ไพรเวท พรีวิว สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ “แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์ เอส” รุ่นล่าสุด เผยโฉมครั้งแรกในไทย ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานเจนีวามอเตอร์โชว์
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ แลมโบร์กินี ประเทศไทย โดย บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ระดับโลกในประเทศไทย จัดงาน “ไพรเวท พรีวิว” เผยโฉมสุดยอดซุปเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุด “แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์ เอส” (Lamborghini Aventador S) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยได้รับเกียรติจาก มร.ดาวิเด ซเฟรโคลา (Sig. Davide Sfrecola) ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี บินตรงเข้าร่วมงาน คับคั่งด้วยเหล่าซุปเปอร์คาร์เลิฟเวอร์แฟนพันธุ์แท้ที่มาพร้อมกับแลมโบร์กินีคันหรูคู่ใจ ขับเข้าประชันโฉมภายในงานร่วม 20 คัน อาทิ ทนง ลี้อิสสระนุกูล, เสรี ชินบารมี, วงศ์ชนก ชีวะศิริ, มานะ ตรงกมลธรรม, กิตติพันธ์ – วิโรจน์ พูลวรลักษณ์, วิชัย – วิจิตรา ส่งทวีผล, ทวี จงควินิต, พงศ์เทพ อัครพงศ์พิศักดิ์ เป็นต้น ณ โรงแรมสุโขทัย เมื่อเร็วๆนี้
ลานสนามหญ้าสีเขียวสดบริเวณด้านหน้าของการ์เด้น วิลล่า ภายในโรงแรมสุโขทัย ถูกเนรมิตให้กลายเป็นวีไอพี พาร์คกิ้งสำหรับซุปเปอร์คาร์สุดหรูอย่างแลมโบร์กินี จอดเรียงรายอย่างโดดเด่นร่วม 20 คัน จากบรรดาแลมโบร์กินี คลับ เมมเบอร์ที่ต่างขับมาประชันโฉมร่วมกัน สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความหลงใหลในสิ่งเดียวกันออกมาอย่างชัดเจน และเพื่อร่วมแสดงความยินดีในโอกาสพิเศษที่ได้ยลโฉม “แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์ เอส” (Lamborghini Aventador S) รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในประเทศไทยพร้อมๆกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ 2017 ในช่วงเดือนมีนาคมนี้
ดินเนอร์ปาร์ตี้สุดหรูละลานตาด้วยเมนูอาหารและเครื่องดื่มเลิศรส พร้อมสมาชิกแลมโบร์กินี คลับ ประเทศไทย ที่ต่างพร้อมใจกันแต่งตัวมาในธีมสีดำเหลือง คุมโทนให้สอดคล้องกับสีประจำของโลโก้วัวกระทิงนี้เอง ความคึกคักภายในงานดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะผู้บริหารจากนิชคาร์กรุ๊ป นำโดย เสรี ชินบารมี ประธานที่ปรึกษา คอยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมด้วย มร.ดาวิเด ซเฟรโคลา ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี ทักทายแขกผู้มีเกียรติอย่างเป็นกันเอง และขึ้นให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวซุปเปอร์คาร์สุดหรู ก่อนเข้าสู่ช่วงไฮไลท์สำคัญของงานในค่ำคืนนี้กับการเผยโฉมหน้าของ อเวนทาดอร์ เอส รุ่นใหม่ล่าสุดสีเหลือง New Giallo Orion ออกสู่สายตาทุกคู่ให้ได้ชื่นชมกับความเป็นรุ่นสูงสุดของแลมโบร์กินี มาพร้อมกับราคาเริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท ด้วยความล้ำหน้าระดับ มาสเตอร์พีซของเครื่องยนต์ วี12 ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พร้อมกับอีก 4 สุดยอดเทคโนโลยีระดับพรีเมียม อย่างการขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบ EGO Driving Mode เพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่อย่างแท้จริง ให้ทุกท่านในงานได้ร่วมสัมผัสอย่างใกล้ชิดก่อนใคร
แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์ เอส (Lamborghini Aventador S)
โฉมใหม่ล่าสุดของรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของค่ายแลมโบร์กินี เจ้าแห่งรถซุปเปอร์สปอร์ต คาร์เครื่องยนต์ V12ที่มาพร้อมกับความสวยและโดดเด่นด้วยงานออกแบบรูปลักษณ์ภายในใหม่ แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับคอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่ในระดับที่สูงขึ้น
คำว่า S ที่ถูกต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นเดิม ยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์วี12 ของแลมโบร์กินี โดยเครื่องยนต์วี12 ไม่พึ่งระบบอัดอากาศ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสูงสุดถึง 740 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน ช่วยลดมลพิษ ทั้งมีความนุ่มนวลตลอดการขับขี่ในทุกโหมด ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เน้นสมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมกับ 4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยม เพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่อย่างแท้จริง อย่างระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode ที่สามารถปรับรูปแบบการขับได้ตามใจต้องการ
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามต้องการ ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ขับขี่ เพิ่มความสะดวกด้วยการสั่งงานด้วยระบบเสียง ทั้งยังมีอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถที่จะรับทราบถึงข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ รวมถึงสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้นๆ นอกจากนั้น ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Ad Personam Customization Program สนนราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท
เกี่ยวกับ บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด
นิชคาร์กรุ๊ป คือ ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 30 ปี ภายใต้ชื่อเดิมคือ เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป ปัจจุบัน นิชคาร์กรุ๊ป ได้รวบรวมสุดยอดยนตรกรรมจากทั่วโลก อาทิ ซุปเปอร์คาร์ “แลมโบร์กินี” (Lamborghini) จากประเทศอิตาลี และสุดยอดสองสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่รวมอยู่ใน Formula 1 “แมคลาเรน” (Mclaren) และ ซุปเปอร์คาร์พันธุ์คลาสสิก “โลตัส” (Lotus) รวมถึงไฮเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี “ปากานี” (Pagani) และไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน “โคนิกเซ็กก์” (Koenigsegg) ราชันต์ออฟโรด “ฮัมเมอร์” (Hummer) จากอเมริกา พร้อมด้วยโชว์รูมถึงสองแห่ง คือ สาขาสยามพารากอน และ สาขามอเตอร์เวย์ กม.1 (เปิดบริการทุกวัน 8.30-17.30น.) สามารถสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิชคาร์กรุ๊ป ได้ที่ โทร. 02-321-1111 หรือ Hotline 081-434-7777 หรือ https://www.facebook.com/nichecars/ และ https://www.facebook.com/LamborghiniTH/
นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S: ยกระดับมาตรฐานใหม่ในตลาดซุปเปอร์คาร์ก่อนเปิดตัวที่ Geneva Motor Show 2017 เริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท
- โฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของค่าย Lamborghini ที่ใช้เครื่องยนต์วี12
- การออกแบบที่โดดเด่นและมีสไตล์ซึ่งเน้นไปที่สมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์
- ระบบเลี้ยวแบบ 4 ล้อรุ่นใหม่
- ความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ขับสามารถเลือกออกแบบและปรับเซ็ตการทำงานได้ตามความต้องการ
- เครื่องยนต์วี12 แบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศที่ได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่ 740 แรงม้า
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 9 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง
กรุงเทพ – บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน The Private Preview of Lamborghini Aventador S – DARE YOUR EGO ณ โรงแรมสุโขทัย โดยเริ่มต้นราคากระทิงดุ ต้นตำรับเครื่องยนต์ 12 สูบอัดกำลัง 740 แรงม้า เริ่มต้น ที่ 38.7 ล้านบาท
รูปโฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นใหญ่จากค่าย Lamborghini อย่าง Aventador S เครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่ง โดยเป็นรุ่นเดียวในโลก มาพร้อมกับความสวยและโดดเด่นด้วยงานออกแบบรูปลักษณ์ภายในใหม่ ที่เน้นเรื่องสมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ระบบช่วงล่างที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ การเพิ่มกำลังและพลวัตรในการขับขี่ โดยคำว่า S ที่ถูกต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นแสดงให้เห็นการพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นเดิม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์วี12 ของ Lamborghini
“นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Aventador และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่” Stefano Domenicali ประธาน และ CEO ของ Automobili Lamborghini กล่าว Aventador S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับ คอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆที่ได้นำ Lamborghini Aventador S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S – Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่งLamborghini Aventador S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ Lamborghini มาพร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งและนับเป็นรุ่นเดียวในโลก โดยรุ่น Aventador นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ Aventador ต่างรอคอย”
“นิชคาร์เปิดราคารุ่น Lamborghini Aventador S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น Aventador S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัด สาวกแลมโบร์กินีจึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป” วิทวัส กล่าวทิ้งท้าย
การออกแบบและหลักอากาศพลศาสตร์
การออกแบบของ Lamborghini Aventador S ใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางและรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ Aventador อย่างชัดเจน ตัวรถมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงบนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้นได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่ยังคงตอบสนองในแง่ภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังได้ออกแบบบางชิ้นส่วนบนตัวรถโดยผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตรุ่นดังของค่ายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach
ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุม ทิศทางการไหลของลม ขณะที่รถกำลังแล่นเพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น
ทางด้านท้ายของ Aventador S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้นซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้ายประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ
สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก
จากความโดดเด่นของงานออกแบบที่มีอยู่ใน Aventador S นั้นสามารถยกระดับประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แรงกดบนตัวถังด้านหน้าได้รับการปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป้รุ่นที่แล้ว และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม
4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง : ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode
ระบบแชสซีส์ของ Aventador S ยังคงความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Aventador เอาไว้ เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น
Aventador S ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘Total Control Concept’ เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้นล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม
ในส่วนของระบบควบคุมอื่นๆที่ติดตั้งในตัวรถนั้น มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ Lamborghini โดยระบบนี้จะช่วยปรับปรุงในเรื่องความคล่องตัวของตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และจะยิ่งมีการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่อยู่บนเพลาหน้าคือการผสมผสานการทำงานของระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง และสอดประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2 ชุด และตอบสนองในการทำงานที่รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากที่มีการหักพวงมาลัย ทำให้ตัวระบบสามารถทำงานภายใต้มุมการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง และมีการปรับปรุงการยึดเกาะที่ดีเมื่อเข้าโค้ง
เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว
เมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถ การควบคุมในแนวดิ่งมาจากการปรับปรุงในส่วนของตัวก้านกระทุ้งในระบบช่วงล่าง และระบบช่วงล่างแบบ Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับการควบคุมในแนวราบนั้นเป็นผลมาจากการปรับปรุงการทำงานของระบบ ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลายทั้งบนหิมะและน้ำแข็ง Aventador S ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการยึดเกาะและสามารถตอบสนองด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพพื้นผิวถนน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถได้อีกด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวรของ Aventador S ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะในการทรงตัวและยึดเกาะสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ทำให้สามารถส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น โดยเมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง และทำให้ตัวรถมีลักษณะการขับคล้ายกับท้ายปัด หรือ Oversteer แต่ทว่ามีความปลอดภัยและมั่นใจได้อย่างเต็มที่
วิศวกรของ Lamborghini ยังได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ ซึ่งจะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในตัวรถ ทำให้มั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าระบบต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานที่ดีที่สุด และการันตีว่าระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้ทุกสภาพการขับขี่
EGO Concept : ปรับแต่งรูปแบบการขับตามใจคุณ
Aventador S เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS)
STRADA เป็นตัวแทนของความสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน SPORT คือ ความสปอร์ตในการขับที่ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด
สำหรับ EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยภายใต้โหมดการทำงานนี้จะมีการเพิ่มหลากหลายรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปรับแต่งโดยผู้ขับเอง โดยสามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ
ทุกรูปแบบการขับจะได้รับการปรับและกำหนดค่าใหม่อีกครั้งใน Aventador S โดยมีการปรับปรุงในส่วนการทำงานของระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น
ในโหมด STRADA การทำงานของโช้กอัพจะมีความต่อเนื่องและเน้นความนุ่มนวลเพื่อตอบสนองในเรื่องของความสะดวกสบาย และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับอยู่บนถนนที่ขรุขระ แรงบิดจะถูกกระจายสู่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน 40/60 อีกทั้งยังให้ความปลอดภัยและการทรงตัวที่ดีด้วยสมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และตัวรถจะสามารถตอบสนองต่อ การขับที่สะดวกและควบคุมง่าย
ในโหมด SPORT ผลของการทรงตัวมาจากการทำงานของ Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงบิดจำนวนมากถึง 90% จากเครื่องยนต์ถูกส่งมายังล้อหลังเพื่อความสปอร์ตอย่างสูงสุด และให้ความสนุกสนานเมื่อทะยานอยู่บนถนนที่คดเคี้ยว ความแม่นยำในการขับและการตอบสนองไปยังผู้ขับขี่ของตัวรถได้รับการปรับปรุง ขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เช่นเดิม เมื่อมีการถอนคันเร่ง จะมีการส่งแรง บิดจำนวนเล็กน้อยไปยังเพลาขับล้อหน้าเพื่อช่วยทำให้ตัวรถมีความคล่องตัว และสามารถสัมผัสอาการท้ายปัด หรือ Oversteer และการดริฟท์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ และควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น
ในการขับแบบ CORSA ผู้ขับสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งระบบการทำงานที่ควบคุมในเรื่อง ของพลวัตรในการขับเคลื่อนและการทรงตัวของตัวรถมากนัก ขณะเดียวกันก็ยังคงความแม่นยำและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมเหมือนเดิม การทำงานของโช้กอัพในระดับที่สูงสุดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสอาการและการตอบสนอง กลับจากการใช้พวงมาลัย การเบรก และการกดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ การทำงานระบบการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้การใช้งานที่เน้นสมรรถนะสูง และจะมีการส่งแรงบิดที่สมดุลระหว่างล้อหน้าและหลัง โดยจะมีการกระจายแรงบิดออกมาในสัดส่วน 20/80 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเพื่อให้รูปแบบการขับที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพื่อตอบรับกับการขับในสนามได้อย่างเต็มที่
เครื่องยนต์และระบบไอเสีย
เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน Lamborghini Aventador S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ ทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) ได้รับการปรับปรุงการทำงานเพื่อเป้าหมายในการสร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที และด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น
Aventador S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini
เช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้ Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์และสตาร์ทขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบ Cylinder Deactivation ที่จะหยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้าน ความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ หรือรีดกำลังการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ กระบอกสูบครึ่งหนึ่งของเครื่องยนต์ก็คือ 6 จาก 12 สูบจะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน เร่งเพื่อเพิ่มความเร็วอีกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง และจะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน
ยางและระบบเบรก
Aventador S มาพร้อมกับของใหม่ทั้งชุดโดยเฉพาะในส่วนของยางที่มีความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ในด้านการบังคับเลี้ยว การยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ตัวยางได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อลักษณะและสไตล์การทำงานของตัวรถ ที่เน้นความคล่องตัวและฉับไวอันเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering เพื่อให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและบังคับตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทั้งจากล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งยาง Pirelli P Zero สามารถรองรับกับการอัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือ Understeer ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ในรุ่นนี้ยังมีการติดตั้งดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยดิสก์เบรกที่ผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น
Aventador S : ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัวคนขับ
ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว
ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง
สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini’s Ad Personam Customization Program
รายละเอียดทางเทคนิค : Lamborghini Aventador S
แชสซีส์และตัวถัง
เฟรมตัวถัง : แบบโมโนค็อกผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และมีตัวถังด้านหน้าและหลังผลิตจากอลูมิเนียม
ชิ้นส่วนตัวถัง : ส่วนฝากระโปรงด้านหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับระดับได้ และมีช่องดักอากาศแบบยึดติดตายตัว ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และประตูผลิตจากอลูมิเนียม ส่วนกันชนท้ายและฝาครอบวาล์วผลิตจาก SMC
รูปแบบระบบกันสะเทือน : ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบก้านกระทุ้งปรับระดับได้ Magneto-rheological มา พร้อมโช้กอัพและสปริงวางตัวในแนวนอน
การจัดวางระบบกันสะเทือน : ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ผลิตจากอลูมิเนียม
ระบบ ESP : ระบบควบคุมการทรงตัว/เอบีเอส ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลของ Bosch 8.0 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ESC ให้สอดคล้องตามโหมดการขับที่ถูกเลือก
ระบบเบรก : แบบไฮดรอลิก 2 วงจรคู่พร้อมหม้อลมเบรก ดิสก์ด้านหน้าและหลังเป็นแบบคาร์บอนเซรามิก (คาลิเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง)
ดิสก์หน้าหลังแบบมีรูระบายความร้อน : คาร์บอนเซรามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง
ระบบบังคับเลี้ยว : มีเกียร์อัตราทดเฟือง 3 ระดับและมี Servotronic ควบคุมการทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) และ Lamborghini Rear-Wheel Steering (LRS) ซึ่งควบคุมผ่านทางโหมดการขับที่ถูกเลือกเอาไว้
อัตราทดเฟืองบังคับเลี้ยว : 10 : 1- 18 : 1
จำนวนรอบเมื่อหมุนพวงมาลัยจนสุด : 2.1-2.4 รอบ
เส้นผ่าศูนย์กลางของวงพวงมาลัย : 358 มิลลิเมตร
ยางด้านหน้า-หลัง : Pirelli P Zero 255/30 ZR20 – 355/25 ZR21
ขนาดล้อด้านหน้า-หลัง : 9” JX20” H2 ET 32.2 – 13” JX21” H2 ET 66.7
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 11.5 เมตร (37.73 ฟุต) เป็นค่าเฉลี่ย โดยจะแปรผันไปตามการใช้งาน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ LRS
กระจก : กระจกมองข้างมีระบบไล่ฝ้า สามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า
สปอยเลอร์หลัง : ปรับระดับได้ 3 ระดับขึ้นอยู่กับความเร็วและโหมดการขับที่เลือกใช้
ถุงลมนิรภัย : ฝั่งคนขับพองตัวได้ 2 ระดับ และสามารถปรับระดับได้สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ตัวเบาะนั่งมีถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะและร่างกายส่วนบน และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าของผู้ขับขี่ ขึ้นอยู่กับตลาดบางแห่ง
เครื่องยนต์
แบบ : วี12 เสื้อสูบเอียงทำมุม 60 องศา และระบบ MPI
ความจุกระบอกสูบ : 6498 ซีซี (396.5 ลูกบาศก์นิ้ว)
กระบอกสูบXช่วงชัก : 95X76.4 มิลลิเมตร (3.74X3 นิ้ว)
จำนวนวาล์วต่อสูบ : 4 ตัว
ระบบควบคุมการทำงานของวาล์ว : ระบบวาล์วแบบปรับจังหวะการทำงานได้ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์
อัตราส่วนการอัด :11.8 ± 0.2
กำลังสูงสุด : 740 แรงม้า (544 กิโลวัตต์) ที่ 8,400 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร : 113.9 แรงม้า/ลิตร (83.7 กิโลวัตต์/ลิตร)
แรงบิดสูงสุด : 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด : 8,500 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก : 2.13 กิโลกรัม/แรงม้า
ระดับมลพิษในไอเสีย : EURO 6 –LEV2
ระบบควบคุมไอเสีย : อุปกรณ์บำบัดไอเสียแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ พร้อม Lambda Sensors
ระบบระบายความร้อน : ระบบระบายความร้อนแบบใช้น้ำและน้ำมันไหลผ่าน พร้อมกับท่อไอดีแบบแปรผันความยาวได้
ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ : LIE – Lamborghini Iniezione Elettronica พร้อมกับระบบวิเคราะห์ ION
ระบบหล่อลื่น : อ่างน้ำมันเครื่องแยก (Dry Sump)
ระบบขับเคลื่อน
ประเภทของระบบส่งกำลัง : ขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมกับชุดเฟือง Haldex เจเนอเรชั่นที่ 4
ชุดเกียร์ : 7 จังหวะแบบ ISR มีการปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละตำแหน่งสอดคล้องกับ Mode การขับ
เกียร์ / อัตราทด
1 / 909 | 2 / 438 | 3 / 810 | 4 / 458 | 5 / 185 | 6 / 967 | 7 / 844 | เกียร์ถอย / 2.929
อัตราทดเฟืองท้าย (หน้า-หลัง) 2.867-3.273
ชุดคลัตช์ คลัตช์แห้งแบบ 2 แผ่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 235 มิลลิเมตร (9.25 นิ้ว)
สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง)
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที
อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที
ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร
มิติตัวถังและน้ำหนัก
ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)
ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)
ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)
ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) – 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)
ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)
น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%
ความจุ
ถังน้ำมัน : 85 ลิตร
น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร
น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร
ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร
อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร
การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE
เกี่ยวกับ บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด
นิชคาร์กรุ๊ป คือ ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 30 ปี ภายใต้ชื่อเดิมคือ เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป ปัจจุบัน นิชคาร์กรุ๊ป ได้รวบรวมสุดยอดยนตรกรรมจากทั่วโลก อาทิ ซุปเปอร์คาร์ “แลมโบร์กินี” (Lamborghini) จากประเทศอิตาลี และสุดยอดสองสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่รวมอยู่ใน Formula 1 “แมคลาเรน” (Mclaren) และ ซุปเปอร์คาร์พันธุ์คลาสสิก “โลตัส” (Lotus) รวมถึงไฮเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี “ปากานี” (Pagani) และไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน “โคนิกเซ็กก์” (Koenigsegg) ราชันต์ออฟโรด “ฮัมเมอร์” (Hummer) จากอเมริกา พร้อมด้วยโชว์รูมถึงสองแห่ง คือ สาขาสยามพารากอน และ สาขามอเตอร์เวย์ กม.1 (เปิดบริการทุกวัน 8.30-17.30 น.) สามารถสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิชคาร์กรุ๊ป ได้ที่ โทร. 02-321-1111 หรือ Hotline 081-434-7777 หรือ https://www.facebook.com/nichecars/ และ https://www.facebook.com/LamborghiniTH/