เค้าคือตัวท็อป!! ในระดับรถบ้าน!! ผู้เสกรถนอกสายตา! ให้เป็นตำนานเล่าขาน ในเรื่องของสไตล์ “สีสด รถแจ่ม บรรทุกของแต่งเต็มลำ” จากชีวิตคนเคยรวย มรสุมชีวิตสอยร่วงถึงจุดต่ำสุด รู้สึกท้อแต่ไม่ถอย เมื่อสมองคิด ชีวิตก็เปลี่ยน จากชื่อตัวที่เรียกขานว่า “กั๊ก โนเกีย” ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ “โนวเกี้ย” เหมือนเด็กๆ อีกต่อไป เมื่อเค้าหันมาคบค้ากับ Yaris ชีวิตก็เลยเปลี่ยน!!
ในช่วงงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา ทาง XO AUTOSPORT ได้จัดกิจกรรมการประกวดรถภาคฤดูร้อน ในชื่อที่ว่า XO Summer Fest’ ซึ่งหนุ่มไทยเชื้อสายจีน ผิวขาวคนนึง เป็นที่รู้จักของกลุ่มรถที่เข้ามาประกวดแทบทุกคัน คือถ้าเค้าลงสมัคร ส.ส. ก็คงชนะขาดลอย ด้วยฐานคะแนนเสียงที่แน่น ใครที่เจอหน้าเค้าต่างทักทายชายคนนี้ว่า “น้าแจ่ม” ทุกคน จนทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า “น้าแจ่ม” คนนี้เป็นใคร เดินไปไหนมาไหน มีแต่คนทักทาย ซึ่งถ้าเป็นคนที่เล่นรถมานาน ย่อมรู้จักเค้าเป็นอย่างดีในชื่อของ “กั๊ก โนเกีย” ผมเองก็ไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่ได้ยินชื่อเค้ามานาน จะนับย้อนหลังไปก็ 10 กว่าปีแล้วนะ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้ชายที่ชื่อ กั๊ก โนเกีย ได้พลิกชีวิตกับสรรพนามใหม่ที่เรียกติดปากกันว่า “น้าแจ่ม” ทำให้ชะตาชีวิตพลิกกลับด้าน กราฟความสำเร็จตั้งชัน ใช่หรือยัง กับเป้าหมายของชีวิตที่วางไว้ เรามาทำความรู้จักกับเค้ากันครับ…
กั๊ก โนเกีย คือชื่อที่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เล่นรถเรียกกันมาตั้งแต่แรก แล้ว “โนเกีย” ไปเกี่ยวอะไรกับเค้า ผมจึงเริ่มเปิดคำถามใส่เค้าทันที โดย กั๊ก เล่าให้ฟังว่า “จุดเริ่มต้นของผมนั้น มันเริ่มจากเด็กรถซิ่งข้างถนน ตอนนั้นอยู่ ม.6 กำลังคะนองเลย คุณพ่อผมใช้ TOYOTA RT40 อยู่ ผมก็เอามาแต่ง ตอนนั้นเครื่อง 12RJ โมดิฟายชุ่ยเลย ตามอู่ทั่วๆ ไป วิ่งสัก 170 กม. ก็แรงแล้วนะในตอนนั้น ตกกลางคืนก็ไปอัดรถบนถนน ซึ่งผมเริ่มเล่นในยุคของวิภาวดี เรซซิ่ง จำได้ว่าก่อนจะเปลี่ยนเครื่อง เค้านิยมเล่น Back Fire บิดสวิตช์กุญแจ ให้ระเบิดไฟที่ปลายท่อ ผมก็เล่นไปหมด หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคของการโมดิฟายอีกระดับ เป็นยุคของการ “วางเครื่องยนต์ใหม่” ผมเองก็ไม่น้อยหน้า ยก 12RJ ออก หย่อน 4A-GE ลงไปแทนที่ สนุกมากชีวิตช่วงนั้น รู้จักผู้คนมากมาย ก็เป็นเด็กวัยรุ่นคนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่กับรถซิ่ง มีกลุ่มก๊วนกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันอยู่ 10 กว่าคัน โดยใช้ว่าชื่อ ADDZEST มาตั้งแต่เริ่ม โดยชื่อ ADDZEST เป็นคำ 2 คำมารวมกัน คือคำว่า ADD กับคำว่า ZEST มารวมกัน โดยเพื่อนผมเองเป็นคนคิดคำนี้ ซึ่งมีความหมายว่า “ความสนุกตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้น” ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญนะ ชื่อดันไปตรงกับแบรนด์เครื่องเสียงที่ญี่ปุ่น ในสมัยนั้นการรับรู้ข่าวสารจากต่างประเทศ มันไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้ เราไม่รู้หรอกว่าต่างประเทศเค้ามีชื่อนี้เหมือนกัน จนได้ซื้อแมกกาซีนต่างประเทศมาดู ก็ตกใจเหมือนกัน ชื่อเหมือนกันเลย…
มาหลังๆ วิภาวดี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าระวังมาก ก็เลยห่างหาย ย้ายที่รวมตัวใหม่กัน ทั้ง บางใหญ่ เลียบด่วน ซึ่งในยุคที่ผมขับเจ้า BlueBird อยู่วิภาวดี ผมเปลี่ยนสีรถไปถึง 4 สี มี บรอนซ์, เทา, เหลือง และ โอโรส มันเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัวเอง พอยุค “ซัดรถ” เริ่มเบาบาง ก็เปลี่ยนมาเป็นยุคของการ “จับเช็ง” ผมเองก็ไปเป็น “มือขี่วิ่งเช็ง” ให้เค้าบ้าง ส่วนใหญ่จะขี่ให้กับ “น้านุ่น” ซึ่งเจ้า Bluebird ของผมพลาด!! “มิด” ทำให้รถหัวขาดก็เลยขายซากไป มันเป็นช่วงที่การบริหารจัดการบ้านเมืองอยู่ในยุค “ฟองสบู่แตก” คุณแม่ผมก็เกษียณก่อนกําหนด ส่วนบริษัทที่คุณพ่อทำงานก็ต้องปิดตัวลง ทุกอย่างส่งผลกระทบถึงครอบครัวผมโดยตรง บ้าน รถ ขายออกหมด เรียกว่า “หมดทุกอย่าง” จากอดีต เด็กที่เคยถูกตามใจ คุณแม่ใจดี ตามใจทุกอย่าง ส่วนคุณพ่อมาทางสายทหาร ผมก็เลยมีโอกาศได้เรียน ภปร.ราชวิทยาลัย เพื่อที่จบมาแล้ว คุณพ่อตั้งใจจะให้ไปต่อเตรียมทหาร แต่เราเกเร “ติดหญิง” ไม่เดินตามรอยที่คุณพ่อคาดหวังเลย จนมาถึงวิกฤติฟองสบู่แตก อย่างที่บอก หมดทุกอย่าง เราเองก็เรียน ม.กรุงเทพ ชั้นปีที่ 3 ซึ่งตอนนั้นบอกอย่างไม่อายเลย ในใจคิดอยู่แค่เรื่องเดียวคือ “หญิง” เพราะผมคิดว่า “เรื่องหญิงมันคือแรงผลักดัน” ผมคิดแค่เรื่องเดียวว่า ถ้าไม่มีตังค์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะทำอย่างไร ให้แฟนคนนั้นอยู่สุขสบายเหมือนเดิม วิถีชีวิตของผมคือ ขับรถจากบ้านที่ลำลูกกา ไปเรียน ม.กรุงเทพ รังสิต บ่ายๆไปรับแฟนที่เอแบค กลับมาที่บ้านผม พอช่วงเย็นก็มาส่งแฟนที่เกษตร ทำแบบนี้อยู่ทุกวัน พอเราเริ่มไม่มีเงิน ไม่มีรถให้สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน ก็มานั่งคิด ให้ชีวิตกลับไปสบายเหมือนเมื่อก่อน จะต้องทำอย่างไร
นี่แหละคือจุดเปลี่ยนชีวิตของผมครั้งแรก โดยเริ่มต้นจากเงินจำนวน 3,000 บาท โดยไปขอพี่สาวมาทำทุน โดยงัดวิชาที่เรียนศิลปกรรม ม.กรุงเทพ ไปซื้อตู้ที่ขายโทรศัพท์ ที่ห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต โดยเปิดรับ “เพ้นท์” เพจเจอร์, โทรศัพท์, เล็บก็รับด้วย โดยหวนกลับไปเอา RT40 คันเก่า สีโป๊รอบคันมาใช้งาน ขับไปเรียน รับส่งแฟนเหมือนเดิม แฟนผมก็ไม่แคร์ เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆผมตลอด ผมมองว่าคนดีๆ ที่ไม่เห็นแก่วัตถุสิ่งของหรือเงินตรา ยังมีอีกมากมาย ซึ่งธุรกิจที่ผมทำมันดีขึ้นเรื่อยๆ นะ จนผมมีโอกาสได้ซื้อรถยนต์คันแรก ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเอง คือ TOYOTA KE30 ราคา 10,000 บาท เป็นรถไม่มีทะเบียน แต่ติดเครื่องยนต์ 4A-GE มา คราวนี้ก็เริ่มกลับมาแต่งรถอีกรอบแล้ว ด้วยเงินที่ทำงานเพ้นท์เพจเจอร์ ขายโทรศัพท์ สลับกันไป
มันเป็นยุคของการซิ่งรถบนถนน เหมือนกับแฟชั่น หมุนเวียนไปเรื่อย หลังจากซิ่งบนถนนเริ่มเบาบางลง จนหายไป ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมอย่างที่เป็น จนมาถึงยุคที่เรียกว่า “สนาม MMC” ย่านรังสิต เป็นสนามแข่ง Drag ที่จัดขึ้นใหม่ ผมก็ไม่พลาดนะ KE30 เครื่อง 4A-GE ก็เซ็ตเทอร์โบซะเลย วิ่งอยู่ 13 วิ. ปลายๆ ผมก็ว่าโอเคดีนะ ก็มาเจอกับ “เล็ก ZEUS” เพื่อนเก่าสมัยวิภาฯ ตอนนี้ก็เป็น “เล็ก ใจกล้า” ทำ RX-7 ตอนนี้ไง ในตอนนั้นผมก็ไปซื้อรถของ เล็ก ZEUS มาทั้งคัน ในราคา 15,000 บาท เพราะรถเค้าโดนชนท้ายมา ก็เลยมายำของ 2 คัน รวมเป็นคันเดียว ซึ่งมันเป็นช่วงที่ผมเริ่มคล่องกับการหาเงิน และสนุกสนานกับการแข่งรถ Drag ก็โมฯชุ่ยไปเรื่อยกับเครื่อง 4A-GE เพราะตอนนั้นก็ยังไม่เป็น แต่ปัญหามันก็มีตลอด ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นวาง SR20DET แทน เพราะตอนนั้นยังไม่เคยเห็น KE30 ของใครวาง SR20DET เลย ก็มีโอกาสได้เจอกับ ปุ๊ก อีกครั้ง เพราะเค้ามี KE30 วางเครื่อง CA18DET และเปิดอู่ทำรถยนต์ ซึ่งผมกับเค้าไม่ได้เจอกันมานาน เค้าเป็นรุ่นน้อง นั่งดูรถซิ่ง ตั้งแต่อัดรถสมัยวิภาวดี พอๆกับเจ้า เอก สแตนด์บาย เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนดังไปแล้วในยุคนี้ ปุ๊ก RP II กับ เอก Mikado
ส่วนกิจการโทรศัพท์ก็ดีขึ้นมาก เปลี่ยนจากเพ้นท์มาเป็น ซื้อ-ขาย โทรศัพท์มือถือ เสร็จจากงาน ก็มาแข่งรถ เจ้า KE30 คันนี้เป็นรถล่าถ้วยรางวัลของผมเลยนะ พอหนังสือรถออกที ผมก็จะซื้อมาดู ผลการแข่งขัน DRAG ว่ามีชื่อ “กั๊ก โนเกีย” มั้ย!! ผมใช้ชื่อนี้ เพราะว่า “ผมขายโทรศัพท์” ผมซื้อรถเพิ่มเพื่อมาแต่งเล่นอีกหลายคันเลยนะ อาทิ TOYOTA Crown เอามาแต่งในสไตล์ ยากูซ่า ส่วน KE30 ก็กลายเป็นรถสนาม เอาไว้แข่งอย่างเดียว ซึ่งรถ TOYOTA Crown คันนี้ ทำให้ผมได้รู้จักกับ คุณจุ๊ สมชาย อรุณรุ่ง หรือฉายา จุ๊ บ้าพลัง นักดริฟต์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย เพราะที่บ้านเค้ามีรถรุ่นนี้เหมือนกัน แล้วอยากเอามาแต่งในแนวนี้บ้าง ผมก็เลยพา คุณจุ๊ สมชาย ไปรู้จักกับ ปุ๊ก RP II เพื่อแต่งรถในแบบที่เค้าต้องการ
ก็จบเรื่องของ TOYOTA Crown หันไปเล่น BMW E30 แต่ไม่เล่นเดิมนะ ผมชอบแหวกแนว เค้าบอกว่าใส่ไม่ได้ ผมก็จะใส่ให้ได้ อย่างที่ต้องการ อย่าง E30 ผมก็ใส่แม็ก BREYTON กว้าง 10.5 นิ้ว ขอบ 19 นะ อย่างที่บอกว่า รายได้หลักผมมาจากการขายโทรศัพท์ และผมเข้ามาทำตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็เลยทำให้กิจการดีมาก มีรายได้ที่นำมาแต่งรถได้พอสมควร หลังจาก BMW E30 ก็มาเป็น Nissan Bluebird Attesa เอามาทำขับสี่ หลังจากนั้นก็เอา MITSUBISHI Asti มาทำหัว EVO เครื่องยนต์ 4G93 เทอร์โบ ทำเสร็จปุ๊บ ก็มี คุณพงศ์ Race Factory มาขอซื้อไปในตอนนั้น
ผมนับว่าโชคดีที่จับธุรกิจถูกทาง เพราะในช่วงที่อู้ฟู่ ก็เป็นเงินที่ได้กำไรมาจากการขายโทรศัพท์ทั้งนั้น เพราะมันเป็นช่วงที่โทรศัพท์บูมมาก ผมก็ขยายร้านไปที่ Lotus อยุธยา โดยให้คุณแม่ไปดูแลที่สาขานั้น ทำแบบนี้มาตลอด 8 ปี จนกระทั่งมันเป็นช่วงขาลงของธุรกิจโทรศัพท์ มือถือ และเป็นช่วงที่ผมโดนมรสุมชีวิต มันฉุดชีวิตผมลงมาอีก แต่ไม่ใช่เรื่องของการเงิน แต่เป็นเรื่องของชื่อเสียงตัวผมเอง ซึ่งมันเป็นบทพิสูจน์ความเป็น “เพื่อนแท้” เราจะเห็นว่าใครอยู่กับเราตอนลำบาก หลายๆ คนที่เคยไปมาหาสู่ ก็หายออกจากตัวผมไป เหลือเพียง มิตรสหายแท้ๆ เพียงไม่กี่คนที่อยู่กับผม และก็มีแฟนอีกคน ซึ่งเป็นกำลังใจ อยู่ข้างๆผมมาตลอดๆ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไงก็ตาม เค้าอยู่กับผมมาจนผ่านจุดนั้นมาได้ ส่วนแฟนสมัยเรียนก็เลิกกันไปในช่วงที่ตกอับนี่แหละ ไม่มีใครเคยมาถามผมว่าความเป็นจริงมันคืออะไร ผมรู้สึกแย่ และหมดกำลังใจ คนที่เคยรู้จัก เล่นรถซิ่งด้วยกันก็ห่างหายหมด
ก็อยากอยู่อย่างเงียบๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงนั้นก็เริ่มมีคนมาคุย อยากให้แต่งรถให้หน่อย เพราะเห็นทำออกมากี่คัน ก็สวยทุกคัน มันก็เป็นจุดเริ่มให้ผมมารับงานแต่งรถ โดยเริ่มจากทีละ 1 คันก่อน ซึ่งตอนนี้แหละก็ได้มาสนิทกับ กบ P&C ทีมช่างเค้าฝีมือดีมาก ผมก็ส่งงานของลูกค้าผมให้เค้าทำสีตลอด
ชีวิตพลิกอีกครั้ง ในตอนที่จับ TOYOTA Yaris มาแต่งเนี่ยแหละ…มันเป็นช่วงจังหวะที่ตัวผมเองอยากมีรถป้ายแดงสักคัน ก็ตั้งเป้าไปที่ HONDA Jazz ทันที แต่ปรากฏว่าในตอนนั้น HONDA Jazz เริ่มตกรุ่น ใกล้จะเปลี่ยนเจเนอเรชั่น และรถป้ายแดงล่าสุดในตลาดก็มีแต่ TOYOTA Yaris ผมมองว่า หน้าตามันดูประหลาด แต่ก็ต้องซื้อ เพราะว่าเป็นรถใหม่ป้ายแดง รุ่นเดียวในตอนนั้น
แต่ก่อนจะออกรถก็วิ่งไปหา พี่ปอ UDS เพราะทำรถกับพี่เค้าตลอด คุณพ่อของผม กับคุณพ่อพี่ปอ รู้จักกัน เพื่อพ่อผมกับพ่อพี่ปอสนิทกันมา ผมก็เลยรู้จักและสนิทกับพี่ปอ มา 20 ปีได้แล้วมั้ง นานมากที่รู้จักกันมา พี่ปอก็เลยแนะนำให้ผมรู้จัก คุณก้อง YC (Yaris Club.net) เพราะเค้าอยากแต่งรถก็วานให้เราช่วยดูให้หน่อย ผมก็เลยได้ลงมือทำรถให้คุณก้อง ไอเดียผมและไอเดียคุณก้อง ผสมกันจนรถเสร็จออกมา เป็นที่ฮือฮา ไม่น่าเชื่อว่ารถเดิมๆ ที่ยังไม่แต่งที่เราดูประหลาด แต่เมื่อแต่งแล้วออกมาเหมือนหนังคนละม้วนเลย ยุคนี้เป็นยุคของ Car Club มีแต่เว็บไซต์ ยังไม่มี Social ก็เลยเอารูปรถไปโพสต์ในเว็บ มีแต่คนชอบ โดยรถคุณก้อง ใส่พาร์ท ที่เราเอาแบบมาจากเมืองนอก มาปรับใหม่ให้รถกับมิติของรถ พร้อมกับเปลี่ยนสีให้สดใส เรียกว่าโดนใจคนใช้ Yaris ทุกคน หลังจากตรงนั้นก็เริ่มมี คันที่สอง สาม และ สี่ ตามมาเรื่อยๆ
แล้วตอนนี้เป็นไง มีอู่ที่ครบเครื่อง ทำรถเล็กๆ เพียบ ผมเองก็ยังเมามันส์กับการทำรถ ในยุคปัจจุบันก็เริ่มศึกษาจับแนวทางการทำเครื่องยนต์ต่อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เวลาผมทำอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะเริ่มจากรถตัวเองก่อนเป็นคันแรก ไม่ว่าจะเป็น ของถูก ของแพง ของทำเลียนแบบ ของแท้ ผมจะเอามาลองใส่ ลองทุกรูปแบบ ก็เพื่อที่จะตอบลูกค้าได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพื่อที่จะเป็นช่องทางเลือกให้กับลูกค้าได้เลือกตามงบประมาณที่เค้าวางไว้ อย่างเช่น เครื่องยนต์ NZ ผมก็เห็น “คุณอรรถ พูนทอง” เค้าทำไว้แรงมาก ผมก็ชื่นชม และยังคิดว่าเครื่องบล็อกเล็กๆทำได้แรงขนาดนี้เลยหรอนี่ ผมก็เลยศึกษาลองทำ แต่พอทำเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่า เราเน้นทำรถบ้าน รถซิ่งแล้วเน้นที่ ความทนทาน และ เหนียวดีกว่า ที่สำคัญเลยคือ ต้องเนียน และ สวยด้วยด้วย แทนที่จะแรงไปทางเดียว ก็เลยเน้นมุ่งปะเด็นไปที่ เครื่องเดิม เซ็ทเทอร์โบ ในรูปแบบของ Street Use เน้นใช้งานได้จริง ในแบบยาวๆ ไปเลยดีกว่า
จากประสบการณ์ที่เล่นรถมา ด้านเครื่องยนต์ ผมก็โมฯมาตลอด อย่างตอนที่ใช้ Nissan Silvia S13 ก็ให้ Speed D เป็นคนจูนให้นะ จนพอผมเริ่มทำตลาดรถเล็กด้านเพอร์ฟอร์แมนซ์ จะให้ Speed D จูนให้ก็ลำบากนะ งานเค้าเองก็ล้นอยู่แล้ว ก็เลยต้องหาช่องทางใหม่ ก็ได้ ตี๋ Fast Track ซี้เกลอยุควิภาวดี มาจูนให้ ในช่วงแรกๆ ตัวตี๋เองก็ไม่ได้เน้นรถเล็กที่จูน F-CON กับ E-Manage สักท่าไหร่ แต่ผมก็ลากเค้ามาหาประสบการณ์กัน แต่พอมาช่วงหลังๆ ตัวเค้าเองมีเวลาน้อยลงก็เลยต้องแบ่งเวลามาจูน มันก็เลยยังไม่เต็มที่ และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ นัท Data Tec เป็นคนเชื่อมให้ผมเจอกับ “ตาหนู” เห็นทีแรกก็คุ้นหน้าทันที คนเล่น MMC ด้วยกันมา ก็เลยมานั่งคุยกันว่า ทำตามสไตล์แบบที่ผมต้องการได้มั้ย? ถ้าได้ มาทำด้วยกัน จุดเริ่มต้นระหว่างผม กับ Data Tec เกิดขึ้นจากตรงนี้
กั๊ก โนเกีย หรือน้าแจ่ม แล้วแต่ถนัดเรียก เป็นบุคคลที่โลดแล่นและใช้ชีวิตควบคู่กับวงการรถซิ่งมาตลอด ผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย ประสบการณ์ชีวิตของเค้า หรือแง่คิดมุมมองที่แตกต่าง น่าจะเป็นแรงผลักดันให้คุณผู้อ่านได้นะครับ….