คุ้มไหม 60 ล้านบาท 830 ม้า “พยศ” พันธุ์แท้ กับ V12 “กระชากรอบหมื่น” !!! FERRARI 812 COMPETIZIONE

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี

นานแค่ไหนนะ ที่เราเคยได้ยินเสียง “ม้าพยศกรีดร้อง” ภายใต้ฝาสีแดงๆ ลูกสูบเยอะๆ จำนวน 12 ลูก รอบเครื่องแผดหวานจัดจ้านเร้าอารมณ์ โดยไม่ต้องพึ่งระบบอัดอากาศเป็นทางลัดให้เสียอารมณ์ดิบๆ แม้แต่น้อย FERRARI ยึดมั่นถือมั่นกับสไตล์นี้มาโดยตลอด จากเทคโนโลยี F1 เป็นเสน่ห์ที่ไม่ลืมเลือน ได้ยินเสียงก็ต้องรู้ทันทีว่า “ม้ามา” แน่นอน…

ล่าสุด FERRARI เปิดผ้าคลุม 812 COMPETIZIONE เห็นชื่อตามหลังนี้แล้ว “ขนลุก” ใช่ไหม เพราะมันมาจากคำว่า Competition หรือ “การแข่งขัน” นั่นเอง ในเวอร์ชันนี้ ก็จะมีความรุนแรงและ “อารมณ์แข่ง” ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ นาๆ ที่เน้นความเบา ดิบ และยังมีอีกรุ่น คือ COMPETIZIONE A มาจาก Aperto หรือ “เปิดหลังคา” นั่นเอง แต่ทั้งสองรุ่นนี้ ก็มีความโหดร้ายเพิ่มเติมจากรุ่น 812 Superfast อยู่มากมาย ที่สำคัญ มันมีอารมณ์ก้าวร้าวแบบดิบๆ แบบสายม้าพันธ์แท้อีกด้วย…

ดีไซน์สุดโดดเด่น Carbon – Fibre Blade บนฝากระโปรงหน้า เป็นช่องลมสำหรับระบายความร้อนจากห้องเครื่อง เป็นการเพิ่มพื้นที่ได้อย่างแยบยล ยิ่งวิ่งเร็วยิ่งระบายได้เร็ว กันชนหน้ากับสปอยเลอร์ในตัว สร้างแรงกดด้านหน้า และ ช่องลมระบายความร้อนของระบบหล่อเย็น และ ระบบเบรก ไลน์ตัวถัง เน้นความลื่นไหล และ “มีพลัง” เหมือนนักกีฬากล้ามเด่นชัดเป็นมัด สปอยเลอร์หลัง ปกติแล้วจะต้องชินกับหางใหญ่ๆ สูงๆ ใช่ไหม แต่นี่ไม่เลย การออกแบบจะเน้นความกลมกลืน ทำให้ด้านท้ายดู “มีทรง” ล่ำๆ โดยไม่ต้องพึ่งหางใหญ่ยื่นยาวอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้ภาพลักษณ์ดูกลมกลืนสมบูรณ์แบบสปอร์ตเรซซิ่งแต่ยังขับบนถนนได้อย่างปกติ…

มาดูไฮไลต์กันดีกว่า ขุมพลังของรถระดับ Hyper Car ตอนนี้โดยมากก็หันไปพึ่งกับ “เทอร์โบ” กับ “ไฮบริด” ก็เป็นไปตามเทรนด์ แต่มันออกจะ “ไม่ได้อารมณ์” ไปเสียหน่อย ซึ่ง FERRARI ก็รู้ดีว่าแฟนๆ ต้องการอะไร จึงยังคงเอกลักษณ์ของ “ม้าอิตาลี” ที่ตรึงใจมานาน เป็นเครื่องยนต์ F140 GA แบบ V12 กาง 65 องศา ความจุถึง 6.5 ลิตร และ “ไร้หอย” โดนสิ้นเชิง แล้วมันจะแรงสู้พรรคพวกได้ไหม ??? 

คำตอบอยู่ที่แรงม้า “830 PS” นั่นยังไม่พอ มาที่รอบถึง “9,250 rpm” !!! จริงๆ แล้ว เครื่องตัวนี้ ทางโรงงานเคลมว่าปั่นได้ถึง 10,000 rpm ได้อย่างสบาย แต่ด้วยความที่เป็นรถจำหน่ายจริงและวิ่งใช้งานปกติได้ด้วย จึงลดรอบการทำงาน ลิมิตที่ 9,500 rpm ดูตัวเลขอาจจะคิดว่ามันก็ไม่ได้อะไรนัก เพราะสาย VTEC ก็ทำได้ตั้งนานละ แต่ลองคิดว่า เครื่อง 12 สูบ ความจุบิ๊กๆ ขนาดนี้ ปั่นได้หมื่นรอบนี่นับว่าไม่ธรรมดา กำลังจะมหาศาลแค่ไหนก็ได้คำตอบแล้ว ส่วนแรงบิดนี่สุดยอดเช่นกัน 692 นิวตัน – เมตร ที่ 7,000 rpm เรียกว่าลากกันได้สะใจเต็มข้อ ส่วนเกียร์เป็นแบบไฟฟ้าอันสุดแสนว่องไว F1 – DCT “คลัตช์คู่” 7 สปีด กระดิกนิ้วอย่างเดียว “รอเสียว” ได้เลย มันไวแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังอยากได้ “เกียร์มือ คลัตช์ Teen” อยู่ใช่ไหมละ…

สิ่งหนึ่งที่ FERRARI เอามาใช้กับ “ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์” ไม่ธรรมดานะครับ กับรอบเครื่องระดับแตะ 10,000 rpm ได้อย่างยาวๆ โดยยังไม่แยก Factor ออกมาเป็นชิ้นๆ โดยเทคโนโลยี DLC หรือ Diamond – Like Coating ที่ แกร่ง เรียบ ลื่น ดุจเพชร ลดความฝืดในการเสียดสี แรงเสียดทานต่ำ การสูญเสียกำลังต่ำ ความร้อนสะสมก็ต่ำไปด้วย เป็นเทคโนโลยีจาก F1 ที่สั่งสมมานานนั่นเอง… 

กลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญ นอกจากเครื่องยนต์รอบจัดแล้ว เรื่องของ “เสียง” เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หลายค่ายถึงขนาดต้องออกแบบเครื่องยนต์ ช่องพอร์ต โดยเฉพาะ “ระบบท่อไอเสีย” เพราะเป็นตัวที่เปล่งเสียงพลังออกมา โดยเน้นที่ “ย่านความถี่ขนาดกลางถึงสูง” ซึ่งเป็นช่วงที่เค้นกำลัง สุ้มเสียงที่ออกมา จะต้องมีคาแรกเตอร์ของ “รถสนาม” หรือ Track – Inspired Character” แต่ก็ยังต้องควบคุมความดังให้อยู่ในระดับที่กฏหมายกำหนดอีก จึงผลิตเป็นท่อแบบ “ปลายคู่สองฝั่ง” และจะมี Resonator สะท้อนเสียงเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คู่ เพื่อให้เสียงที่ออกมานั้น สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ ความเร็ว เสียงดูดอากาศสไตล์ N.A. ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตรงนี้ยอมกันไม่ได้จริงๆ…

ระบบช่วงล่าง ย่อมต้องควบคุมม้าสุดโหดคอกโตระดับ 2,400 ขา ให้อยู่หมัด หมัดเด็ดอยู่ที่ระบบ Independent Four Wheel Steering หรือ ระบบเลี้ยว 4 ล้อ แบบอิสระ (ไม่ใช่ระบบช่วงล่างอิสระนะ) ที่จะปรับมุมเลี้ยวตามลักษณะการขับขี่ ในความเร็วต่ำ ล้อหลังจะเลี้ยวสวนทางกับล้อหน้า เพื่อให้ “วงเลี้ยวแคบ” เพิ่มความคล่องตัว แต่ความเร็วสูง ล้อหลังจะเลี้ยวทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการยึดเกาะ พร้อมระบบ Slide Slip Control (SSC) ในเวอร์ชัน 7.0 ล่าสุดนี้ ทำให้ทั้งขับมันส์ และ ขับง่าย ทำให้นักขับมือสมัครเล่นสามารถสนุกกับมันได้ แต่ก็ต้องมีทักษะและรู้ลิมิตทั้งตัวเองและตัวรถนะครับ…

บนสรุปในด้านสมรรถนะเจ้า FERRARI 812 COMPETIZIONE นั้นไม่เป็นรองใครในระดับเดียวกันอัตราเร่ง 0 – 100 km/h ทำได้ “2.85 sec” 0 – 200 km/h ทำได้ “7.5 sec” ส่วนความเร็วสูงสุดจัดไป “340 km/h” !!! เราดูตื่นเต้นนะแต่ Hyper Car ระดับโลกอื่นๆเขาเร็วระดับแตะ 400 km/h แต่ถามหน่อยว่าขนาดนั้นจะหาถนนที่ไหนขับกันละครับมันต้องปิดรันเวย์วิ่งกันแล้วซึ่งรุ่นนี้ไม่ได้เน้น Top Speed อย่างบ้าคลั่งแต่เน้น “Handling” ที่ให้อารมณ์ Track Car ดิบๆแต่ควบคุมได้นั่นแหละสายเลี้ยวถึงต้องถวิลหาสำหรับราคาเคาะมา 600,000 เหรียญสหรัฐหรือแตะ 20 ล้านบาท (แพงกว่าตัว 812 Superfast อยู่ 200,000 เหรียญ) ถ้ามาบ้านเราคงไม่ต้องบอกนะว่าราคานำเข้ารวมภาษีเท่าไร !!!