HOT & FUNNY & CRAZY !!! FUNNY CAR By SPEED D PROSHOP & SIAM PROTOTYPE

 

XO เล่ม 146 เดือน .. 2551

HOT & FUNNY & CRAZY !!!

FUNNY CAR By SPEED D PROSHOP & SIAM PROTOTYPE

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : ทวีวัฒน์ วิลารูป

         หลังจากที่นำเสนอ Dragster จากสำนัก RAM 77 กันไปยกหนึ่งแล้ว ก็คงไม่พลาดตัวแรงทางตรงอีกคันหนึ่ง มันคือ “FUNNY CAR” ที่ทำกันแบบบ้าพลัง คลั่งเวลาแบบเต็มที่ ในรูปแบบของเครื่อง Big Block ยัดด้วย “Supercharge” เข้าไปอีก อะไรจะขนาดนั้น เป็นฝีมือของเสี่ยดีแห่ง SPEED D PROSHOP ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีใน Quarter Mile Track งานนี้เสี่ยดีทุ่มสุดตัว เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ชอบ (ไม่ได้หมายถึงรถอย่างเดียวด้วยนะ) ก็คิดโปรเจ็กต์ยักษ์นี้ขึ้นมา จนออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้ จริงๆ แล้ว เราจะถ่ายคันนี้พร้อมกับรถของ RAM 77 แต่วันที่ถ่ายทำคอลัมน์ เกิดปัญหาขึ้นจากยางหลังที่ไม่สามารถถอดและใส่ได้ จึงขอเก็บไว้ก่อน แล้วมานำโชว์โฉมกันในฉบับนี้ ก็ดีครับ ลงทีละคันมันจะได้เนื้อๆกันไปเลย ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่ากันไปอย่างสะใจวัยรุ่น เชิญทัศนาได้ บัดนาว

Drag Car : The American Culture

         มิได้ดัดจริตจะมาขึ้นหัวฝรั่ง เพียงแต่จะสื่อความหมายอะไรบางอย่างก่อนจะเล่าเรื่อง ก่อนอื่นของเกริ่นนำก่อนว่า ข้อมูลแทบทั้งหมดนี้ ทาง SPEED D ได้ Support มาให้ ตัวผมก็เรียบเรียงและเสริมในบางจุดให้ดูอ่านแล้วมันส์ขึ้น เรามาเริ่มกันตรงที่ว่า ทำไมถึงบอกว่า Drag Car ถึงเป็นประเพณีของชาวอเมริกันผมก็ได้กล่าวถึงที่มาของการแข่งรถแบบนี้ไว้ในคอลัมน์ Question Time เล่มนี้แหละ (พลิกไปดูสิครับ) มันก็เป็นจุดเริ่มต้น แต่การแข่งที่แบ่งแยกรถลักษณะต่างๆ ก็จะแยกออกไปอีกมากมาย แต่จะขอพูดถึงเรื่องของ Funny Car ก่อนนะครับ อันนี้ SPEED D เค้าเล่าประมาณว่า รถแข่งแบบ Funny Car จริงๆ แล้ว มีมาตั้งแต่ยุค 60’s ซึ่งแยกมาจากรถแบบบ้านๆ หรือที่เรียกกันว่า “Door Slammer” มาเป็นรถที่ยาวขึ้นเล็กน้อย และมีน้ำหนักที่เบากว่า จนกลายมาเป็นรถแข่งแบบเต็มตัว ที่เรียกว่า Funny Car การแข่งขันของรถแข่งในรูปแบบนี้ ถือว่าเป็นมรดกทางความรู้ที่สั่งสมกันมา จากรุ่นบรรพบุรุษ จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน แล้วก็ถ่ายทอดไปเรื่อยๆ จนแตกหน่อออกไปมากมาย

         ถ้ามองกันให้ดีแล้ว ในสังคมของคนอเมริกัน ใช้การแข่งขัน Drag Racing เป็นเครื่องมือเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ และถ่ายทอดประเพณี ระหว่างคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ให้ช่วยเหลือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพราะค่าแรงอู่ต่างๆ ถือว่าแพง สำหรับงานแข่ง” Event ส่วนใหญ่จะมีเรื่อยๆ หลายๆ รายการ ในครอบครัวหนึ่งๆ จะมีรถเทรลเลอร์ หรือ Motor Home เพื่อใส่รถแข่ง และขับไปสนามเอง ไปนอนค้างทั่วประเทศ เพราะในรายการหนึ่งๆ เค้าจะวนเวียนจัดไปทั่วๆ รัฐ ทั้งนี้ก็เหมือนกันการ Racing On Tour เพื่อให้คนต่างพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแข่งขันกัน รู้จักกันในวงการเดียวกัน ก็เป็นการสร้างสัมพันธ์ไมตรี สร้างวงการให้แพร่หลายมากขึ้น

Funny Car Funny Style   

         สำหรับคำจำกัดความของ Funny Car แบบย่อๆ รุ่นนี้เป็นรถแข่ง Drag Racing ที่นิยมมากในอเมริกาโดยรถแบบ Funny Car นี้ จะมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์คือ มีเครื่องยนต์วางอยู่ด้านหน้า (Forward-mounted engines) และจะมี  “Body” หรือที่เรียกกันง่ายๆว่ากระดองครอบอยู่อีกที ตอนจะเปิดก็ยกทั้งกระดองขึ้นมา แล้วครอบลงไป ไม่มีประตู ไม่มีฝาเปิดอะไรทั้งสิ้น สำหรับตัวกระดอง ก็ทำเป็นรูปทรงแหลมๆ ตูดป้านๆ ตามลักษณะของเฟรมที่สร้างขึ้น รูปแบบก็ต่างคนก็ต่างสไตล์กันไป โดยมีหลากหลาย ทั้งแบบหน้าตา และแบบวัสดุ โดยทางผู้ผลิตจะถอดแบบมาจากรถที่มีความนิยมในยุคนั้นๆ หรือความชอบส่วนตัว หรือสปอนเซอร์ที่สนับสนุน โดยเค้าจะเน้นหน้าตาแบบรถบ้าน (Manufacturers’ showroom models) หน้าตามันเลยดูตลกๆ ก็อาจจะเป็นชื่อที่มาของ Funny Car ก็ได้

Regulation Of Funny Car : กฏ กติกา

         มาดูกติกาของ Funny Car กันบ้าง ในการแข่งขันของ NHRA ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของผู้จัดการแข่งขันรถยนต์ทางตรง (Drag Racing) นั้น เปิดให้มีการแข่งขันรถแบบ Funny Car สองรุ่นคือ “Nitro Funny Car” และ “Top Alcohol Funny Car” โดยแยกจากการใช้เชื้อเพลิงเป็นหลัก และมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันย่อยๆ อีก กติกาของ NHRA ก็กำหนดไว้หลักๆ เริ่มจากเครื่องยนต์ต้องเป็นเครื่อง V8 สูบ ทำมุมกว้าง 90 องศา สำหรับเครื่องยนต์ที่นิยมใช้กันอยู่ จะเป็นเครื่องยนต์ที่เรียกว่า “HEMI” ย่อมาจากคำว่า Hemispherical Combustion Chamber ก็เป็นลักษณะของฝาสูบ และห้องเผาไหม้ อันนี้มาจากทาง CHRYSLER ดีไซน์ห้องเผาไหม้แบบครึ่งวงกลมเพราะมีประสิทธิภาพในการประจุอากาศ (VE : Volumetric Efficiency) ได้ดีกว่าเครื่องยนต์ที่มีการดีไซน์ในไลน์การผลิตของค่ายยักษ์ใหญ่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น GM (General Motors) หรือ FORD ถ้าใครชอบติดตามรถแข่งของ NHRA ก็จะได้ยินคำว่า HEMI (เฮมิ) ก็มาจากตรงนี้แหละครับ

         นอกจากรูปแบบของเครื่องยนต์แล้ว มาถึงระบบเปิดปิดวาล์ว” NHRA ได้กำหนดว่าให้ใช้ระบบฝาสูบ แบบแคมเดี่ยว” (Single Camshaft) หรือแบบ OHV (โอเวอร์เฮดวาล์ว) และยังมีบังคับในเรื่องระบบอัดอากาศหรือ “Blower” หรือที่เรานิยมเรียกว่าซูเปอร์ชาร์จโดยในรุ่น “Top Alcohol Funny Car” จะอนุญาติให้ใช้เป็นแบบ Root Type หรือ Screw Type ก็ได้ (สงสัยดูรูปได้เลย ว่าแบบไหนหน้าตาอย่างไร) แต่ถ้าเป็นรุ่น “Top Fuel Funny Car” จะสามารถใช้ได้แต่ Root Type ซึ่งมีขนาดความยาว 483 มม. และกว้างไม่เกิน 286 มม. มาถึงเรื่องขนาดความจุ” (Displacement) ในรุ่นของ Top Fuel Funny Car กำหนดว่าต้องไม่เกิน 8.2 ลิตร” (อยากรู้กี่ ซีซี. ก็คูณด้วย 1,000 เข้าไป) ถ้าคิดเป็นความจุสไตล์อเมริกันแท้ๆ ก็อยู่ที่ “500 คิวบิกนิ้ว” (Ci : Cubic inch) แต่ในรุ่น “Top Alcohol Funny Car” สามารถให้มีความจุได้ถึง 8.7 ลิตร หรือ “531 คิวบิกนิ้วนั่นเลย

         ในด้านของการแบ่งความจุเครื่องยนต์ เนื่องจากการแข่งขันมีมานานมาก หลังจากลองผิดลองถูกกันมา เค้าจึงได้ข้อสรุปมาว่า เครื่องยนต์ที่นิยมใช้มีอยู่สองแบบ แบบแรก เรียกว่า “3/4 Stroke” มีกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 106.4 x 114.3 mm. (4.1875 x 4.5 inches) ถ้าคิดความจุออกมา ก็ได้เท่ากับ “8,130 ซีซี.” อีกแบบเรียกว่า 5/8 Stroke มีกระบอกสูบ x ช่วงชัก เป็น 108.0 x 111.1 mm. (4.25 x 4.375 inches) ใช้ลูกสูบโตกว่า แต่ช่วงชักสั้นกว่าแบบ 3/4 Stroke คิดความจุออกมาได้ “8,142 ซีซี.” แต่ในปัจจุบัน เครื่องแบบ 3/4 Stroke จะเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด การแบ่งหลักๆ ที่จะลืมไม่ได้เป็นสำคัญก็คือลักษณะของเชื้อเพลิงนี่เป็นตัวกำหนดชื่อรุ่นด้วย ในรุ่น Top Fuel Funny Car จะใช้เชื้อเพลิงแบบผสมระหว่าง Nitro methane (ไนโตรมีเทน) เป็นจำนวน 85-90 เปอร์เซ็นต์ และ Methanol (เมทานอล) เป็นจำนวน 10-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ในรุ่น Top Alcohol Funny Car จะใช้เชื้อเพลิงที่เป็น Alcohol หรือ Methanol อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับการกำหนดในด้านของ Chassis ทาง NHRA ระบุไว้ว่า ต้องมีขนาดความยาวฐานล้อ (Wheel Base) โดยวัดระยะห่างระหว่างจุดกึ่งกลางดุมล้อ” (Pivot) ล้อหน้าถึงล้อหลัง ต้องอยู่ระหว่าง “100-125 นิ้ว” (2.54-3.18 เมตร) และต้องมีความสูงจากพื้น 3 นิ้ว (76 มม.) ก็เป็นกติกาหลักๆ ของ Funny Car ครับ

First Funny Car In Thailand : ลำแรกในไทย

         ตอนนี้ก็มาถึงจุดเริ่มต้นของ Funny Car ในเมืองไทย ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ ให้กับคนไทยเลยก็ว่าได้ คันนี้เป็นรถนำเข้า” (Import) คือเข้ามาเต็มๆ ลำคันแรกของไทยเลยก็ว่าได้ จากสถิติเก่าที่เจ้าของทำไว้ อยู่ที่ “5.8 วินาทีกับความเร็วระดับ “400 กม./ชม.” !!! โดยดั้งเดิม เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นรุ่น Top Alcohol Funny Car ในตอนแรกทาง Siam Prototype ตั้งใจอยากจะมีรถแข่งแบบที่มีมาตรฐานระดับโลกกับเค้าสักคันนึง หลังจากที่ทำรถแข่งแบบ Local Made มาตั้งหลายคันแล้ว จึงได้ปรึกษากับทาง SPEED D ว่าน่าจะหารถที่ได้มาตรฐาน และมีแรงม้ามากๆ เพื่อที่จะเอาไว้วิ่งโชว์ รวมไปถึงแข่งขันในงานต่างๆ ได้ แต่มีข้อแม้ถ้าจะเล่นก็ต้องให้สุดเหมือนกัน

         ในตอนแรกก็มองหารถแข่งแบบที่เรียกว่า Rolling Chassis ซึ่งมีขายเกลื่อนตลาดอเมริกา เหตุผลที่ว่ารถแข่งที่ต่อขึ้นแบบ Tube Frame นั้นก็มีอายุการใช้งาน โดยเค้านับกันเป็นครั้งไป ว่ารถคันนี้วิ่งมากี่รันแล้ว ถ้าเป็นรุ่นใหญ่อาจจะใช้แค่ไม่เกินสิบครั้ง พอได้ตามกำหนด ก็ถอดของขาย แล้วก็เปลี่ยนคันใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า รถอาจจะเสียรูปจากเดิม เพราะเครื่องยนต์ที่มีแรงม้ามหาศาล ต้องรองรับแรงเค้น แรงบิดสูงมากๆ จึงมีโอกาสเสียหายได้เร็ว อีกประเด็นก็คือ อาจจะเป็นรายได้นอกเหนือจากที่สปอนเซอร์ให้ ในนักแข่งชั้นกลางๆ ก็จะซื้อต่อรถจากพวกนักแข่งรุ่นใหญ่ มาวางเครื่องใหม่ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เข้าไป เพราะถือว่าถูกกว่าสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งคัน เกิดเป็นธุรกิจค้าขายรถ Drag มือสอง ใครสนใจก็สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์ Ebay.com และ Racingjunk.com ก็จะมีธุรกิจการซื้อขายรถประเภทนี้อยู่… 

เสี่ยสั่งลุย ซื้อมาทั้งคัน

         หลังจากจดๆ จ้องๆ กันอยู่นาน เริ่มมาคำนวณงบประมาณแล้วว่า ถ้าซื้อแต่ Rolling Chassis แล้วมาหาเครื่องใส่เอง น่าจะงบบานแน่นอน แถมเอาเครื่องยนต์กับตัวรถที่แยกกันมา เสี่ยงต่อการ “Miss Match” ถ้าไม่แมทชิ่งก็เท่ากับว่าสูญเงินและเสียเวลาเปล่ากว่าจะรู้ก็สายเสียแล้วดังนั้นมิสเตอร์หยามแห่ง Siam Prototype ก็ระบุมาเลย ว่าเอารถเป็น Complete Race Car ราคาไม่ต้องแพงที่สุด พิกัดวิ่งแตะ “6 วิ.” ก็ถือว่าโอเคแล้ว ทาง Speed D ก็สืบเสาะหาจนเจอรถคันนี้ หลังจากผ่านมติที่ประชุม ก็ต่อสายคุยกับทางเจ้าของรถ ว่าเราต้องการจะซื้อรถคันนี้อิมพอร์ทเข้ามาเมืองไทย เพื่อจะสร้างสถิติใหม่ๆ ให้แก่ประเทศชาติ ไม่ให้น้อยหน้าชาติอื่น (เหตุผลเข้าท่าแฮะ) การตัดสินใจที่จะซื้อรถคันนี้ เพราะถูกสเป็กเครื่องยนต์เป็นไปตามที่ต้องการ ระบบส่งกำลังก็ถือว่าดีที่สุด ตัวครอบและอุปกรณ์อื่นๆ ก็ถือว่าดีกว่าตัวเลือกอื่นๆ ในขณะนั้น ที่ต้องรีบตัดสินใจ ก็เพราะว่าทาง Speed D ต้องเดินทางไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน ก็จะได้ดูแลเรื่องจัดส่งรถ รวมไปถึงเรียนรู้เทคนิคพื้นฐานและ Know How ของการปรับแต่ง รวมถึงการดูแลรักษา

         หลังจากตกลงซื้อขายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางคนขายก็จัดส่งรถมาให้ที่อู่ Precision Performance Engine ซึ่งเป็นอู่ที่ดูแลรถแข่ง Top Fuel Dragster ของทีม Paton Racing ซึ่งอยู่ที่รัฐ California หลังจากนั้น ก็ลงมือชำแหละดูของทั้งหมด ว่าตรงตามที่คนขายได้อ้างไว้หรือไม่ โอเค ตรงตามที่คุยไว้ ก็ผ่าน หลังจากนี้ก็มีการปรับปรุงเพิ่ม เพราะเราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างอย่างหลักก็คือเชื้อเพลิงเพราะเครื่องเดิมๆ ใช้เชื้อเพลิงแบบผสม Nitro Methane เราจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ใช้ Pure Methanol เพราะ Wน่าจะเหมาะกับสภาพเมืองไทยมากกว่า รวมไปถึงการบำรุงรักษา (Maintenance) ที่ง่ายกว่าใช้ไนโตรมีเทน   

Rigid Chromalloy Tube Frame : ไม่มีการให้ตัว ไม่มีระบบกันสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น

         ตอนนี้จะมาพูดถึงเรื่อง Chassis หรือ Frame ของรถคันนี้กันบ้าง จากเดิมเจ้ารถ Funny Car คันนี้ เป็นรถที่มีรูปแบบของ Chassis แบบยอดนิยม คือมีความยาวของช่วงล้อ (Wheel Base) อยู่ที่ 125 นิ้ว ยาวที่สุดกามกติกากำหนดโครงสร้างจะต่อขึ้นด้วยวัสดุ “Chromalloy” Tube Frame (Chromoly + Alloy) ตามมาตรฐาน NHRA แบบ Top Alcohol Funny Car ซึ่งการใช้วัสดุแบบนี้ ยังได้รับการรับรอง (Certified) ถึงปี 2008 มาถึงรูปแบบช่วงล่างของรถ Funny Car โดยทั่วไปแล้ว จะมีแต่จุดยึดล้อเท่านั้นไม่มีระบบกันสะเทือนยึดตายไปเลย แม้แต่เพลาท้าย ก็ยังยึดติดกับตัวรถ ไม่มีโช้คอัพ หรือสปริงใดๆ ทั้งสิ้น หรือเรียกว่าเป็นแบบ Hard Tail ทุกอย่างจะยึดอยู่กับเฟรมของตัวรถทั้งหมด ส่วนด้านหน้า จุดยึดดุมล้อ (Spindle) จะยึดไว้กับโครงสร้างด้านหน้า ทำดูเหมือนมีปีกนก แต่แท้จริงแล้วยึดติดกับเฟรมแบบตายตัว (Rigid) ไม่มีการให้ตัว และไม่สามารถปรับตั้งได้

Hand Brake Only : เบรกมือสถานเดียว

         มาถึงระบบเบรกคันนี้ใช้เบรกหน้าและหลัง เป็นของยี่ห้อ JFZ โดยมีปั๊มเบรก, กระป๋องน้ำมันเบรก และตัวปรับอัตราส่วนของเบรกหน้าและหลัง อยู่ด้านหลังเบาะคนขับ ถ้าสังเกตกันดีๆจะพบว่าไม่มีแป้นเบรกเท้าแล้วจะหยุดยังไง ไม่ยากครับ ก็ใช้มืดหยุดนั่นเอง เนื่องจากว่ารถแข่งแบบ Funny Car ถูกดีไซน์มาให้คนขับนั่งคร่อมอยู่ที่ห้องเกียร์ (Transmission Housing) ขาทั้งสองจึงอยู่ในซอกข้างตัวถัง ไม่สามารถวางแป้นเบรกแบบเท้าเหยียบ (Brake Pedal ) ไว้ได้ (ลำพังซอกนั้นแคบมาก ขาขยับแทบไม่ได้) ดังนั้นรถ Funny Car ทุกคันจะต้องไปใช้การเบรกแบบดึงคันเบรก มองดูคล้ายๆ กับเบรกมือที่ใช้ในรถทั่วไปนั่นแหละ คันเบรกนี้จะอยู่ด้านขวามือของคนขับ เพื่อให้ใช้มือที่ถนัดดึงได้เลย

Engine Block 3/4 Stroke 8,130 cc. : ขุมพลังบล็อกตัน ไม่มีโพรงน้ำ

         สำหรับขุมพลังตัวนี้ ก็เป็นของที่ติดรถมา ลักษณะเป็นเครื่อง V8 HEMI แต่เป็นการสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจทั้งตัว สำหรับ Engine Block หรือเสื้อสูบเค้าจะทำกันโดยขึ้นรูปจาก Aluminum Billet (อลูมิเนียมก้อน) เป็นวัสดุ Aluminum Stage 10 กัดให้เป็นเสื้อสูบ แล้วก็จะฝังปลอกสูบ” (Sleeve) ส่วนที่พิเศษก็คือ Block เครื่องตัวนี้ จะเป็นแบบตัน” (Solid Block) เพราะจะไม่มีโพรงสำหรับน้ำหล่อเย็น (Water Jacket) เข้าไปวนเวียน จะเป็นเสื้อตันๆ การทำแบบนี้ จะมีข้อดีในหลายด้าน อันดับแรกคือลดน้ำหนักเครื่องยนต์จากเดิมซึ่งเป็นเสื้อเหล็กหล่อ และยังทำให้แข็งแรงกว่าเสื้อสูบแบบที่มีโพรงน้ำ ใช้เวลาซ่อมไม่มาก เนื่องจากเครื่องยนต์อาจเกิดความเสียหายได้ตลอดเวลา เสื้อแบบตันนี้ จะสามารถซ่อมได้ โดยการถอดและใส่ปลอกอันใหม่ได้ง่ายดาย ใช้เวลาไม่มาก

         เสื้อสูบอันนี้ จะเป็นของสำนัก Keith Black ซึ่งเดิม Mr. Keith Black เป็นนักแข่ง Drag Racing ชั้นแนวหน้าของอเมริกา ผันตัวมาผลิตบล็อกเครื่องยนต์ สำหรับ Nitro/Alcohol ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ นอกจากนี้ระบบขับเคลื่อนแคมชาฟต์ รถปกติจะใช้สายพาน หรือโซ่ ทำให้เกิดการหย่อน เสียหายได้ในรอบสูง ทางสำนักเลยใช้ระบบฟันเฟืองขบ” (Gear Drive) ใช้เฟืองเป็นตัวขับเคลื่อนระหว่างแคมชาฟต์กับข้อเหวี่ยง อันนี้เป็นระบบของรถแข่ง ที่แข็งแรง แน่นอน และทนทาน (แต่มีข้อเสียคือ ชิ้นส่วนมาก เสียงดัง ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับรถแข่ง แต่รถบ้านไม่จำเป็น) “ปั้มน้ำมันเครื่องอัพเกรดดีสุด ทาง Keith Black ใส่มาให้เรียบร้อยลูกสูบใช้แบบหัวนูนของ Ross Piston (ขนาดก็ตามสเป็ก 3/4 Stroke ที่บอกไปตั้งแต่ต้น) “ก้านสูบเป็นอลูมินั่มของ Brooks “ข้อเหวี่ยงเป็นแบบยอดนิยมของ Bryant จะเป็นแบบ Steel Forging ซึ่งมีความแข็งแรง สามารถรองรับแรงม้าขนาดหลายพันได้ เพราะแรงม้าของรถ Top Fuel Funny Car อาจมีมากถึง “6,978-8,897 แรงม้า” (โว๊วววววว) แต่โดยมากจะอยู่ในช่วงของ “8,000 bhp” และอาจะมีแรงบิด” (Torque) มากถึง “9,500 นิวตันเมตรถ้าคิดเป็นกิโลกรัมเมตร ก็เกือบหมื่นเข้าไปแล้ว ในขณะที่ Top Alcohol Funny Car จะมีแรงม้าอยู่ที่ “3,000-3,500 bhp” ส่วนที่ต่างกัน ก็คือแรงม้าที่มาจากส่วนผสมที่เป็น Nitro Methane ซึ่งให้พลังงานแบบมหาศาล

ส่วนแบริ่งชาร์ฟทั้งอกและก้าน เป็นของ Kings Bearing ก็เป็นอันจบเรื่องท่อนล่างไป

Super Charger : แรงดี บิดระเบิด ขวัญใจอเมริกัน

         ก่อนอื่นเรามาดูเรื่องฝาสูบกันก่อน เพราะจะเป็นสิ่งที่กำหนดแรงม้าฝาสูบดี Flow ได้เยอะ ก็จะส่งผลให้มีแรงม้ามากขึ้น เป็นของ Alan Johnson เจ้านี้ก็เป็นนักแข่งที่หันไปเอาดีทางด้านผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องยนต์ซิ่งขาย (สังเกตดูว่า สินค้าอเมริกันที่ทำกันแบบ Full Race จริงๆ มักจะใช้ชื่อของคนผลิตเป็นส่วนมาก) ฝาสูบผลิตจากวัสดุอลูมินั่ม 6061 T-6 ขึ้นรูปโดยระบบ CNC ที่มีมาตรฐานสูงมาก เพื่อความแม่นยำ จะต้องให้ได้ Flow เท่ากันทุกสูบวาล์วไอดีและไอเสีย ใช้วัสดุเป็น Titanium “สปริงวาล์วสองชั้นแบบเป้งๆ ถูกใช้เพื่อรองรับกับรอบสูงๆ กับองศาและลิฟต์สูงมาก ชุด Rocker Arm เป็นรุ่น Stage V ซึ่งมีความแข็งแรงก้านกระทุ้ง” (Push Rod) หรือตะเกียบที่รับกำลังจากแคมชาร์ฟ (ไม่เหมือนกับพวก OHC หรือโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์ พวกนั้นแคมจะเตะตรงๆ เลย) และ Valve Adjuster ที่ใช้เป็นของ Manton Pushrods ทั้งชุด

         มาถึงระบบอัดอากาศจะใช้เป็นซูเปอร์ชาร์จหรือบางที่ก็เรียกว่าโบล์วเออร์” (Blower) ก็เหมือนกัน คือใช้กำลังสายพานจากเครื่องเป็นตัวฉุดไม่เหมือนเทอร์โบ อันนั้นใช้ไอเสียจากเครื่องยนต์ ไปปั่นกังหันเทอร์ไบน์) อันนี้แหละเป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าด้านเครื่องยนต์ เพราถ้าจะเรียกแรงม้าให้ออกมามากๆ ก็ต้องพึ่งประสิทธิภาพของเจ้า Blower คันนี้ใช้ของ SSI รุ่น 14-71 Hi-Helix ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาก

แต่ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า เราจะใช้เครื่องยนต์แบบไหน มันเกี่ยวเนื่องกับการ Balance ของเครื่องยนต์ ปกติจะมีสองแบบ แบบแรกคือ “External Balance” หรือที่เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือเครื่องที่จำเป็นต้องมีตัว Balancer ติดอยู่ที่หน้าข้อเหวี่ยง แบบที่เราชอบเรียก Damper Pulley นั่นแหละ อันนี้เราจะเห็นในรถโมดิฟายทั่วไป

         แบบที่สองก็คือ “Internal Balance” เครื่องยนต์แบบนี้ อาจจะละเอียดอ่อนในการประกอบ เพราะทุกๆ ครั้งที่จะปรับเปลี่ยนอุปกรณ์อาจะต้องไปทำการ Balance ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวภายในทั้งหมด การ Balance ในที่นี้ก็คือความสมดุลระหว่างน้ำหนักของ Counter Weight (ตับถ่วง หรือตุ้มถ่วง) และน้ำหนักรวมของลูกสูบกับก้านสูบในการ Balance เค้าจะชั่งน้ำหนักของก้านสูบและลูกสูบในแต่ละสูบ เพื่อนำน้ำหนักนี้ ไปเลือกตุ้มถ่วง ที่จะมายึดไว้กับข้อเหวี่ยง ก่อนที่จะเข้าเครื่อง Balance ให้เหมือนกับสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานจริง รับแรงจริง ไม่ได้เอาข้อเหวี่ยงเปล่าๆ ไปถ่วง มันจะไม่ใช่ลักษณะการใช้งานจริง ที่จะต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ ลูกก้านฟลายวีล คอยถ่วงอยู่ด้วย

         มาถึงตรงนี้ การที่จะใช้ Blower ได้ เครื่องยนต์ควรจะต้องเป็นแบบ Internal Balance เพราะหน้าข้อเหวี่ยงจะไม่สามารถใส่พูลเลย์ Balancer ได้แล้ว ในชุด Blower จะประกอบไปด้วย Crank Pulley (พูลเล่ย์หน้าเครื่อง หรือพูลเลย์ข้อเหวี่ยง) อันนี้จะต้องมีร่องสายพานสำหรับ Blower ด้วย ต่อมาเป็น Idling Pulley ใช้เพื่อปรับตั้งความตึงให้สายพาน Blower Pulley ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ขับ Blower โดยสามารถทดรอบให้มากหรือน้อยได้ โดยเปลี่ยนขนาดให้เล็กหรือใหญ่ (Overdrive/Underdrive) ตามบูสต์ที่ต้องการ อยากบูสต์เยอะก็เปลี่ยนขนาดเล็ก ให้รอบมันจัดขึ้น อยากลดบูสต์ก็เปลี่ยนขนาดใหญ่ ให้รอบมันน้อยลง โดยในรถคันนี้ จะบูสต์อยู่ที่ “45-50 PSI” อัดอากาศผ่าน Intake manifold หรือท่อร่วมไอดี โดยคันนี้ใช้วัสดุที่เป็น Magnesium เพื่อมีความเบา และคงทนต่ออัตราบูสต์สูงๆ นอกจากนี้ ต้องติดตั้ง Burst Panel ในกรณีบูสต์เกิน (Over Boost) แผ่น Burst Panel จะกระเด็นออกมาก่อน เพราะถ้าปล่อยให้บูสต์เกิน จะก่อให้เกิดความเสียหายมาก

Mechanic Injector : หัวฉีดกลไก ไม่ง้อคอมพิวเตอร์

         ระบบจ่ายเชื้อเพลิง จะเป็นแบบ “Enderle Injection Mechanical System” เป็นระบบที่นิยมมากที่สุดในการจ่ายเชื้อเพลิง โดยไม่พึ่งกล่องสมอง หรือ ECU การปรับตั้งทำได้โดยการปรับเปลี่ยนขนาดของหัวฉีด (Nozzle) ให้ใหญ่และเล็กตามความต้องการของแต่ละสูบ โดย Nozzle จะมีทั้งหมดสองชุด ชุดแรกจะทำงานในรอบต่ำ (Port Nozzle) และอีกชุดจะทำงานตอนคันเร่งเปิด (Top Nozzle) เรียกว่า Hi-Speed Jets (เหมือนกับนมหนูเร่งในเครื่องคาร์บูเรเตอร์ทั่วไป) และสามารถปรับ Curve ของการจ่ายน้ำมันโดยเปลี่ยน Bypass Phil ให้ใหญ่หรือเล็กได้ และเปลี่ยนสปริงตัวดันทางน้ำมันไหลกลับ (Release Spring) เป็นตัวกำหนดแรงดัน เพราะในระบบนี้จะไม่มี Regulator แต่ใช้ Release Valve เป็นตัวกักน้ำมันแทน และจะมีตัวตัดระบบน้ำมันเชื้อเพลิง (Shut off Valve) ซึ่งเป็นระบบกลไกต่อมาเพื่อปิด เปิดวาล์วของเชื้อเพลิงไม่ให้เดินทางไปที่ชุดหัวฉีดของเครื่องยนต์ ทุกๆครั้งที่จะดับเครื่องยนต์จะต้องปิดตัว Shut off valve ที่ว่านี้ เพื่อส่งผลให้เครื่องยนต์ดับ และเป็นการเซฟตี้ให้กับตัวรถ

Transmission : LENCO Air Shifted for 5,000 Hp

         ระบบส่งกำลังเลือกใช้เกียร์ของ LENCO ซึ่งเป็นแบบ Air Shifted (ไม่ใช่ออโต้) แบบ 3 จังหวะ ซึ่งรถ Drag ที่เร็วที่สุดในโลกก็ยังคงใช้ระบบนี้อยู่คลัตช์ที่ใช้จะเป็นแบบ Centrifugal (แรงเหวี่ยงหนีศูนย์) ของ HAYS เป็นแบบสามแผ่น (Triple Plates) แต่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากถึง “10 นิ้วสามารถรองรับได้มากถึง “5,000 แรงม้าแบบสบายๆ คลัตช์แบบนี้มีข้อดีคือสามารถปรับตั้งเพิ่มหรือลดแรงม้าที่ถ่ายลงพื้น ลดแรงม้าเพื่อลดอาการฟรีทิ้ง หรือเพิ่มแรงม้าเมื่อเจอพื้นผิวแทรกที่ดีๆ สามารถทำได้โดยปรับตั้ง “Static Adjuster” เพิ่มหรือลดแรงกดของหวีคลัตช์ให้มากหรือน้อยในขณะออกตัว และสามารถปรับตั้ง Educator Centrifugal Clutch Lever เพื่อให้ มีแรงกดเพิ่มขึ้นในรอบกลาง จนถึงรอบสูง โดยทางเจ้าของเก่าได้ให้คู่มือการปรับตั้งมาโดยละเอียด… 

ก่อนจบ

         สำหรับเรื่องของรถคันนี้ ก็เป็นที่กล่าวขานมากที่สุด ตอนนั้น (ธันวาคม 2551) เพราะอะไรๆ ก็เหนือกว่าคนอื่นเค้าอย่างมาก หลายคนจึงเฝ้าดูผลงาน โดยหวังว่าจะทุบสถิติทุกอย่างในเมืองไทย และสร้างสถิติที่ยากแก่การทำลายลงได้ ก็ขอรอลุ้นต่อไป ว่ารถคันนี้ จะทำเวลาได้เร็วขนาดไหน และจะมีใครเร็วกว่าหรือเปล่า ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ว่าวิ่งจริงจะเป็นยังไงบ้าง ท้ายสุดก็ขอขอบคุณ “SPEED D” สำหรับข้อมูลต่างๆ และสนาม BDA สำหรับสถานที่ถ่ายทำ