s
เรื่อง: อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ: ภูดิท แซ่ซื้อ
ได้พบประสบกับตัวเอง ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของชาว Retro/Classic ที่ได้ครอบครองรถเหล่านี้ บางทีรถก็เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของชีวิต แต่สิ่งที่เหนือขั้นกว่านั้น คือ “ความผูกพัน” กับ Man And Machine คนและรถ ซึ่งต่างขับเคลื่อนและเติมเต็มชีวิตให้กันและกัน ความรู้สึกในเชิง “รำลึก” เกิดขึ้นเมื่อรถคันนั้นมันมี “ความหมาย” ใน Timeline ของชีวิต เป็น “มรดกตกทอด” จากคนที่เรารัก ที่พึงรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นมรดกสู่คนรุ่นหลัง คุณค่าไม่ได้ตีด้วยตัวเงิน แต่ตีด้วย “คุณค่า” ของตัวมันเอง คนที่สัมผัส ณ จุดนี้อยู่ คงไม่มีใครไม่เข้าใจคำว่า “คุณค่า” อย่างแน่นอน…
- ยอมรับฝีมือและปลายปากกาของ “จูเจียโร” จริงๆ ที่ออกแบบมาได้อย่างน่าประหลาดใจ เพราะความแปลก ดูแรกๆ ไร้ความงาม แต่ดูยาวๆ ความงามจะปรากฏตามกาลเวลาที่ผ่านไป ฝากระโปรงเจาะช่องระบายลมสไตล์ตัว TURBODELTA กระจกมองข้าง VITALONI ทรงโคตรซิ่ง
A.L.F.A. ROMEO MILANO
คำว่า ALFA ย่อมาจาก “Anonima Lombarda Fabrica Automobili” หมายถึง “โรงงานผลิตรถยนต์นิรนามในแคว้นลอมบาร์ดี” ซึ่งอยู่ในเมือง “มิลาน” (ภาษาอิตาลี: MILANO) เริ่มขึ้นในปี 1910 ตอนนั้นใช้ชื่อว่า ALFA MILANO ก่อน หลังจากนั้น ในปี 1915 บริษัท ALFA อยู่ใต้การปกครองของ Mr. Nicola Romeo จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น ALFA ROMEO MILANO ตั้งแต่ตอนนั้น จริงๆ ประวัติมันก็หลายขั้นตอนพอสมควร เอาเป็นว่าแค่ “จุดเริ่มต้น” อย่างน้อยก็จะได้เข้าใจว่า ALFA คืออะไร…
- ทรวดทรงแบบ Fastback สไตล์ฮิตในยุค 70 ที่ใครๆ ก็ต้องทำ
- คันนี้ Nature เป็นรุ่น GT ซึ่งเป็นหน้ากระจังแบบไม่มีคิ้วคาด กลับดูดุดันกว่าตัว GTV ที่มีคิ้วโครเมียมเยอะเลย
ALFETTA GT go to GTV Motor
สำหรับ ALFA “ALFETTA” (แปลว่า Little Alfa) ในรหัสแชสซี “116” ซึ่งจะมี 2 เวอร์ชัน ตัว 4 ประตู คือ BERLINA เริ่มขึ้นในปี 1972 ส่วนรุ่นที่กำลังนำเสนอนี้ คือรุ่น “GT” เป็นแบบ 2 ประตู Fastback (แต่ใช้ Platform เดียวกับตัว 4 ประตู) เริ่มผลิตในปี 1974 ออกแบบตัวถังโดย “Giorgetto Giugiaro” แห่ง “Italdesign” (อิตัลดีไซน์) บอกตรงๆ “งามงด” ว่ะ ซึ่งจะเริ่มจากรุ่น GT 1.6 (รหัส 116.10) ขุมพลัง 1.6 ลิตร ปี 1975 ออกรุ่น GT 1.8 (รหัส 116.54) มีแรงม้า “118 PS” ในปี 1976 ออกรุ่น 2.0 GTV (Grand Turismo Veloce) มีแรงม้า “122 PS” (รหัส 116.36) จุดแตกต่างจากรุ่น GT คือ กระจังหน้าจะเดิน “คิ้วโลหะ” เพิ่มมา 2 เส้น พวงมาลัยจะเป็น “วงไม้” ส่วนรุ่น GT เป็น “วงยางสีดำ” โลโกที่เสา C จะเป็นคำว่า GTV ถ้า GT จะเป็นช่องลมซี่นอนธรรมดา ขุมพลัง 2.0 ลิตร DOHC 8 วาล์ว เช่นเดียวกัน…
- ไฟท้ายรุ่นก่อนปี 1980 จะเป็นแบบ “โคมแยก” ไฟเลี้ยวกับไฟเบรก ส่วนชิ้นโลโกเสา C เปลี่ยนของตรงรุ่น GTV ซึ่งผมดูแล้วรุ่นนี้มีเสน่ห์สุดๆ ซึ่งรุ่นปี 1980 มันจะไปทาง “โมเดิร์น” อาจจะดูใหม่ แต่เร้าใจน้อยลงหรือเปล่านั้น แล้วแต่จะชอบ
- ก็แค่ล้อรูกลมๆ แต่ได้อารมณ์เมื่ออยู่ ณ ที่เหมาะสม เป็นของ RONAL ที่ผลิตให้กับ ALFA ROMEO และชุดนี้คือ “ตรงรุ่น” GTV ขนาด 7 x 15 นิ้ว ออฟเซต +25 ที่เหมือน “ขุมทรัพย์” เพราะไปค้นเจอมรดกของ “ท่านพ่อ” เก็บไว้อย่างดี (“ซุก” จนเกือบหาไม่เจอ) ทำให้คันนี้ “ขึ้น” ส่วนโช้คอัพ ใช้ของ KONI ตรงรุ่น
ปี 1979 รุ่น GTV ปรับปรุงความแรงนิดหน่อย เช่น องศาแคมชาฟต์ออกแบบใหม่ เปลี่ยนชุด Vacuum ปรับองศาไฟจุดระเบิดใหม่ แรงม้าเพิ่มเป็น “131 PS” ปี 1980 จัดการ “ไมเนอร์เชนจ์” เปลี่ยนรูปลักษณ์บางอย่างใหม่ กันชนเปลี่ยนจากโครเมียม มาเป็นพลาสติกสีดำ กระจังหน้า โลโกสามเหลี่ยมด้านหน้า ถูกเปลี่ยนทรงใหม่แบบ “เรียบ” ผมว่ามันสวยสู้อันแรกไม่ได้เลย โลโกเสา C เปลี่ยนใหม่ ไฟท้ายเป็นแบบ “โคมเต็ม” ชิ้นเดียว (One Piece Tail Light) ถ้าเป็นตัวก่อนไฟเลี้ยวกับไฟเบรกแยกดวงกัน ซึ่งรุ่นนี้ จะเรียกสั้นๆ ว่า ALFA GTV ตัดคำว่า ALFETTA ออกไป และเพิ่มรุ่น “GTV 6” ออกมา ใช้เครื่อง V6 SOHC 2.5 ลิตร (ตัวเดียวกับ ALFA 6 ที่เป็นรถแบบ Luxury Sedan) จ่ายน้ำมันด้วย “หัวฉีด” BOSCH L-Jetronic ฝากระโปรงจะมี “โหนก” พร้อมช่องลมพลาสติกสีดำ (เนื่องจากเครื่อง V6 มีขนาดใหญ่และสูงกว่า) ภายในเป็นเบาะกำมะหยี่ ดุมล้อเป็นแบบ 5 นอต (รุ่น GT และ GTV เป็นแบบ 4 นอต) สำหรับรุ่นใหญ่สุดของ GTV 6 จะเป็นเครื่อง 3.0 ลิตร ในตลาด “South Africa” ที่ผลิตมาเพื่อให้ผ่าน Homologate สำหรับการแข่งขัน มีจำนวนเพียง 212 คัน…
- เก็บมาอย่างดี สมบูรณ์สุดๆ อุปกรณ์ภายในชี้วัดได้ถึง “สภาพ” ทุกอย่างยังแจ๋ว พวงมาลัยตรงประเทศ NARDI TORINO CLASSIC แป้นเหยียบยังเดิม เป็นรูป “ก้นหอย” ไม่มีขาดหรือสึกเกินไป
- นี่ไง อิตาเลียนชอบทำอะไร “แหวก” กว่าชาวบ้าน วัดรอบอยู่ตรงหน้าคนขับ ที่เหลือย้ายมากลาง เรือนไมล์อยู่ซ้าย เพราะดั้งเดิม ALFA จะเป็นรถพวงมาลัยซ้ายส่วนใหญ่ พอมาเป็นเวอร์ชันพวงมาลัยขวา เรือนไมล์ไม่ได้ผลิตใหม่ ก็ต้องท่าเดิมไป เกจ์ 2 ตัว ด้านล่าง โอนเป็นสัญชาติ “ผู้ดี” ของ SMITHS ตัวซ้ายแปลกหน่อย เพราะเอาไว้วัด Fuel Consumption (อัตราสิ้นเปลือง) หลักการง่ายๆ มันก็คือ Vacuum Gauge (VAC) นั่นแหละครับ ใช้ Vacuum จากการเร่งเครื่อง ถ้าเร่งมาก Vacuum น้อย จะขึ้นที่ Poor (แย่) ถ้าเร่งน้อย เนียนคันเร่ง Vacuum มาก จะขึ้นที่ Good (ดี)
- ตำแหน่งนั่งนี่ “ถูกใจ” เตี้ยและกระชับเหมือนเบาะซิ่ง
- ขุมพลัง 2.0 ลิตร จาก GTV ฝาสูบ DOHC มาแต่กำเนิดนะคร้าบบ ขัดพอร์ตเพิ่ม เปลี่ยนแคมชาฟต์จาก SHANKLE 268 องศา ลิฟต์สูงปรี๊ด 11.0 มม. คาร์บูเรเตอร์ WEBER BOLOGNA (โบโลญญา) อิตาลีแท้ๆ เบอร์ DCOE 45 ลูกสูบ BORGO เพิ่มกำลังอัดเป็น 10.4 : 1 ที่ยังสามารถใส่ได้โดยไม่ต้องปรับแต่งฝาสูบ ระบบจุดระเบิด เป็น Super Coil และสายหัวเทียนจาก ACCEL
- ช่วงล่างด้านหลังแบบ “De Dion” (เดอ-ดิออง) ออกแบบโดย Jules Albert De Dion วิศวกรชาวฝรั่งเศส ดูหน้าตามันจะเหมือนแบบ “อิสระ” แต่จริงๆ แล้ว “ไม่อิสระ” เพราะล้อทั้งสองฝั่งถูกยึดไว้ด้วย “คาน” De Dion Tube ดูจะเหมือนคานแข็ง เพราะล้อทั้งสองฝั่งยึดติดกัน แต่ดีกว่า เพราะชุดเฟืองท้ายและชุดเบรกจะยึดติดกับตัวรถ “ไม่มีการขยับ” ทำให้ไม่เกิด “มวลน้ำหนักใต้สปริง” (Unsprung Weight) มากเหมือนกับระบบคานแข็งที่ “ขยับทั้งคาน” ทำให้มวลน้ำหนักใต้สปริงสูง ซึ่งระบบ De Dion ก็จะดีตรงที่ว่า “หน้ายางด้านหลังสัมผัสพื้นเต็มตลอด” เพราะแคมเบอร์เป็น “ศูนย์” แต่เอาเข้าจริง ปัจจุบันนี้ก็ไม่นิยมแล้ว เพราะถ้าจะทำแบบนี้ ดูทรงแล้วทำเป็นระบบอิสระเต็มตัวเลยดีกว่า
From Dad to Sun “2 Generation”
ส่วนตัวผม “พี สี่ภาค” ก็โคตรชอบรุ่นนี้มานาน เคยเห็นในเมืองไทยน้อยมาก แต่กลับ “ตรึงตา” มากๆ ประกอบกับ “เพื่อนดุ๊ค” แห่ง SHOP 68 RACING ได้แนะนำ “เพื่อนเก่า” ยุค “กระโปรงบาน-ขาสั้น” คือ “คุณจอร์จ” ที่มีเจ้า ALFETTA GT รถคันนี้เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ก็จะส่งถึง “รุ่นหลาน” ต่อไป เป็นมรดกทรงคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น ที่ตีเป็นราคาเงินไม่ได้เลย…
Comment: ธนบดี คุมมานนท์
ALFETTA GT 1.8 คันนี้ เป็นมรดกตกทอดมาจาก “คุณพ่อ” ซึ่งเป็นคนที่ชอบ ALFA มากๆ ตัวผม “จอร์จ” ก็เลยถูกปลูกฝังกับรถแบรนด์นี้มา รถคันนี้ถูกจอดเก็บไว้ในบ้านมากว่า 10 ปี และถึงเวลาที่จะต้องปลุกมันกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง โดยส่งมือเซียน ALFA ระดับตำนาน “ลุงเจตน์ อัลฟ่า” ให้ปลุกมันขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ เท่านั้น พอรถไปถึง ลุงเจตน์ ก็รีบจัดการสานฝันให้ผมเลย พอทำเสร็จแล้วก็สมบูรณ์ครับ ขับได้ปกติ สมรรถนะยังแจ๋วอยู่ เป็นรถที่ขับสนุกสไตล์ ALFA ที่ลือชื่อมานาน รถคันนี้เมื่อทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมก็จะส่งต่อให้ลูกชาย “ธนบดี คุมมานนท์” ได้ดูแลต่อ ณ เขาถึงวัยที่จะรับผิดชอบได้แล้ว ยังไงก็จะเก็บรักษาคันนี้ไว้เป็นอย่างดี ท้ายสุด ขอขอบคุณ “คุณพ่อ” ที่ให้รถคันนี้มา “ลุงเจตน์” ที่จัดการปลุกชีพให้ในเวลาอันรวดเร็ว “XO AUTOSPORT” ที่ให้เกียรติมาถ่ายรถคันนี้ และ “เพื่อนดุ๊ค” SHOP 68 RACING ที่แนะนำรถคันนี้ให้กับทาง XO AUTOSPORT ด้วยนะครับ…
X-TRA ORDINARY
สำหรับ “ตัวแรงพิเศษ” ของรุ่นนี้ จะมีตั้งแต่ปี 1979 โดยบริษัท AUTODELTA ได้เสริมพลังโมดิฟาย GTV 2.0 ด้วยการ “ยัดเทอร์โบ” จาก KKK เบ่งพลังได้ถึง “175 PS” ผลิตจำนวน 400 คัน เป็น Production Car (ขายจริง) สำหรับ Homologate ในการแข่งขัน FIA Group 4 Rally ช่วงล่างปรับปรุงใหม่ พร้อมสติกเกอร์ลายพิเศษ โดยเรียกรุ่นนี้ว่า “TURBODELTA” ตัวนี้นับว่าเป็น Rare Item อีกรุ่นหนึ่ง ที่แน่ๆ “เป็นรถติดหอยจากโรงงานรุ่นแรกของ ALFA ROMEO” ซะด้วย !!! จริงๆ แล้วยังมีเวอร์ชันพิเศษอื่นๆ อีก เช่น GTV 6 TURBO แต่เนื้อที่ไม่พอแล้ว ขอหยุดไว้ที่ GTV TURBODELTA ก็แล้วกัน…