MICHELIN เปิดตัว MICHELIN Pilot Sport 4 ยางสมรรถนะสูงตัวล่าสุด พร้อมสวมวิญญาณนักแข่ง ซิ่งบนสนามแข่งเซปัง มาเลเซีย

 

เรื่อง/ภาพ : ธนกร พรเลิศรังสรรค์

Warm Up

เชื่อว่าหลายๆ คนที่มีใจรักในความเร็วและหลงใหลในความตื่นเต้นเร้าใจของรถแข่งความเร็วสูงที่เห็นผ่านหน้าจอทีวีในแวดวงกีฬามอเตอร์สปอร์ต คงฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสไปขับรถแข่งในสนามจริงกับเค้าบ้าง แค่ครั้งเดียวก็ถือเป็นความสุขสุดยอดในชีวิต และวันนั้นได้มาถึงจริงๆ เพราะมิชลินเปิดโอกาสให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในงาน “มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็กซ์พีเรียนซ์” (MICHELIN Pilot Sport Experience) หรือ “เอ็มพีเอสอี” (MPSE)

มิชลินพาเหินฟ้าเปิดประสบการณ์ใหม่สวมบทบาทเป็นนักแข่งจริง ณ สนามแข่งรถเซอร์กิตระดับโลก เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย “มิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็กซ์พีเรียนซ์” เป็นงานที่จัดขึ้นโดยสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (MICHELIN’s Regional Head Office) ซึ่งจัดติดต่อกันมาปีนี้เป็นปีที่ 12 ส่วนปีนี้ มิชลินจัดเต็มเหมาสนามเซปังเกือบเดือนในช่วงสิงหาคมถึงกันยายนเป็นเวลาทั้งหมด 25 วันเพื่อต้อนรับแขกรับเชิญกว่า 600 คน ซึ่งมีทั้งผู้แทนจำหน่าย สื่อมวลชน และผู้โชคดีที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษจากทั่วทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย และยุโรป ถึงขนาดที่ผู้ดูแลสนามต้องขอร้องให้เว้นช่วงเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้ารายอื่นได้ใช้สนามจัดกิจกรรมในช่วงนี้บ้าง เกริ่นมาแค่นี้คงน่าจะเดาได้แล้วว่างานนี้ใหญ่และมันส์ขนาดไหน

มิชลินจัดทีมงานดูแลสื่อมวลชนอย่างเป็นระบบบริการระดับเวิร์ลด์คลาสชนิดหาที่ติไม่เจอ เช้าวันงานตบเท้าออกเดินทางจากโรงแรมที่พักโดยรถบัส ชมวิวสองข้างทางพลางๆ ยังไม่ทันเบื่อก็ถึงสนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หนึ่งในสนามที่ได้รับการคัดเลือกให้จัดการแข่งขันระดับโลกอย่างฟอร์มูล่าวัน รถบัสพากองทัพสื่อสายยานยนต์จากทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีประมาณ 40 ชีวิตมาถึงบริเวณจัดงาน มีเจ้าหน้าที่มิชลินตั้งแถวต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกับมอสคอทบีเบนดัม (Bibendum) ที่เป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนทั่วโลกถึงความน่ารักน่าหยิกด้วยรูปร่างอวบอ้วนสไตล์ห่วงยางเป็นชั้นๆ

เมื่อเข้าถึงห้องรับรอง Mr. Jordi Fuset หัวหน้าทีมผู้ฝึกสอน (Head Instructor) กล่าวเปิดงานและบริ้ฟงานเพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของงานกันเล็กน้อยแต่โดยรวมจะเน้นย้ำถึงเรื่องความปลอดภัย (Safety Frist) ภายในสนามเป็นหลักเพราะทุกคนจะได้ขับรถที่ใช้แข่งกันจริงๆ ตามคอนเซ็ปต์สวมบทบาทเป็นนักแข่งหนึ่งวัน จากนั้นกองทัพสื่อได้แบ่งกลุ่มลอกคราบเปลี่ยนชุดจากสื่อไปสวมชุดแข่งพร้อมหมวกกันน็อคที่มีป้ายชื่อพิมพ์แปะที่หมวกกันโดยเฉพาะด้วย เรียกได้ว่ามิชลินดูแลสุดยอดทุกรายละเอียดจริงๆ จากนั้น ต้องพบแพทย์ตรวจร่างกายและความดันกันก่อน งานนี้ใครมีโรคประจำตัวหรือมีความดันโลหิตสูงเกินกำหนดอดสนุกกันไม่รู้ตัว ดังนั้น ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมตลอดเวลาจะดีกว่า เมื่อตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยถึงเวลาลงไปยลโฉมรถไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดงอยู่ในพิทอาบด้วยแสง สี เสียงตระการตาปลุกเร้าสัญชาตญาณนักแข่งก่อนที่ประตูโรงรถของพิทจะเปิดขึ้นเผยให้เห็นทีมงานเมคคานิคยืนประจำพร้อมกับรถทั้งหมดที่เราจะได้ลองขับกันในวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Touring Car: Renault Clio IV, Rally Car: Citroen DS3 R1 และ Formula 4 ส่วนไฮไลท์ของงานจะเป็นเซสชั่น Hot Laps ที่เราจะได้นั่งไปในรถที่ขับโดยนักแข่งมืออาชีพเต็มรอบสนามเซปังชนิดไหล่กระทบไหล่ในรถแข่งระดับโลกอย่าง  FORMULA LEMANS แบบ 2-Seater 430 แรงม้าทำขึ้นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ หรือจะเป็นเจ้ากระทิงดุพันธุ์ซิ่ง LAMBORGHINI 2014 GT3 ตัวแข่ง Torfeo ที่มาพร้อมกับม้าถึง 600 ตัว แรงขนาดไหนไม่ลองคงไม่รู้ หลังจากประตูพิทเปิดขึ้นจนหมด MC สุดสวยขาซิ่งประจำงานก็บอกให้คณะฟังเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งดังกระหึ่มทั่วสนามพร้อมกับจับตามองรถแข่งที่กำลังจะวิ่งผ่านหน้าพิทไป เมื่อรถเข้ามาในพิทจอดนิ่งสนิทเสียงไฮดรอลิกยกตัวรถขึ้นทั้งคันดัง ฟี้ดดดดด นักแข่งแถวหน้าของมาเลเซีย Dominic Ang ก็ลงมาจากรถทักทายกับผู้ร่วมงานทุกคนก่อนจะได้เจอกับเขาในช่วง Hot Laps ไฮไลท์ของงานในวันนั้น

Gentleman, Start Your Engine

Station 1: Touring Car; Renault Clio IV

หลังจากนั้น สื่อมวลชนในคราบนักแข่งทั้ง 4 ทีมได้แยกย้ายกันไปตามสเตชั่นต่างๆ ที่กำหนดไว้ ทีมสื่อสีเขียวของเราเดินทางไปยังสเตชั่นแรกเพื่อควบทัวร์ริ่งคาร์อย่างเรอโนลต์ คลิโอ IV (Renault Clio IV) คุณช้อป อวิรุทธ์ ข้าวบ่อ Motorsport instructor ประจำทีมอดีตดาวรุ่งนักแข่งชาวไทยแนะนำพรีเซนเทชั่นทำความรู้จักกับสนามในเซสชั่นนี้กันก่อนว่ามีกี่โค้ง จุดไหนเร่งได้ จุดไหนต้องเบรกหรือใช้เกียร์อะไรในการเข้าโค้ง พร้อมทั้งแนะนำการขับในเรซซิ่งไลน์ (Racing Line) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ารถจะไปได้เร็วที่สุดถ้าขับในเรสซิ่งไลน์นี้ แต่ไม่ต้องห่วงทีมมิชลินเซ็ตอัพงานไว้อย่างดีมาร์คจุดเบรก (Breaking Point) จุดหักพวงมาลัย (Turning Point) และยอดโค้งหรือ Apex ไว้ให้เราแล้ว แค่ทำตามเราก็ขับได้หายห่วง แน่นอนว่า Safety First ความปลอดภัยในสนามต้องมาก่อน ข้อควรปฏิบัติเมื่อรถเกิดปัญหาหรือเราหลุดโค้งและในกรณีอื่นๆ จะต้องทำยังไงกันบ้างก็อธิบายกันหมดก่อนที่จะไปสัมผัสกันจริงๆ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปมิชลินไม่ให้เราขับคนเดียวโดดๆ แน่นอน เพราะเราจะมีครูฝึกประจำสถานีคอยให้คำแนะนำต่างๆ นั่งไปกับเราด้วยตลอดเวลา

ด้วยความที่เป็นคนโชคดีมีชื่ออยู่ใน Name List เป็นคนแรกเลยได้เป็นคนขับก่อน เลซอง (Liaison) สาวสวยอัลบี้ (Albey) ประจำทีมเรียกชื่อให้เตรียมพร้อม และมาช่วยจัดแจงใส่ชุดและหมวกกันน็อคให้พร้อมกับเดินกางร่มไปส่งถึงรถ แหม….. ยังไม่ทันได้ขับจริงก็รู้สึกว่าเป็นนักแข่งมืออาชีพไปซะแล้วฟินสิครับงานนี้ มิชลินบอกแล้วว่างานนี้คุณเป็นนักแข่ง นักแข่งมีหน้าที่อะไร ก็ขับอย่างเดียวไงครับ เพราะฉะนั้นเมื่อเดินเข้าไปนั่งในรถปุ๊บทีมเมคคานิค (Mechanic Team) เข้ามาทำหน้าที่ดูแลปรับตั้งเบาะนั่งให้เหมาะกับสรีระเรา และติดตั้งคาดเข็มขัดนิรภัยให้ทันที เข็มขัดที่ใช้เป็นเข็มขัดแบบ 6 จุด บอกแล้วเค้าเน้นความปลอดภัยมว้ากกกกกก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยหันมาทักทายครูฝึกในสเตชั่นแรกกันสักหน่อย Instructor ท่านนี้ชื่อเจมส์ ครูฝึกบอกสเตชั่นนี้ไม่มีไรมากยูขับตามสบายๆ อีซี โกอิ้งได้เลย พูดมาแบบนี้เรามั่นใจเต็มที่เลยสิ ส่วนตอนที่คุณช้อปบริ้ฟเรื่องเข้าเกียร์ออกตัวว่าตั้งใจฟังดีแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ ออกตัวด้วยความมุ่งมั่นจะทะยานไปสุดขอบฟ้า เสียงเครื่องแทนที่จะดังกระหึ่มเซปังกลับกลายเป็นว่าแคร๊กๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ดับ ครับดับไปตั้งสองรอบแหม่เริ่มต้นการเป็นนักแข่งได้สวยทีเดียว ช่วยไม่ได้เรามันไม่คุ้นเคยกับนิสัยของรถแข่งกับการทำงานของเครื่องยนต์รอบจัดเองเลยไม่ชิน เอาล่ะตั้งต้นใหม่คราวนี้ออกตัวไปกันสวยๆ เสียงหวานๆ ของเครื่องยนต์เริ่มแผดเสียงออก แล้วสตอรี่การเป็นนักแข่งบนสนามระดับโลกได้เริ่มต้นขึ้น ขับไปเรื่อยๆ พอพ้นพิทปุ๊บกดคันเร่งได้เต็มที่พร้อมเตรียมเข้าโค้งแรกซึ่งเป็นโค้งเล็กๆ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นทางตรงอยู่แล้ว พ้นโค้งนี้ปุ๊บเข้าโค้งที่สองกดเบรกเชนเกียร์ลงมาที่เกียร์ 2 หักพวงมาลัยพารถไปตามทางสบายๆ และเร่งออกจากโค้ง ยางมิชลินที่ประจำการอยู่ในเรอโนลต์คันนี้เป็นยางมิชลิน เรสซิ่ง เว็ท (MICHELIN Racing wet) ซึ่งตอนแรกทีมงานเตรียมยางมิชลิน เรสซิ่ง สลิค (MICHELIN Racing Slick) ไว้ให้ แต่ด้วยสภาพอากาศไม่เป็นใจฝนตกมาตอนเช้า พื้นสนามเลยเปียกจึงต้องใช้ยางเว็ทแทน ซึ่งตัวยางทำหน้าที่ยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยมพารถทะยานผ่านโค้งไปแบบนิ่มๆ สบายๆ หล่อๆ รอบแรกผ่านไปเป็นแค่การวอร์มอัพทำความคุ้นเคยกับสนามกันก่อน พอเข้ารอบที่สองได้ระยะหนึ่ง ครูฝึกเห็นว่าเราเริ่มคุ้นเคยกับตัวรถและสนามแล้วก็บอกให้เร่งความเร็วขึ้นได้อีก จะรออะไรล่ะครับเปิดมาแบบนี้ตบเกียร์กดคันเร่งพารถพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร้าใจ ยังไม่ทันจะหายอยากเวลาหมด หมดเวลา ต้องเอารถกลับเข้าพิทส่งไม้ต่อให้ท่านถัดไปมาสัมผัสต่อบ้าง สรุปสเตชั่นนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งแรกได้อย่างน่าตื่นเต้นน่าประทับใจเป็นอย่างมาก

Station 2: Rally Car; Citroen DS3 R1

เมื่อมาถึงสเตชั่นนี้ ถามตัวเองก่อนเลยว่า ไหวมั้ยเพราะสนามนี้อยู่นอกตัวเซอร์กิตหลัก สนามเป็นทางฝุ่นหินลูกรังดินแดงอย่างเห็นได้ชัดที่สำคัญไม่มีอะไรกั้นข้างทางถ้าหลุดโค้งก็ลงหญ้าข้างทางสถานเดียว ตุ้มๆ ต่อมๆ เอาหน่ะมาถึงที่ทั้งทีจะขอบายไปทำไมเสียดายโอกาสแย่ เหมือนเดิมกับสนามนี้คุณช้อปครูฝึกประจำทีมบริ้ฟเรื่องรถ สนาม ความปลอดภัยพร้อมขับรถพาดูไลน์สนามก่อนลงขับจริง สนามนี้ขับไม่ยากเพราะแค่เข้าเกียร์ 1 ออกตัวผลักเกียร์เข้าเกียร์ 2 ปุ๊บเป็นอันจบเพราะขับใช้ความเร็วไม่มากค้างไว้ที่เกียร์ 2 ที่เหลือก็อยู่ที่เท้าขวาว่าจะกล้ากดคันเร่งลึกมากแค่ไหน ถึงเวลาสาวสวยประทำทีมเลซองอัลบี้ (Albey) ก็มาช่วยแต่งตัวกางร่มพาไปที่รถ ทีมแมคคานิคเซ็ตอัพที่นั่งให้เรียบร้อย คนขับพร้อม ครูฝึกพร้อม แต่ไม่แน่ใจว่าครูฝึกชื่อไรเป็นหนุ่มตี๋หน้าขาวชาวมาเลงานนี้ขออภัยด้วยที่จำชื่อครูไม่ได้ ครูฝึกแนะนำการขับขี่ว่าถ้ารถโอเวอร์สเตียร์ไถลออกข้างทางก็ปล่อยรถไปแล้วเหยียบเบรกไว้เฉยๆ อย่าฝืนอาการรถไม่อย่างนั้นรถยิ่งหมุน เอาล่ะสิ ยิ่งไม่คุ้นกับทางออฟโร้ดอยู่แล้วแถมมาโดนเตือนแบบนี้ยิ่งประหม่า เมื่อทำใจพร้อมแล้วก็ออกรถไป รอบนี้ดับเหมือนเดิมแต่แค่รอบเดียวนะ สตาร์ทรถใหม่ตั้งตัวได้เริ่มออกตัวไปนิ่มๆ ยางมิชลินแรลลี่ (MICHELIN Rally) ที่ประจำการอยู่ในเจ้าซีตรอง ดีเอส 3 อาร์ 1 (Citroen DS3 R1) ยึดเกาะถนนได้อย่างเหนียว แน่น หนึบ พารถทะยานขับตะกุยผิวทางลูกรังไปได้อย่างมั่นใจ นึกว่าขับอยู่บนทางดำซะอีก ผ่านรอบแรกไปอย่างช้าๆ ปลอดภัย แต่ดันหลงเส้นทางกลับมาจุดสตาร์ทใหม่ปล่อยไก่อีกแล้วแฮะ สตาร์ทรอบสองคุ้นเคยกับตัวรถและสนามแล้วก็เร่งความเร็วกดคันเร่งเข้าไปอีกไม่เว้นแม้แต่ตอนเข้าโค้งจนรู้สึกได้ว่าตัวรถสไลด์เข้าหาโค้งอย่างไวแต่ด้วยสกิลล์ขั้นเทพแล้วไม่มีโค้งไหนที่เอาไม่อยู่มีแต่เกือบหลุดโค้งตรงโค้งที่ลื่นที่สุดของคอร์สนี้เพราะด้วยสภาพสนามแบบลูสกราวด์ (Loose Ground) แล้ว ทีมงานมิชลินยังฉีดน้ำให้พื้นสนามเปียกและลื่นยิ่งกว่าเดิม ยกระดับความสนุกเร้าใจจำลองการแข่งแรลลี่จริงๆ กันไปเลย บอกเลยงานนี้มันส์มาก ยิ่งขับยิ่งเร็วความเร็วเฉลี่ยแต่ละรอบเพิ่มขึ้นแบบรอบต่อรอบจนครูฝึกบอกเลยว่าทำได้โอเคมาก แต่ก็เหมือนเป็นคำปลอบใจเพราะสิ้นเสียงชม ครูบอกยูยู โกแบ็ก ได้แล้ว ไอจึงต้องคัมแบ็กตามคำสั่งครู จบรอบนี้ไปอย่างสวยงาม บอกได้เลยว่าสนุก ตื่นเต้น เร้าใจมากจนอยากลงไปขับอีก เรียกได้ว่าสเตชั่นนี้เป็นสเตชั่นที่สนุกที่สุดของงานคงไม่ผิดอะไร

Station 3: Formula 4

ความพิเศษของสเตชั่นนี้คือเราจะได้ขับรถแข่งล้อเปิดไปเองโดยไม่มีครูฝึกนั่งไปด้วย อย่างไรก็ดีมิลชินก็เป็นห่วงความปลอดภัยเช่นเคยเพราะจะต้องขับตามรถนำ (Pace Car) ห้ามแซงเด็ดขาด รอบนี้คุ้นเคยกับรถแข่งมาหลายคันละเลยไม่ทำเครื่องดับ แม้ว่า F4 จะมีกำลังแค่ 160 แรงม้าแต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 470 กก. สัดส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเรียกได้ว่ามากโขอยู่ผนวกกับรอบเครื่องที่จัดจ้านแล้วทำเอาตอนออกตัวผงกหัวไปด้วยหยั่งกะฟังเพลงแร็พเพราะในพิทเลนจำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 40 กม./ชม. ซึ่งทำให้ควบคุมรถแข่งรอบจัดได้ยากมากแต่พอพ้นพิทไปสามารถทำความเร็วได้สบายๆขับง่ายๆ ตาม Pace Car ไปเรื่อยได้อารมณ์เหมือนขับ F1 เข้าโค้งได้ง่ายเพราะตัวรูปทรงตัวรถที่มีแอโรพาร์ทช่วยให้มีแรงกดรถตามหลักอากาศพลศาสตร์เป็นอย่างดีผ่านรอบแรกวอร์มอัพยางมิชลินเรสซิ่ง สลิค (MICHELIN Racing Slick) เกือบเต็มรอบสนามเซปังและคุ้นเคยกับโค้งต่างๆ  Pace Car เริ่มขับฉีกออกไปทิ้งระยะให้ทำความเร็วได้มากขึ้น บอกได้คำเดียวว่าเป็นสเตชั่นที่สุดอีกสเตชั่นนึงเพราะให้อารมณ์เหมือนกับเราขับในการแข่งขันระดับโลกอยู่จริงๆ โดยเฉพาะตอนเร่งความเร็วตบเกียร์แพดเดิ้ลชิฟท์ขึ้นไปเรื่อยๆ เสียงเครื่องกระหึ่มลากรอบขึ้นไปว่าเร้าใจก็ไม่สู้เท่ากับเมื่อได้จินตนาการว่าเรากำลังขับในรายการแข่งระดับโลกมีคนดูอยู่เต็มแกรนด์สแตนด์ตอนที่ขับผ่าน ช่างเป็นประสบการณ์ที่ยากจะหาได้จากที่ไหนอีกจริงๆ จะติดแค่ตอนลงไปนั่งรถคันแรกดันเป็นรถสำหรับคนที่มีสรีระสูงสักหน่อยเล่นเอาเหยียบแป้นอะไรไม่ได้เสียเซลฟ์ไปพักหนึ่งเลยต้องรีบเรียกทีมเมคคานิคมาขอเปลี่ยนรถเป็นการด่วน สุดท้ายก็ได้ขับรถแข่งดั่งใจฝันทะยานไปบนเส้นทางสนามแข่งระดับโลกจนหนำใจก่อน Pace Car เปิดไฟเลี้ยวเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาของยูแล้ว ให้คนอื่นเค้ามาขับมั่งนะ

Station 4: Experience the New MICHELIN Pilot Sport 4

สเตชั่นนี้มิชลินจัดขึ้นเพื่อให้ทดสอบผลิตภัณฑ์ยางสมรรถนะสูงสำหรับรถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมรุ่นใหม่ล่าสุด MICHELIN Pilot Sport 4 เป็นพิเศษก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมสนนราคาค่าตัวในเร็วๆ นี้ โดยจัดให้สื่อทดลองขับแบบสลาลอมและทดสอบระยะเบรกเปรียบเทียบกับยางสมรรถนะสูงคู่แข่งของมิชลิน เซสชั่นนี้จัดขึ้นสั้นๆ แต่ได้ใจความเพราะทำให้สัมผัสได้ถึงสมรรถนะที่เหนือกว่าของยาง MICHELIN Pilot Sport 4 ซึ่งมีคุณสมบัติตอบสนองฉับไว แม่นยำ ให้ความปลอดภัยบนทุกเส้นทาง และมีอายุการใช้งานยาวนาน ด่านสลาลอมยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 ให้ความมั่นใจได้อย่างดีเยี่ยมทั้งตอนที่ขับขี่เองและตอนที่เป็นผู้โดยสารมีครูฝึกขับทดสอบให้ ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 สามารถพาช่วยให้รถหักหลบหลีกกรวยสลับซ้ายขวาได้อย่างไม่เสียอาการ ให้การบังคับควบคุมที่อยู่ในการควบคุมของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์ในขณะที่ยางคู่แข่งซึ่งติดตั้งมากับรถรุ่นเดียวกันที่ใช้ทดสอบนั้นมีออกอาการโยนตัวบ้างในขณะโยกพวงมาลัยสลับไปมา ด่านถัดไปเป็นการทดสอบสมรรถนะในการเบรก ด่านนี้ทีมงานมิชลินนำตัวเลขระยะเบรกมาวางตั้งแต่ 0 ถึง 6 เมตรเพื่อเปรียบเทียบวัดระยะเบรกให้เห็นผลกันแบบจะๆ ซึ่งยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังระยะเบรกสั้นกว่ากันแบบเห็นๆ ถึงประมาณ 4- 6 เมตร ต้องยอมรับเลยว่าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นมิชลินเพิ่มมูลค่าให้กับตัวยางเพิ่มเอกลักษณ์ความโดดเด่นให้กับแก้มยางซึ่งยังไม่เคยมีแบรนด์ใดทำมาก่อน มิชลินเรียกเทคโนโลยีนี้ว่าพรีเมี่ยม ทัช (Premium Touch) เทคโนโลยีนี้ช่วยให้แก้มยางดูดีขึ้นอีกระดับเสริมความสง่างามให้กับตัวรถโดยการทำให้แก้มยางมีลักษณะพื้นผิวยางที่ให้สัมผัสเหมือนกำมะหยี่และให้เฉดสีของสีดำที่ตัดกัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับยาง “มิชลินไพลอต สปอร์ต คัพ 2” ที่เป็นยางสำหรับรถซูเปอร์คาร์เท่านั้น ท่านใดมีโปรเจ็คเปลี่ยนยางเร็วๆ นี้อดใจรออีกนิดจะได้มียางเท่ห์ๆ ไปประดับล้อคู่ใจรถของท่าน ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 มีให้เลือกหลายขนาดตั้งแต่ 16 นิ้วจนถึง 19 นิ้ว ดังนี้

16 นิ้ว 17 นิ้ว 18 นิ้ว 19 นิ้ว
205/50ZR16 91W 205/45ZR17 88W 225/40ZR18 92Y 245/40ZR19 98Y
205/55ZR16 94W 205/50ZR17 93W 225/45ZR18 95Y  
  215/45ZR17 91W 235/40ZR18 95Y  
  215/50ZR17 95W 235/45ZR18 98Y  
  225/45ZR17 94Y 245/40ZR18 97Y  
  235/45ZR17 97Y 255/40ZR18 (99Y)  
  245/40ZR17 95Y 265/35ZR18 (97Y)  
  245/45ZR17 99Y    

Station 5: Hot Laps

ใครคิดว่าขับรถแข่งเองจะมันส์สุดๆ แล้วอาจต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ลอง Hot Laps นั่งไปในรถแข่งที่ขับโดยนักแข่งมืออาชีพ บอกได้คำเดียวว่าสุดจริงไอที่ขับๆ มาว่าสนุกเร้าใจแล้วก็สุดไม่เท่า Hot Laps สเตชั่นนี้มีรถแข่งอยู่สองคันตามที่ได้เกริ่นไว้ก่อนแล้วคือเจ้ากระทิงดุ LAMBORGHINI 2014 GT3 ตัวแข่ง Torfeo กำลังล้นเหลือระดับ 600 แรงม้ากับ FORMULA LEMANS รถแข่งแบบ 2 ที่นั่ง 430 แรงม้า งานนี้จับฉลากได้นั่ง FORMULAR LEMANS ไปกับนักแข่งแถวหน้าของมาเลเซีย Dominic Ang เมื่อลงไปนั่งข้าง Dominic และจัดแจงเช็คเซฟตี้รัดเข็มขัดนิรภัยกันเรียบร้อยทีมงานก็จัดตำแหน่งมือจับให้จับแบบไขว้กันเป็นตัวเอ็กซ์ (X) ตอนแรกงงว่าทำไมต้องจับแบบนี้ ตอนหลังรู้ซึ้งเลยว่าทำม้ายยยย ให้ข้าพเจ้าจับแบบนี้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนักแข่งของเราไม่รอช้าเหยียบคลัตช์ สับเกียร์ กดคันเร่งสั่งให้เครื่องยนต์ส่งผ่านกำลังไปยังชุดเกียร์และม้ามาวิ่งที่ล้อทั้งสี่ของ FORMULA LEMANS ลำนี้ทันที เป็นการออกตัวที่ระห่ำที่สุดในชีวิตที่เคยพบพานมาแค่เริ่มออกตัวก็สัมผัสได้ถึงแรงจี (G Force) กระหน่ำสาดเทผ่านร่างเข้ามาจนรับรู้ไปถึงชั้นซิลลีบัมของสมอง แหม่… มันจี๊ดดดดดด ซะจนต้องแผดเสียงร้องโอ้วววว ออกมาไม่รู้ตัว ดูเหมือนคุณ Dominic จะได้ยินเสียงโหยหวนดังอยู่ข้างๆ เขาจึงใจดีมีเมตตายกคันเร่งให้พอได้หายใจบ้าง แต่ยังไม่ทันตั้งตัวพ่อเจ้าประคุณ Dominic Ang ก็กระทืบคันเร่งซ้ำส่งรถทะยานออกจากพิทไปอย่างรวดเร็วเข้าสู่สนามซึ่งใกล้หมดทางตรงแรกพี่เค้าก็กระทืบเบรกจนทั้งร่างไหลไปกองข้างหน้า ลืมไปเลยว่าคาดเข็มขัดนิรภัย 6 จุดอยู่นะเนี่ยแล้วเจ้า LEMANS พาร่างลอยทะยานผ่านโค้งขวาแรกหักเข้าโค้งสองต่อโค้งสามชนิดที่ว่าพี่ขับได้มันส์มาก มันส์จนน้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว ให้ขับเองคงขับไม่ได้แบบนี้เร็ว แรง ทะลุเซปังจริงๆ รับรู้ได้ถึงแรงจี สุดทุกโค้ง แรงทุกทางตรง โดยเฉพาะในโค้งความเร็วสูง Dominic ก็ไม่ทำให้ผิดหวังกดคันเร่งเข้าโค้งไปเฉียดความเร็วที่เกือบ 200 กม./ชม. ส่วนทางตรงยาวผ่านแกรนด์สแตนด์มีแตะสองร้อยปลายเกือบสามร้อยแน่นอน เวลาใน Hot Laps ผ่านไปอย่างรวดเร็วต้องขอบคุณมิชลินและ Dominic Ang ที่เปิดประสบการณ์ใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตว่าในการแข่งจริงนักแข่งแต่ละคนต้องเผชิญต้องผ่านอะไรกันมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ยกย่องมิชลินและทีมงานจากใจครับ

Cool Down

About MICHELIN

ในงาน MICHELIN Pilot Sport Experience ครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณวิเนต องค์เนกนันต์ หรือคุณต้น ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ยางสมรรถนะสูง (Business Model Leader – East Asia and Australian) มาร่วมทำ Workshop ให้ความรู้ทั้งในแง่ของตัวองค์กรมิชลินและผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ ซึ่งมีมากกว่าที่เราคิด คุณต้นร่วมงานกับมิชลินประเทศไทยมาแล้วกว่า 14 ปี คุณต้นเริ่ม workshop โดยเล่าให้ฟังว่ายางมิชลินใช้ส่วนผสมถึงกว่า 200 ชนิดซึ่งบางชนิดก็เป็นอะไรที่เราคาดไม่ถึงอย่างเช่นถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุวัตถุดิบมา มิชลินก็นำไปบดผสมรวมกันอยู่ในยางมิชลินด้วย แน่นอนว่าทีมวิศวกรพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้คำนวณไว้หมดแล้ว ส่วนผสมเหล่านี้ช่วยเสริมสมรรถนะให้กับยางมิชลินจริงๆ รู้หรือไม่ว่ามิชลินเป็นแบรนด์แรกที่คิดค้นยางเสริมใยเหล็กหรือที่รู้จักกันว่ายางเรเดียล และยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ระดับโลกอย่าง Airbus อีกด้วย ล้อของเครื่องบินแอร์บัสทุกลำใช้ยางมิชลินทั้งสิ้นซึ่งล้วนเป็นยางสมรรถนะสูงเพราะต้องทนรับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิยิ่งยวดได้จากต่ำมากมาร้อนมากและจากความเร็วศูนย์ไปถึงระดับ 250 กม./ชม. ภายในเสี้ยววินาที เมื่อเครื่องบินแลนด์ดิ้งลงจอด ซึ่งยางแต่ละเส้นมีอายุการใช้งานถึง 300 แลนด์ดิ้งทีเดียว นอกจากนี้ มิชลินก็ยังเป็นแบรนด์แรกที่สามารถผลิตยางแบบไม่ต้องเติมลมยางแบบเดียวกับที่ใช้กับยานสำรวจอวกาศออกจำหน่ายได้ มิชลินเรียกยางชนิดนี้ว่า MICHELIN X TWEEL โดยเริ่มแรกได้ติดตั้งมาพร้อมกับรถตัดหญ้าเพราะด้วยคุณสมบัติที่ไม่ต้องเติมลมยางนั้น ช่วยให้ตัดหญ้าได้เรียบเสมอกันอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ คุณต้นยังแชร์ประวัติความเป็นมาของมิชลินถึงมีที่มาที่ไปของ MICHELIN Green Guide และ MICHELIN RED GUIDE ให้ทราบกันคร่าวๆ ด้วย ย้อนกลับไปสมัยก่อน ยุคที่รถยนต์เพิ่งเป็นที่รู้จักและสมรรถนะยังไม่สูงวิ่งความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 40-50 กม./ชม. และถนนหนทางยังไม่ดีเหมือนสมัยนี้ แน่นอนว่าการเดินทางย่อมไม่สะดวกสบาย นี่จึงเป็นที่มาของการจดบันทึกจุดพักรถพักคน และตำแหน่งร้านอาหารที่สามารถแวะชิมพักผ่อนตลอดสองข้างทางได้ เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลก็มากขึ้นร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม ในหลายๆ ประเทศก็มีมากขึ้นตามไปด้วย จนกลายมาเป็นหนังสือแนะนำร้านอาหารและสถานที่พักมิชลิน กรีน ไกด์ และมิชลิน เรด ไกด์ จนถึงทุกวันนี้ เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก MICHELIN Star หรือดาวมิชลินที่บรรดาเชฟยอดฝีมือทั่วโลกต่างก็ใฝ่ฝันอย่างได้มาประดับร้านอาหารของตัวเอง ว่ากันว่าดวงดาวมิชลินนั้นเปรียบเสมือนกับการได้เหรียญในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเลยทีเดียว นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีการันตีร้านอาหารได้ว่ายอดเยี่ยมท็อปคลาสขนาดไหน

รวมรัดตัดความ

จากที่เล่ามาทั้งหมดทั้งมวลนี้คงยืนยันคอนเฟิร์มได้เป็นอย่างดีว่ามิชลินไม่ใช่แบรนด์ที่มีดีแต่เรื่องยางรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกอีกด้วย อีกทั้งตัวแบรนด์ยังได้รับการยกระดับคุณค่าของแบรนด์และองค์กรเพราะแบรนด์มิชลินไม่เพียงจะหยุดอยู่แค่ยางรถยนต์ แต่ยังมีบทบาทในด้านการพัฒนาคน พัฒนาประเทศ และพัฒนาโลกดังเห็นได้จากการเป็นพันธมิตรกับบริษัทผลิตเครื่องบินโดยสารชั้นนำ การมีส่วนร่วมในโครงการวิจัยพัฒนาด้านอวกาศ รวมไปถึงความเป็นเจ้าแห่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตอีกหลากหลายชนิด ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งอาหารและที่พักชั้นนำที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วโลก ทั้งหมดที่เล่ามานี้คือสิ่งที่มิชลินทุ่มเทพัฒนาให้กับสังคม และสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของมิชลินได้อย่างชัดเจน

ใครอยากมีโอกาสได้ไปร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกแบบนี้ ตามไปกดไลค์เพจ “Michelin Driving Passion (Bangkok, Thailand)” ที่ Facebook ไว้เลย เพราะงานนี้จัดทุกปีและจะมอบโอกาสให้ผู้โชคดีเพียงไม่กี่คนในแต่ละปีเท่านั้น ไม่แน่ปีหน้าคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ใครจะรู้

งานนี้ต้องขอขอบคุณบริษัท สยามมิชลิน จำกัด ที่มอบโอกาสดีดีให้นิตยสารกรังด์ปรีซ์ได้เปิดประสบการณ์ ความตื่นเต้นเร้าใจระดับโลกในครั้งนี้ รวมถึงขอขอบคุณอาจารย์สมเกียรติ โมราลาย ที่ปรึกษาแบรนด์มิชลิน และทีมงานฝ่ายสื่อสารองค์กรที่ร่วมเดินทางไปดูแลคณะสื่อมวลชนประเทศไทยด้วยตัวเอง เห็นอย่างนี้แล้ว ไม่ให้มิชลิน 5 ดาว (5 Stars) ได้ยังไงไหว จริงมั้ยครับ