1,246 @ 1,320 – INTEGRA DC2 PRO 4 FWD Champion by FLOW LAB CNC – สุดพลัง K Turbo ม้าเยอะสุดในไทย !!!

 

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : ธัญญนนท์ แสงภู่ (TakeSnap)

1,246 @ 1,320

INTEGRA DC2 PRO 4 FWD Champion by FLOW LAB CNC

สุดพลัง K Turbo ม้าเยอะสุดในไทย !!!

ยังคงเป็นกระแสของ HONDA ตะกายหน้าวิ่ง Drag ที่มีการแข่งขันสูงมากๆ เพราะใครๆ ก็อยากทำจนเดี๋ยวนี้พัฒนาไปมาก จากเดิมที่ HONDA คนยึดติดว่ามันต้องไร้หอยเท่านั้น และกลัวการใส่เทอร์โบ เพราะเสียวระเบิดแต่ยุคสมัยที่พัฒนาแล้ว มีอุปกรณ์โมดิฟายที่ผลิตมารองรับแรงม้ามากๆ กระแสฮอนด้าเทอร์โบจึงมาแรงแบบสุดๆ เพราะแรงจริงด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างกำลังและรอบสูงอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้มันแรงและทนนี่เป็นสิ่งที่ต้องรู้

สำหรับเจ้า INTEGRA DC2 คันนี้ ถ้าใครติดตาม Souped Up 2019 ที่ผ่านมา ต้องรู้ทันทีว่าทำไมเราถึงนำเสนอขึ้นปก เพราะมันคือแชมป์ “PRO 4 FWD” (Front Wheel Drive) หรือโปรสี่สูบขับหน้าเป็นเวทีของเหล่าฮอนด้าเทอร์โบอย่างแท้จริง คันนี้เป็นรถจาก “FLOW LAB CNC” สำนักน้องใหม่ที่มาแรงสุดๆ ในด้านวิทยาการด้านฝาสูบซึ่งมีเครื่อง CNC อันทันสมัย (เดี๋ยวค่อยว่ากันในส่วนของเทคนิค) และ Collab (ร่วมมือ) กับ “MACTEC RACING” ในการโมดิฟายเครื่องยนต์ จนเกิดเป็นพลัง “1,246 PS” !!! ขยี้บนระยะ 1,320 ฟุต ให้แทร็กย่นกันไป

โมฯ พอร์ต เพื่ออะไร

ก่อนอื่นมาดูหน้าที่ของฝาสูบกันก่อน จะเป็นตัวกำหนดและลำเลียงในเรื่องของการไหลของอากาศทั้งไอดีและไอเสียทั้งประจุและคายทำยังไงให้กินง่าย ถ่ายคล่องเพื่อผลในด้านกำลังสูงสุด โดยมีองค์ประกอบในการทำงานหลัก เช่น แคมชาฟต์วาล์วพอร์ต เป็นตัวกำหนดจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ดูดอัดระเบิดคาย ให้ครบ 1 Cycle แต่คราวนี้ฝาสูบเดิมๆ นั้น ออกแบบมาเพียงพอสำหรับเครื่องยนต์สแตนดาร์ด เว้นแต่ว่าเป็นเครื่อง Hi-performance อย่าง HONDA ก็จะทำเผื่อการโมดิฟายเอาไว้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะเอาแรงม้าระดับบ้าพลัง ถ้าไม่พอก็จะอั้นแรงม้าตก เครื่องร้อน พัง  ไม่แรง ก็จะต้องโมดิฟายใหม่เพื่อการประจุและคายที่รวดเร็วมากขึ้น

ซึ่งครั้งนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของพอร์ตที่เป็น Talk of the… อะไรสักอย่างจำไม่ได้ อันนี้เป็นของหากินของทาง FLOW LAB CNC ที่ต้องการพัฒนาให้มีความเป็นมาตรฐานสากลด้วยเครื่องมือ CNC 5 แกน อันทันสมัย (เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าทำงานอย่างไร) ซึ่งในยุคก่อนจะเป็นการทำมือเน้นการตัดแต่งให้เนียนเพราะของเดิมจากโรงงาน มันใช้วิธีหล่อ” (Casting) เป็น Mass product เยอะๆ มันก็อาจจะมีส่วนที่ไม่เรียบเนียนอยู่บ้าง แต่เครื่องสแตนดาร์ดมันอาจจะไม่มีผลมาก (อยากได้ก็ไปทำเพิ่มเอง) แต่การ Hand made ก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนในเรื่องของมุมและขนาดไปบ้าง ซึ่งเครื่องแรงม้ามากๆ บูสต์หนักๆ มีผลแน่นอน

ดังนั้น การที่เราจะไปพึ่งเมืองนอก ก็คงไม่สะดวก ที่แน่ๆแพงโดนค่าทำ + ค่าขนส่ง ก็อ่วมแล้ว เกิดเจอเคสด่วน เจอค่าขนส่งทางอากาศ” (Air freight) ละมึง มีหงายเงิบเผลอๆ จะแพงพอกับค่าทำ จะดีกว่าไหม ??? ถ้าเราศึกษาและทำเองได้ กำหนดระยะเวลางานได้ ออกแบบในแบบที่เราต้องการเองได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นทำในแบบที่ไม่ใช่เรา งานพวกนี้มันละเอียดอ่อนมากๆ ไม่ใช่แค่ขัดๆ ถูๆแน่ มันมีเรื่องกำลังอัดรวมไปถึงการแก้จุดอ่อนต่างๆ ของแต่ละเครื่องที่เงื่อนไขแตกต่างกันไป ทางเหน่งน้องชายสุดหล่อ ก็เลยสร้าง FLOW LAB CNC ขึ้นมา เพื่อเป็นทั้งศูนย์ R&D รวมไปถึง Lab ทดสอบ ว่าทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับทุกเครื่องที่ทำ

พอร์ตลูกกอล์ฟฉีกทฤษฎี ดีจริงหรือแค่ความเชื่อ

ตอนนี้ที่เป็นประเด็นกันอยู่เรื่องของพอร์ตลูกกอล์ฟหรือ Golf ball head porting หรืออีกชื่อ Dimple head porting เพราะผิวในพอร์ตนั้น มันจะเป็นหลุมลักยิ้ม” (Dimple) เหมือนผิวลูกกอล์ฟ แต่มันจะเรียงกันอย่างมีระเบียบ อันนี้ต้องสร้างด้วยเครื่อง CNC โดยเฉพาะ ซึ่งต้องใช้ความละเอียดสูง อันนี้ออกจะแหกทฤษฎีดั้งเดิม ที่คิดว่าต้องเป็นพอร์ตขัดเงา” (Polish port) สิ อากาศมันถึงจะไหลได้ลื่นๆ อ้าว แล้วสรุปใครชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่

เอาละครับ ขออธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ก็แล้วกัน ไม่ปฏิเสธว่าผิวแบบนี้จะทำให้เกิดการหมุนวนของอากาศในหลุม” (Turbulence of dimple) ฟังดูแล้วจะพานสงสัยว่าจะทำให้อากาศมันหมุนวนทำไมวะ แต่ลองดูต่อ เมื่ออากาศหมุนวนเต็มหลุม และอากาศหลักที่ไหลเข้ามาใหม่ จะถูก Turbulence นั้นเด้งส่ง” (Bounce) ให้ผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น เหมือนกับเหยียบข้ามหัวไปเลย หลักการเดียวกับหลุมที่ลูกกอล์ฟ ที่ทำขึ้นมาเพื่อให้มันแหวกอากาศไปได้ไกลขึ้นโดยใช้แรงเท่าเดิม และทำให้น้ำมันแตกตัวเคล้ากับอากาศได้ง่ายและเร็วขึ้นจะมีผลดีในด้านการจุดระเบิดที่สมบูรณ์แบบกว่า อันนี้ผมพยายามจะสื่อง่ายๆ ตามที่เจ้าสำนักได้ให้รายละเอียดกับเราไว้นะครับ แต่ถ้าสงสัย ควรจะดูภาพเคลื่อนไหวที่เป็น Simulator ให้ดู ลองหาใน YouTube พิมพ์ Search ว่า Golf ball dimple หรือ The turbulence of dimple ก็ได้ครับ ลองหาๆ ดูเอา จะเห็นตัวอย่างชัดเจน

แล้วพอร์ตเงาไม่ดีตรงไหน 

สำหรับพอร์ตเงา” (Polish port) ในสมัยก่อน ก็ด้วยความเชื่อที่มันควรจะเป็นจริงที่ว่าต้องขัดพอร์ตไอดีให้เงาวิ้งแทบจะเป็นกระจกได้เลย เพื่อที่จะให้ไอดีไหลได้อย่างลื่นๆ มันก็แน่อยู่แล้ว ผิวลื่นน่าจะดีกว่าผิวหยาบ ตรงนี้ขอเคลียร์ก่อนว่าไม่มีอะไรผิดทั้งหมดเพราะบางที่ก็จะไม่ขัดพอร์ตให้เงาเหมือนกระจก แต่ยังมีความหยาบ” (Rough) เหลือไว้บ้าง แล้วก็ไปเน้นทรงของพอร์ตให้มันแลโค้งสวยงามขึ้น แล้วแบบไหนเป็นอย่างไร

เปลี่ยน Rod ratio “ว่ากันว่าแรงบิดหาย ???

ขุมพลังก็ยังคงศรัทธา K-Series เพราะเป็นเครื่องที่พัฒนามาใหม่ทั้งหมด ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ ตั้งแต่ระบบ i-VTEC ที่มีตั้งการเปลี่ยนลูกเบี้ยวองศาแคมชาฟต์ก็คือระบบ VTEC ส่วน i มาจาก Intelligence ตัวนี้ก็จะเป็นการกระดิกแคมทั้งแท่งเพื่อเปลี่ยนจังหวะ Overlap เหมือนมีเฟืองแคมสไลด์อัตโนมัติที่ระบบมันจะปรับให้เอง เรียกว่าได้เบิ้ลทำให้เงื่อนไขการประจุอากาศทำได้อย่างหลากหลาย แรงตั้งแต่รอบต่ำยันรอบสูงปรี๊ด ก็ไม่แปลกที่มันจะนิยมอย่างมาก

ขอว่ากันถึงภาพรวมก่อน คันนี้ก็เป็น K24A ถูกโมดิฟายปั่นม้าได้ถึง “1,246 PS” ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมีรายละเอียดมากมาย สำหรับการโมดิฟาย สไตล์ของ FLOW LAB CNC และ MACTEC RACING กับเครื่องตัวนี้ ส่วนหลัก คือการเพิ่ม Rod ratio” (อันนี้เคยเหลาไปแล้วในรถ ISUZU TFR ของยุ้ย พิจิตรสวนส้มสุรชัย ลองไป Search ใน xo-autosport.grandprix.co.th ดูได้) ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็คือเพิ่มความยาวของก้านสูบและลดระยะสลักลูกสูบให้เตี้ยลงเพื่อไม่ให้ก้านดันลูกโผล่ขึ้นเลยเสื้อ การใช้ก้านสูบยาวกว่าเดิม จะทำให้มุมตบข้างน้อยลงเครื่องยนต์จะหมุนลื่นกว่าเดิม ทนกว่า แรงเสียดทานต่ำกว่า โอกาสพังน้อยกว่า ซึ่ง Rod ratio คันนี้อยู่แถวๆ 1.8-1.9 ปกติ เครื่องสมรรถนะสูงเดิมๆ ก็อยู่ราวๆ 1.6 เศษ

แต่เมื่อมุมไกวของก้านสูบน้อยลง สิ่งที่ต้องยอมรับ คือแรงบิดจะมาในรอบสูงขึ้นถ้าเทียบกับเครื่องก้านสูบสั้น ข้อเหวี่ยงยาว ที่มุมไกวของก้านสูบจะมาก แบบนั้นจะได้เปรียบเชิงกล ทำให้มีแรงบิดมาไวในรอบต่ำ แต่เครื่องหมุนไม่ลื่น ใช้รอบไม่สูงมาก เป็นเครื่องทอร์คประมาณนั้น แต่ในความคิดที่ว่าแรงบิดหายอันนี้ไม่เกี่ยวแต่อย่างใด แรงบิดเกิดจากกำลังในการจุดระเบิด ไม่เกี่ยวกับก้านสูบ เพียงแต่มันจะย้าย Power band หรือช่วงกำลัง ไปอยู่รอบสูงขึ้นนั่นละครับ

ยอมเสียช่วง Power band ในรอบกลาง เพื่อ ???

ก็มีข้อสงสัยอีก ว่ารถ Drag ก็ต้องการแรงมากๆ ในช่วงรอบกลาง เพื่อใช้ในการออกตัวไม่ใช่หรือ ??? มันก็จริงครับ แต่ก็มีเงื่อนไขต่อมาอีกว่ารถอะไรถ้าเป็นรถรุ่นใหญ่ ยางสลิคโตๆ ขับหลัง แบบนั้นแหละใช่ ต้องมีแรงบิดมากๆ ไปปั่น แต่นี่เป็น HONDA ขับหน้า น้ำหนักเบา เงื่อนไขมันเปลี่ยนไป สำคัญ คือรถขับหน้าแรงเกินไปจะออกตัวลำบากนอกจากฟรีทิ้งแล้ว จะสะบัดฉกเข้ากำแพงเอา งานนี้อาร์มตัวขี่ ที่ขับแต่ NA มาตลอด ช่วงแรกจะต้องฝึกด้วยการออกตัว ดู 60 ฟุต และ 100 ฟุต และใช้เกียร์ 1-2 เท่านั้น เพราะถ้าออกได้แล้ว เกียร์ต่อไปก็ไม่มีปัญหา

ย้อนกลับมาที่ตัวรถ ถ้าเราให้แรงบิดในรอบกลางๆ มาแบบมหาศาลพรวดพราด จะยิ่งทำให้ออกตัวแย่ลง ตอนแรกลองแบบนี้แล้วก็ไม่เวิร์ก ขับก็ยาก เพลาก็ขาดบ่อย ก็เลยตัดสินใจเพิ่ม Rod ratio และย้าย Power band ไปที่รอบสูง เพื่อให้ออกตัวได้ง่ายขึ้นไม่ทอร์คล้นเกินไป เท่ากับได้สองต่อ และอีกเรื่องหนึ่ง คันนี้ยังใช้ข้อเหวี่ยง K Series เดิมๆ ไม่ได้เป็นข้อ Stroker kit เพิ่มความจุแต่อย่างใด เนื่องจากข้อเดิม K Series นั้นมีขนาดใหญ่ แถมยังเป็นแบบตับเต็มหรือ Full counter weight 8 ตับ มาจากโรงงานอยู่แล้ว ก็เหมือนข้อเหวี่ยงโมดิฟายเลยแหละ เพียงแต่วัสดุก็ต่างกันไปตามราคา ซึ่งข้อเหวี่ยงตับเต็มแบบนี้ HONDA ใช้มาตั้งนานมากแล้ว เพราะเสถียรในรอบสูง (นับว่าตัดสินใจถูก) และไม่ต้องการเพิ่มความจุเพราะแค่นี้ก็เหลือพอแล้ว ยิ่งเพิ่มความจุ ยิ่งออกตัวยาก มีราคาแพง อันนี้แนวใครแนวมันนะครับ แล้วแต่ศรัทธา ชอบแบบไหนก็จัดไป

ว่าด้วยเรื่องปลอกซิ่งเปียก แห้ง ???

  ในการออกศึกก็ต้องมีเครื่องป้องกันหน่อย คือ มึงจะสดทุกอย่างไม่ได้ ไม่งั้นแตกไวแล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ เราพูดถึงเรื่องเสื้อสูบของ HONDA ที่ออกแบบมาเป็นแบบ “Open deck” หรือปากกระบอกสูบเปิดเป็นโพรงน้ำหล่อรอบๆ และจะมีปลอกสูบเป็นแบบ Wet Sleeve คือ น้ำจะสัมผัสที่รอบๆ ปลอกสูบโดยตรง ตัวปลอกสูบจะฝังติดกับด้านล่างของเสื้อสูบ ฝังอยู่ประมาณสักนิ้วกว่าๆเท่านั้นเอง (ไม่เหมือนเสื้อสูบปกติที่เป็นแบบ Close deck ปากกระบอกสูบปิด ที่มันติดกันทั้งอัน) ถ้าเป็นเครื่อง NA เดิมๆ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดการโมดิฟายเพิ่มแรงม้า เกิดการจุดระเบิดที่รุนแรง สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือปากกระบอกสูบสั่นโยกไปโยกมา อันแรกที่โดนเลย คือกำลังอัดรั่วแลบออกปะเก็น มีสิทธิทำให้เครื่องพังได้ ทางแก้แบบพื้นฐาน คือใส่ Block guard” ดามปากกระบอกสูบไว้ (มองไม่ออกก็ Search หาเลย) จะมีรูให้น้ำวิ่งระบาย แต่เอาจริงๆ ถ้าแรงเกินกว่า 2 บาร์ ปลอกเดิมของ K Series ก็บวมเพราะวัสดุมันรับไม่ไหว

ทางแก้ก็คือปลอกซิ่งที่ DARTON SLEEVES ทำออกมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ใช้วัสดุที่ทนทานสูง ด้านข้างกระบอกที่น้ำวิ่งผ่าน จะมีร่องเพื่อเพิ่ม Flow ของน้ำ ปากกระบอกจะมี Block guard ในตัว พูดง่ายๆ ใส่ทีเดียวจบเลย ไม่ต้องทำหลายรอบ ส่วนด้านล่างของปลอกจะเป็น 2 Step เพื่อให้ฝังลงในเสื้อสูบลึกประมาณนิ้วเศษๆ แต่ส่วนที่ฝังนั้นจะเป็น Taper ทรงกรวย ที่มองด้วยตาเปล่าไม่ออก มันไล่กันเป็นไมครอนถ้าเอา Micro meter วัดถึงจะรู้ แล้วก็จะมีซีลยางกันน้ำรวมไปถึงกาว Sealant” ทากันรั่ว ไม่ใช่ไปซื้อตามร้านก่อสร้างมาใช้ได้นะ ต้องใช้ของเกรดพิเศษ ที่ออกแบบมาสำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ

Heat & Freeze 

สำหรับการใส่ปลอกลงในเสื้อสูบ จะใช้เครื่องกลึง CNC ที่แน่นอนสูงสุด เพราะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการจับ Center เพราะถ้าพลาด Center ไม่ได้ หมายถึง Shift หาย การใส่ปลอกนั้น ถ้าเทียบกันเฉยๆ ขนาดของปลอกจะใหญ่กว่าขนาดบ่า (Bore) ที่เสื้อสูบ แล้วจะใส่ยังไง ??? เอามาวางเทียบกัน มันยัดไม่ลงหรอกครับ มันต้อง Heat & Freeze ใส่โดยการใช้วิธีหดขยายของวัสดุเข้ามา พูดง่ายๆ ก็เอาเสื้อสูบไป Heat ด้วยอุณหภูมิประมาณ 100 องศา เพื่อให้มันขยายตัวส่วนปลอก ก็เอาไป Freeze ด้วยไนโตรเจนด้วยอุณหภูมิ –100 องศา เพื่อให้มันหดแล้วก็เอามาสะเวิ้บกัน โดยใช้เครื่อง CNC ดำเนินการทั้งหมด มันจะใส่ลงได้อย่างง่ายๆ ไม่หลุดแน่นอน เพราะตอนที่มันสู่สภาพปกติ กลายเป็นเสื้อหดและปลอกขยายมันจะกลับมาแน่นสุดๆและตอนเครื่องร้อน (คงไม่มีใครวิ่งเครื่องเย็นตลอดจริงไหม) ปลอกก็ยิ่งขยายเพิ่ม มันก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก เป็นหลักที่เข้าใจได้ง่ายๆ จริงๆ รายละเอียดมันมากกว่านี้เยอะ แต่ลงมากไปเดี๋ยวจะเครียดทั้งคนเขียนและคนอ่าน

Max Power : 1,246 PS @ 8,500 rpm

Max Boost : 3.02 Bar

อันนี้เป็นกราฟแรงม้าของจริงแต่เสียดายที่ไม่เห็นรอบเครื่อง อธิบายคร่าวๆ ก็แล้วกันนะ ได้ม้าถึง “1,246 PS” ที่ 8,500 rpm (รอบเครื่องเจ้าของรถบอกมา) เส้นกราฟยังมีช่วง Power Band แบบนอนสม่ำเสมอแต่จะกว้างแค่ไหน เราบอกไม่ได้ เพราะไม่เห็นรอบเครื่อง แต่ดูทรงแล้วก็มาได้เพราะกราฟนอนแบบมีเนื้อมีช่วงใช้งานได้จริง ไม่ใช่ม้าเยอะจริง แต่กราฟขึ้นแบบยอดแหลมแป๊บเดียวก็ร่วง อันนี้ได้แค่ตัวเลขแต่ใช้จริงไม่ได้ งานนี้ดูกราฟแล้วก็ต้องไล่อัตราทดเกียร์เข้าหา ทำให้เปลี่ยนเกียร์แล้วตกลงมาอยู่จุดเริ่มต้นของ Power band พอดี ก็จะใช้กำลังได้คุ้มค่า ส่วนกราฟอันล่างเป็นบูสต์คงที่ ที่ 3 บาร์ หรือ 48 psi ตลอดช่วง อันนี้แสดงว่า Flow ระบบไอเสียพอเพียง เพราะถ้าอั้นเวสต์เกตระบายไม่ทัน จะเกิดอาการบูสต์ไหลก็ไส้ไหลละครับ

X-TRA ORDINARY

เราจะเห็น DC2 เป็นไฟยาวเสียส่วนมาก เพราะเป็นสเปกตัว TYPE R JDM ส่วนไฟกลมไม่ค่อยฮิต เพราะบ้านเราเป็นตัวธรรมดาที่ขายโดยสาทร ฮอนด้าคาร์สแต่ในโลกนี้ก็มีไฟกลม TYPE R เหมือนกัน Euro Spec และ US Spec ที่ใช้ชื่อ ACURA ซึ่งมีสี Signature เป็น Phoenix Yellow (ปี  00-01) ซึ่งโทนสีน่าจะแตกต่างจาก Y56 TYPE R JDM และอีกอย่าง เครื่อง B18CR ฝาแดง นับว่าเป็นเครื่องไร้ระบบอัดอากาศที่มีแรงม้าต่อความจุ 1 ลิตร มากที่สุดสำหรับตลาด USDM อีกด้วย

Comment : FLOW LAB CNC  

คันนี้บอกตรงๆ ว่ามีเวลาทำแค่ไม่เกิน 3 เดือน เองครับ จริงๆ เราคุย Project กันมานานแล้ว ทางเราก็ได้ Collab กับ MACTEC GARAGE แต่ที่ช้า เพราะของที่สั่งจากเมืองนอกเกิด Delay ไปหน่อย เลยมีเวลาทำกันแบบแทบไม่ได้หลับได้นอน เสร็จก่อนงาน Souped up 2019 ที่ผ่านมาพอดี ก็ Test run ในงานเลยครับ คันนี้ผมให้อาร์มขับ ออกจะใจถึงพึ่งได้ก็ต้องแนะนำกันหน่อย  อาการรถมันค่อนข้างฉกเพราะเวลามีน้อย ก็เอาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนวิ่งต้องขืนพวงมาลัยช่วย เพราะคันเร่งเต็ม 100 ตลอด ไม่ยกเลย ตอนเข้าเส้นยกคันเร่ง รถก็ข้ามเลน หลังจากนี้ก็ต้องสร้างช่วงล่างใหม่ทั้งหมด ปีนี้ Souped up ผมหวังเห็นเวลา “8 sec” ต้นๆ ฝากผลงาน FLOW LAB CNC ด้วยนะครับ

Comment : อินทรภูมิ์ แสงดี

พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จาก MOTION TUNING จนขยายมาเป็น FLOW LAB CNC ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าแค่มีเงินลงทุนอุปกรณ์แพงๆ แต่ถ้ามองกันจริงๆ มันมีค่า ด้วยการสร้างงานแบบวิทยาศาสตร์ทุกสิ่งอย่างมีการวัดค่าด้วยอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงซึ่งมีผลมากในการโมดิฟาย ไม่จำเป็นต้องระดับพันม้าอย่างเดียว ไม่ว่าจะแรงม้ามากน้อยแค่ไหน ก็ต้องการความแม่นยำและถูกต้องสูงสุด แรงด้วย ทนด้วย รวมถึงการใช้เหตุผลวางแผนในการทำ สามารถออกมาได้อย่างที่ต้องการ อาจจะดูว่าใช้ทุนเยอะในครั้งแรก แต่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว ก็ต้องขอขอบคุณ FLOW LAB CNC และ MACTEC RACING สำหรับข้อมูลเทคนิคของคันนี้ครับ

Contact

Facebook : FLOWLAB CNC, Tel. 08-1789-9965

Facebook : MACTEC AREA 42, Tel. 08-7444-4999

TECH SPEC

ภายนอก

กันชนหน้า : JASE COMPOSITE USA

ฝากระโปรงหน้า : MONZA SHOP

สปอยเลอร์หลัง : MONZA SHOP

ประตู : MONZA SHOP

ร่มเบรก : IMPACT

ภายใน

พวงมาลัย : OMP

เบาะ : TECHNO CRAFT Carbon Seat

เข็มขัดนิรภัย : SIMPSON

คันเกียร์ : LONG 

ด้ามเบรกมือ : RACING ENGLAND

โรลบาร์ : AOR 77 SHOP

เครื่องยนต์

รุ่น : K24A 

ฝาสูบ : FLOWLAB CNC 

วาล์ว : SUPERTECH

สปริงวาล์ว : SUPERTECH

เฟืองแคมชาฟต์ : DRAGCARTEL 

แคมชาฟต์ : BC TURBO

ปะเก็นฝาสูบ : COMETIC

ลูกสูบ : TRAUM 87.5 มม.

ก้านสูบ : R&R Aluminum

แบริ่ง : CALICO

ปลอกสูบ : DARTON SLEEVES (Wet type) 

เทอร์โบ : PRECISION 7675

เฮดเดอร์ : SPARK HEADER (สายันต์ เฮดเดอร์

เวสต์เกต : TIAL

อินเตอร์คูลเลอร์ : PWR

ท่อร่วมไอดี : SKUNK ULTRA RACE

ลิ้นผีเสื้อ : K-TUNED 

หัวฉีด : ATOMIZER 6,000 ซี.ซี. For Methanol

ตัวปรับแรงดันน้ำมัน : WELDON

ปั๊มเชื้อเพลิง : MAGNAFUEL

รางหัวฉีด : K-TUNED 4 Banger

คอยล์ : PERTRONIX Flame-Thrower HC

ชุดเพิ่มกำลังไฟ : M&W PRO DRAG-4

ระบบไฟ : WIRING STUDIO

กล่อง ECU : FUELTECH FT -500 by บุ้ง จูนเวอร์    

ระบบส่งกำลัง

เกียร์ : G-FORCE Dog Engagement

คลัตช์ : TILTON Twin plates

ลิมิเต็ดสลิป : M-FACTORY

เพลาขับ : DRIVE SHAFT SHOP

ช่วงล่าง

โช้คอัพ : CUSCO ZERO-II R 

ปีกนก : FLOWLAB CNC Customized full Ball joint

ล้อหน้า : WELD MAGNUM ขนาด 9 x 15 นิ้ว

ล้อหลัง : WELD MAGNUM ขนาด 3.5 x 15 นิ้ว

ยางหน้า : M&H ขนาด 26 – 9 – 15 

ยางหลัง : M&H ขนาด 24 – 3.5 – 15