ENASAVE PREMIUM+ & GRANDTREK AT5
เด็ดขาดทั้ง Luxury Premium และ Off – road
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : Chanin Up
กระผม นาย “พี สี่ภาค” แห่งรายการ “สาระเร็ว” บน Youtube XO AUTOSPORT และ รายการน้องใหม่รถซิ่งสนุกๆ เบาๆ อย่าง “โคตรซิ่ง อเมซิ่ง ไทยแลนด์” ได้ Collab จับมือกันมุ่งสู่ Toyota Driving Experience Park (TDEX) บางนา เพื่อร่วมทดสอบยาง DUNLOP ซึ่งได้ออกยางรุ่นใหม่มาถึง 2 รุ่น ทั้งยางสำหรับ “เก๋งสายหรู” ไปจนถึงยางสำหรับ “กระบะ & SUV สายลุย” เขาว่า “ดีนักหนา” ไม่เชื่อหรอก มันต้องลองของจริง !!!
ใน Segment แรก ช่วงเช้า เราจะได้ทดลองยาง ENASAVE PREMIUM+ พร้อมสโลแกนที่ฝอยไว้ว่า “ที่สุดของยางประหยัดน้ำมัน” เป็นยางรถนั่งระดับพรีเมียม สมรรถนะสูง ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ยางรุ่นนี้ จะเน้นในด้าน “ประสิทธิภาพค่าสัมประสิทธิ์ของความต้านทานการหมุน” ถ้าจะแปลกันภาษาง่ายๆ ก็คือ “เป็นยางที่ลดแรงต้านการหมุน” อันจะทำให้ “ลดภาระของเครื่องยนต์” จะส่งผลให้ “ประหยัดเชื้อเพลิง” และ “เพิ่มสมรรถนะ” โดยที่ “ยังคงการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม” ที่สำคัญ เทคโนโลยี Wet grip powder ที่ใช้เทคโนโลยีส่วนผสมเดียวกับยางรถแข่งที่ใช้วิ่งถนนเปียก (Wet race tire) ซึ่งเป็นข้อสำคัญมาก เพราะการขับขี่บนถนนเปียก จะเป็นตัวแปรที่อันตรายที่สุด ซึ่ง DUNLOP จะเน้นความปลอดภัยสูงสุด จึงต้องเน้นๆ กันหน่อย โดยการทดสอบ จะใช้รถยนต์ TOYOTA CAMRY กับขนาดยาง 215/55R17 ทดสอบเปรียบเทียบกับ “ยางคู่แข่ง” ในระดับเดียวกัน ใช้เงื่อนไขเดียวกันทั้งหมด ลมยาง 35 PSI ตามมาตรฐานของรถยนต์รุ่นนี้ แบ่งการทดสอบเป็น Station ต่างๆ ดังนี้…
- Rolling resistance coefficient : เป็นการสาธิต โดยการปล่อยรถไหลจากทางลาดชัน โดยใช้เกียร์ว่าง ยาง DUNLOP ENESAVE PREMIUM+ สามารถพารถไหลได้ระยะทางไกลกว่ายางคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด แสดงถึงการต้านทานการหมุนที่ต่ำกว่ามาก…
- Comfort Test : ทดสอบความนุ่มนวล การซับแรงสั่นสะเทือนจากผิวถนนในสนามทดสอบ ซึ่งสร้างจำลองไว้หลายลักษณะ ยาง DUNLOP ENESAVE PREMIUM+ ให้ความนุ่มนวล ซับแรงกระแทกได้ดีกว่า รวมไปถึงเสียงยางที่ต่ำ ซึ่งเพื่อนๆ สื่อที่นั่งด้านหลัง จะรู้สึกได้ชัดเจนกว่าด้านหน้า ก็ลงความเห็นตรงกัน ว่ามีความสบายเพิ่มขึ้นกว่ายางคู่แข่ง…
- Noise test : เป็นการวิ่งด้วยความเร็วคงที่บนถนนยางมะตอย เพื่อทดลองฟังเสียงรบกวน ยาง DUNLOP ENESAVE PREMIUM+ กับ ยางคู่แข่ง บอกตรงๆ ว่าอาจจะไม่ต่างกันเท่าไร เพราะใช้ความเร็วไม่สูงมากนักเพื่อความปลอดภัย แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เงียบสบายหูดี…
- Wet brake test : เป็นการทดสอบเบรกกระทันหันบนพื้นผิวกระเบื้อง ที่มีความฝืดต่ำกว่าถนนปกติ (Low mu) พร้อมฉีดน้ำ ทดสอบเบรกกระทันหัน ที่ความเร็ว 50 km/h ยาง DUNLOP ENESAVE PREMIUM+ ทำระยะเบรกได้สั้นกว่ายางคู่แข่งถึง “8 เมตร” ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า เทคโนโลยี Wet grip powder ใช้ได้ผลสูงสุดจริง…
- Slalom handling test : เป็นการทดสอบการหักหลบกระทันหันไปมาแบบ “สุดขอบเลนวิ่งซ้ายขวา” ด้วยองศาพวงมาลัย 180 องศา ซึ่งเป็นแบบ Cross hand พอดี ด้วยความเร็วคงที่ 60 km/h จำลองการ “หักหลบอุปสรรค” อะไรก็ตามที่ทำให้เรา “เหวอ” แบบไม่รู้ตัว ในช่วงแรก ก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไรจากยางคู่แข่งมากนัก แต่พอช่วงกลางถึงท้าย ที่ “ยางร้อน” และ “แรงเหวี่ยงสะสม” จนทำให้ยาง “เริ่มสูญเสียการยึดเกาะ” ยาง DUNLOP ENESAVE PREMIUM+ สามารถ “ควบคุมและแก้อาการได้เหนือกว่า” อย่างเห็นได้ชัด อาการท้ายปัดในช่วงกลางที่มีแรงเหวี่ยงสะสม พร้อมผู้โดยสาร 4 คน ไซส์บิ๊ก ยอมรับว่ามีแน่ๆ แต่สามารถแก้คืน (Recover) ได้ง่ายและเร็วกว่า…
หลังจากนั้น เราได้ทดสอบยาง DUNLOP GRANDTREK AT5 “ลุย แกร่ง ทุกสภาพถนน” ซึ่งเป็นยางสำหรับรถกระบะยกสูง 4×4 หรือ SUV ทดสอบในเส้นทางแบบ Off – road เต็มระบบ โดยใช้รถ TOYOTA REVO 4×4 ยางขนาด 265/65R17 โดยทดสอบเทียบกับยาง DUNLOP GRANDTREK AT3 รุ่นก่อนที่ “ว่ากันว่าดีอยู่แล้ว” แต่ AT5 ก็ได้ปรับปรุงใหม่ให้ยอดเยี่ยมขึ้น ด้วยส่วนผสมเนื้อยางสูตรใหม่ Super abrasion carbon ทำให้ยางสึกหรอช้าลง ใช้งานได้นานขึ้น 50% ความนุ่มนวล สภาพการขับขี่โดยรวมดีขึ้น 25% ให้การยึดเกาะบนถนนเปียกเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับ AT3 พร้อมเทคโนโลยี Stone ejector ออกแบบดอกยางให้ “สลัดหิน” ออกจากหน้ายางให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสียหายกับยางจากเศษหินแหลมคม การทดสอบ จะมี Station ดังนี้…
- On road test : เหลารวมเลยแล้วกัน จะมีช่วงเข้า Slalom ผ่านกรวยยาง โดยการหักพวงมาลัยที่นุ่มนวลที่สุด ที่ความเร็วเฉลี่ย 60 km/h ยาง DUNLOP GRANDTREK AT5 ให้การตอบสนองที่รวดเร็ว กระชับ และที่สำคัญ “ไม่มีเสียงยางร้อง” ส่วนเรื่องของ “เสียง” บนถนนปกติ “เงียบ” ครับ นับว่าโดดเด่นมาก เพราะยางแบบ AT หรือ All terrain ทั่วไปก็มักจะมีจุดอ่อนตรงนี้เป็นปกติ…
- Off road test : ก็จะมี Station ที่เราไม่เคยเจอในชีวิตประจำวัน เช่น “การไต่เนินลาดชัน” ถึง “43 องศา” หน้าสู้ฟ้า หลังสู้ดิน ยาง AT5 เกาะได้ดี หนึบ นุ่มนวล ควบคุมมั่นใจทั้งขาขึ้นและขาลงแบบ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ต่อมาเป็น Dry river track เป็นหินเหลี่ยมขนาดใหญ่ และ Twist track เป็น “เนินสลับซ้ายขวา” แบบ “ล้อแขวนลอย” ผ่านได้อย่างสบาย คุมพวงมาลัยและคันเร่งได้ง่าย อาการล้อฟรีลดลง รวมไปถึงการวิ่งลอดอุโมงค์ที่จะต้อง “ไต่ตะแคง” แบบ “หูเช็ดพื้น” ยาง DUNLOP GRANDTREK AT5 สามารถไต่มุมตะแคงได้มากกว่า ถ้ายางเกาะไม่พอ รถจะไหลลง ทำให้เกิดอันตรายได้ แต่อันนี้สอบผ่านได้สบายๆ ท่ามกลางความเร้าใจ…
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม
https://web.facebook.com/DunlopTireThailand/