My Name is…บูม กันตธีร์ กุศิริ แสบสุดในรุ่นเยาว์…ฉายแววนักแข่งมืออาชีพตั้งแต่อายุ 19 !!!

 

STORY : T.Aviruth (^_^!) / PHOTO : Flukeee

สรรพนาม “เด็กน้อย” คือวลีแรกที่แว้บบ…เข้าหัว เมื่อสมองรับรู้ว่าใครคือแขกรับเชิญในเล่มนี้   “เด็กน้อย” ที่ว่า ใช่จะ “ไก่กา”  แต่อนุมานที่ สังขาร โอนอ่อน ระดับ เฟรชชี่ เมื่อปีกลาย! นั่นเป็นเพียงชีวิตหน้าฉาก ไว้ติดปริญญาแทนคุณบุพการีให้ปลื้มใจ  แต่อีกครึ่งชีวิตหลังฉาก ถูกชะตาลิขิต!! เด็กน้อยหน้าหยกหายวับ เมื่อหย่อนก้นนั่งหลังพวงมาลัย!! สวมบทบาทนักแข่งรถอนาคตไกล ที่หลายคนนักอยากรู้จัก “บูม กันตธีร์ กุศิริ” คือใครกัน?

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งปิดต้นฉบับ My Name is… อยู่นี้  แขกรับเชิญอายุน้อย มากด้วยประสบการณ์บนแทร็ก ก็สร้างรอยยิ้มให้กับทีม Singha XO Team Eakie เมื่อผมกด Refresh บนหน้า Feeds ของ Facebook แล้วพบว่า  เค้ารวบยอดตำแหน่งบนสุดของโพเดียมไว้ได้ทั้งสนาม 1 และ 2 ในรายการ Thailand Super Series 2013   ดูเหมือนว่าในการคว้าชัยในครั้งนี้ จะพิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะว่าเป็นฤกษ์ประเดิมชัยในทุกๆ ด้าน คือ “คว้าชัยชนะนอกประเทศเป็นครั้งแรก ในรายการแข่งขันที่จัดขึ้นมาปีแรก และก็เป็นนักแข่งให้กับ XO AUTOSPORT ในปีแรกอีกเช่นกัน”

ผมรู้จักกับน้องบูม มาหลายปีอยู่เหมือนกัน  ก่อนหน้านั้นจะได้ยินชื่อพี่ชายเค้าบ่อย แบงค์ กันตศักดิ์ กุศิริ ในนามนักแข่งรถ  ซึ่ง 2 พี่น้อง เป็นลูกชายของ พ่อชาญ และแม่แหม่ม แห่งสนามพีระฯ  โดยส่วนตัวเห็นน้องชายทั้ง 2 คน มาตั้งแต่เด็กๆ เลย  ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว รู้เลยว่าตัวเองแก่ลงไปเยอะ…แต่มันก็ “แก่แค่สังขาร… เพราะสันดานยังวัยรุ่นเ!!”   ออกทะเลไปเยอะเลย กลับมาเข้าเรื่องกันต่อครับ   หลายท่านคงสงสัยว่า ทุกทีคอลัมน์นี้ แขกรับเชิญส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ความสำเร็จ หรือไม่ก็คนดังๆ ในช่วงนั้นๆ  เป็นต้น  ซึ่งน้องบูม ก็เข้าข่ายอย่างหลัง!!  บางคนหรือนักแข่งในสนาม ต้องบอกว่า “แค่บางท่าน” อาจจะไม่รู้จัก  ก็นี่ไง คือคำตอบ เพราะผมกำลังทำให้ทุกคนได้รู้จัก  นักแข่งรถของ XO AUTOSPORT คนล่าสุด ที่ดูจากผลงานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน และน่าจะไปถึงสิ่งฝันไว้ในอนาคตได้ไม่ยาก

ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะไปสัมภาษณ์กันที่สนามเซปังฯ  ในช่วงการแข่งขัน  แต่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์อนาคตจะเป็นเช่นไร  เพราะทุกอย่างใหม่หมด ก็เลยนัดล่วงหน้าก่อนจะเดินทางไปมาเลเซีย 2 วัน โดยให้น้องบูม เข้ามาที่ XO เพื่อคุยกัน  นั่งคุยกันอยู่นาน  กว่าผมจะเรียบเรียงคำพูดได้ครบ เพราะเน้นคุยกันมากกว่า จนผมถามถึงจุดเริ่มต้นของเค้านั่นแหละ  น้องบูมบอกผมว่า “ผมขับรถคันแรกตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เป็นรถ TOYOTA AE100 คุณแม่เป็นคนซื้อมาให้ เอาไว้หัดขับเล่นในสนามกับพี่แบงค์    จำได้ว่าครั้งแรกๆ นั่งตักพ่อ หัดเลี้ยวในสนามก่อน เพราะขายังไม่ถึง  โดยพ่อจะจับ แบงค์ และ บูม นั่งสลับกัน  อารมณ์เหมือนขี่จักรยาน เอาลูกซ้อนท้ายไปปั่นรถเล่นอะไรประมาณนั้น  แต่เปลี่ยนฟีลมาเป็นรถยนต์ในสนาม

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันซึบซับเข้าไปอยู่ในตัวตั้งแต่ตอนไหน  รู้แต่ว่า  เกิดมาก็อยู่แต่ในสนามแข่งรถ  ไม่ได้ไปเล่นไหนเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน  แต่ผมก็ภูมิใจนะ  “มีสนามแข่งรถเป็นสนามเด็กเล่น”  ซึ่งต่างจากเด็กคนอื่นๆ นะ จากจุดนี้เอง ที่ทำให้ผมได้เห็นการแข่งขัน  นักแข่งรถพี่ๆ หลายคน  และอีกหลายๆ อย่างรอบตัว  มันเป็นเหมือน Idol เลยนะ  ผมอยากจะขับรถเก่งๆ แบบพวกพี่ๆ เค้า ตรงนี้มั้งที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมาถึงจุดนี้ได้อย่างไม่ยาก

ณ ปัจจุบัน  ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้นที่ดี  มีครูที่ดี มาช่วยชี้แนะ ก็คงมายืนในจุดนี้ยากเหมือนกัน  โชคดีมีครูสอน ให้คำปรึกษาแนะนำในการขับรถแข่งหลายท่าน มาช่วยเติมเต็มและแชร์ประสบการณ์หลากหลายท่าน  อาทิ “พี่เต๊อะ” คุณวุฒิกร อินทรภูวศักดิ์  “อาวุฒิ” ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ แล้วก็ “ลุงเดช” วรพจน์ บุญช่วยเหลือ   โดยจะสอนกันแบบง่ายๆ คือพี่เค้าจะขับให้เราดูก่อน แล้วก็สลับกัน ให้ผมขับ แล้วพี่ก็จะสอนว่าตรงไหนควรจะเดินคันเร่งอย่างไร เข้าที่ตรงไหน ผมก็จำที่สอน แล้วนำมาใช้ในการแข่งขัน

หลายๆ คนอาจจะมองว่า ผมโตมากับสนามแข่ง  ได้ซ้อมเยอะ ซึ่งอันที่จริงแล้ว  สนามพีระฯ ทุกคนก็มีสิทธิ์มาซ้อม  ผมคิดว่าผมเองก็ไม่ได้ขับรถไปมากกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่ และรถที่ผมใช้ขับเล่นในสนาม มันก็ไม่ได้เป็นสุดยอดรถ หรืออะไร  มีแบบไหนก็ขับแบบนั้นมากกว่า  อาจจะได้เปรียบแค่ตรงเราคุ้นเคยกับสนามมากกว่าเท่านั้นเอง

มีคนเคยมองว่า ถ้าผมออกไปวิ่งนอกบ้าน  หรือตามสนามแข่งเฉพาะกิจต่างๆ จะไปได้เร็วเหมือนที่สนามพีระฯมั้ย  สนามแข่งแต่ละที่มันคงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว   แต่พื้นฐานที่มีกับทักษะ และประสบการณ์ที่สั่งสมมานี่สิ  จะเป็นเครื่องมือวัดตัวเราเองว่า เราแข่งรถด้วย “ความจำ” หรือ “ความคิด” กันแน่!!   ที่พูดแบบนี้ก็เป็นเพราะว่า ถ้าแข่งด้วยความจำ เราก็คงขับไม่ได้ ถ้าไม่ใช่สนามพีระฯ แต่ถ้าเราแข่งรถด้วย “ความคิด”  ไม่ว่าสนามจะเป็นรูปแบบไหน  เราก็จะต่อยอดไปได้เองจากทักษะที่มี  

            ในด้านของเทคนิคการขับรถของผม ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยนะ  โชคอาจจะเข้าข้างผมด้วย ก็ตรงที่ว่า สไตล์การขับรถในแบบที่ผมชอบและขับประจำ  โชคดีก็ตรงที่ทำให้รถไปได้เร็ว  แต่ไม่ใช่จะเร็วเลย  ก็ต้องมีปรับแก้กันบ้าง  แต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องปรับตัวเยอะ  ก็เลยฉลุย และผนวกกับเป็นสไตล์ที่ชอบขับแบบนี้อยู่แล้ว  เลยไม่เกร็ง และรู้สึกมั่นใจ และสนุกทุกครั้งที่ขับ   ส่วนตัวเองเป็นคนชอบขับรถในสนามที่มีรูปแบบ  Hi Speed  มาก  อย่างที่พีระฯ เนี่ย ชอบมาก เพราะรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่น แต่ก็ไช่ว่าไม่มี “จุดแข็ง” นะ   ซึ่งจุดที่ผมมองว่ายากในสนามพีระฯ คือ โค้ง S1-S2   อย่างแรกเลยคือ เป็นทางขึ้นเขามา แล้วก็เจอกับจุดที่จะเลี้ยว  มันค่อนข้างสังเกตยากนิดนึง ซึ่งผมชินกับตรงนั้น ก็เลยเป็นจุดได้เวลาไป

ตัวผมเองจำได้ว่า ขับรถได้ตอนอายุ 10 ขวบ และลงสนามแข่งครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 13 ปี ประมาณปี 2007 เริ่มจากแข่งประเภท Honda Club Race  รุ่น Twincam เป็นรถแข่งของ อาป๊อป ชวาลย์ สินธุเขียว  ซึ่งแมตช์นั้นก็มีหลายคนสงสัย อยากรู้ว่าใครขับ รถวิ่งดี  จนมาในปี 2008 ทั้งปี ก็ยังวิ่งในรุ่น Club Race อยู่เช่นเดิม จนในปี 2009  ก็ได้ก้าวมาสู่รายการ  Pro. Racing Series วิ่งในรุ่น Pro. Cup Class C  ได้แชมป์รองชนะเลิศอันดับ 2  ของปีด้วย โดยใช้ Honda Civic EG ซึ่งเจ้ารถคันนี้ ก็คือ Mag EG ในคันปัจจุบัน   และในปีเดียวกัน “พี่เอ ธรรมนูญ พรโรจนกิจ” ก็ให้มาลองขับรถ BMW E30 ลงแข่งในรุ่น RETRO

ในปี 2010 หลังจากสรุปได้ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ อาทิ  BIRA CIRCUIT, GPI MOTORSPORT, PROJECT M , สหฟาร์ม ให้ลงแข่ง Honda Jazz One Make Race คลาส C  ประสบความสำเร็จด้วยแชมป์ประจำปี  และในปี 2011  พี่เอก คุณ อโณทัย เอี่ยมลำเนา ก็ทำทีมแข่งขึ้นมา โดยมีผมมาเป็นนักแข่งในสังกัด ขับ HONDA CITY แล้วก็ เมย์  รุ่งระวี ธีระกล ขับ NISSAN MARCH โดยสรุปสิ้นปีได้แชมป์ประจำปี  Pro. Car  รุ่น Open

พอในปี 2012 สิ่งที่อยากลองก็ได้ลอง คือส่วนตัวเป็นคนชอบรถขับหลังอยู่แล้ว  เพราะมันขับสนุก ลูกเล่นเยอะดี  ประจวบกับ พี่เอก อโณทัย เอี่ยมลำเนา ก็มีเจ้า Alltezza อยู่คันนึง  ก็เลยเอามาทำเป็นรถแข่ง สำหรับแข่งในปีนี้ ในรุ่น Thailand Touring Car  ซึ่งปีนี้เหมือนเป็นการทำ  R&D เพราะว่าเป็นรถใหม่ ที่เอามาทำใหม่หมด  เป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งรถที่ต้องค่อยปรับแต่งกันไปให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อความสมบูรณ์แบบในการแข่งขันปีนี้

สำหรับในปีนี้ ก็เป็นไปตามอย่างที่บอกมาในตอนแรก  ก็คือเป็นนักแข่งในสังกัด  ทีม Singha XO Team Eakie   โดยมีผู้สนับสนุนหลัก อาทิ Singha, Bendix, Kumho, Sunoco มาช่วยผลักดันให้ทีมขึ้นไปอยู่ในระดับหัวแถวของการแข่งขันได้  ซึ่งเมื่อปีก่อน ตอนยังไม่ผนึกกำลังเป็นทีมใหญ่ ผมขับ TOYOTA Altezza ให้กับทีม Grand Prix Channal Singha Team Eakie  อยู่แล้ว พอมาผนึกกำลังกันในปีนี้เพื่อเสริมทีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  ผมเองก็เลยขับรถแข่ง 2 คัน คือ TOYOTA Altezza ลงแข่งในงาน  Pro. Racing Series และส่วน  HONDA CIVIC ลงแข่งในรุ่น Super 1500  รายการ Thailand Super Series  ซึ่งถ้าถามผมในรุ่น Super 1500 นี้  ถ้าถามว่าหวั่นมั้ย?  ของแบบนี้ก็ต้องมีกันอยู่แล้ว  เพราะพี่หลายๆ ท่านล้วนแล้วแต่ฝีมือฉกาจกันทั้งนั้น แถมรถแข่งในรุ่นนี้ก็แรงๆ กันทุกคัน  เส้นทางคงไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบไปยังยอดโพเดียมอย่างแน่นอน  แต่ผมก็ตั้งความหวังไว้สูงสุด  และจะพยายามให้เต็มที่ ไปให้ถึงในจุดหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้

นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายของปีนี้  อนาคตที่มองไว้ คืออยากไปขับรถแข่งในสนามต่างประเทศ โดยเริ่มจากในเอเชีย ใกล้ตัวก่อน เพื่อสั่งสมพื้นฐาน ประสบการณ์ให้แน่น ซึ่งถ้าผมมาถึงจุดนี้ได้แล้ว  แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง!! ว่าจะหยุด หรือไปต่อ…  เห็นผมขับรถแข่งในรูปแบบเซอร์กิตมาตลอด  แต่ในใจก็แอบอยากลอง  Rally Cross เหมือนกัน  ผมว่าน่าจะสะใจ!!   เหมือนเล่น “รถบั๊มพ์” เลย  แต่ก็คงได้แค่คิด เพราะแม่คงไม่ยอม  แค่ขับเซอร์กิต แม่ก็ไม่กล้าดูแล้ว  นี่ถ้าไปเล่น “รถบั๊มพ์” อย่างที่ว่า สงสัยแม่เป็นลมไปก่อนสตาร์ทแน่…

ดูเหมือนว่า อนาคตเด็กน้อยหน้าหยก  เจ้าบูม กันตธีร์ กุศิริ กำลังก้าวเดินไปได้ดั่งที่เค้าตั้งใจ  ซึ่งในอนาคต เค้าจะไปถึงในจุดที่เค้าวาดฝันไว้มั้ย?  และหลังจากนี้ต่อไปจะเป็นเช่นไร ไม่ใช่เพียงแค่ บูม คนเดียว  ยังมี แบงค์ พี่ชายอีกคน ที่จะก้าวไปพร้อมกับน้องชาย  คงต้องเอาใจลุ้นร่วมเชียร์ เจ้าบูม เจ้าแบงค์  2 ซิ่งพี่น้องกันครับ…

เมื่อ…  อโณทัย เอี่ยมลำเนา พูดถึง บูม  กันตธีร์ กุศิริ

ถ้าจะให้พูดถึง บูม ก็คงต้องนึกถึง แบงค์ เพราะเห็นมาก่อน  ผมเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าเด็ก 2 คนนี้จะมายืนในจุดนี้ได้   นับวันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่พบเห็น  วิวัฒนาการก็เหมือนเด็กๆ ทั่วไป นั่งเล่นเกมกันในออฟฟิศที่สนามพีระฯ จนเวลาก็ผ่านไปรวดเร็ว มาสังเกตเห็นเค้าอีกที คือเริ่มมีคนเอารถมาให้ลองขับ มาสอนให้ขับในสนาม  ผมเองก็ดูมาตลอด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

จนในวันนึง เค้าได้เข้าสู่วงการแข่งรถ  เริ่มจาก Club Race  ผมเองก็เริ่มมีการสนับสนุนเค้าเองในบางส่วน  ด้วยเหตุผลความสนิทส่วนตัว เพราะสนามพีระฯ ก็เห็นกันมาตั้งแต่เกิด  พี่วิชาญ กับพี่แหม่ม ก็เป็นพี่ที่เคารพของผม บูม แบงค์ ก็เหมือนลูกหลานในครอบครัวของเราเอง

วิวัฒนาการของเค้า พัฒนามาเร็วมาก ผมเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเค้าจะมาได้ถึงขนาดนี้ จนในวันนึงเค้าโตขึ้นมาอีกขั้น ก้าวมาสู่รายการ Honda Jazz One Make Race  โดยทาง คุณพ่อ-คุณแม่ เค้าก็สนับสนุน ซื้อรถให้ ส่วนผมเองก็ช่วยสนันสนุน เพราะครอบครัวนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล  แบงค์ ก็ไปอยู่ที่ Singha  ผมก็เลยช่วยสนับสนุน บูม ในการแข่งขันครั้งนี้

หลังจากนั้นผมเองก็ทำทีมแข่งขึ้นมาด้วย แล้วก็อยากให้คนที่มาอยู่ในทีมเป็นเหมือนคนในครอบครัว ก็เลยชวน บูม มาเป็นนักแข่งในทีม  ตั้งใจไว้ว่าตอนทำทีมแข่งขึ้นมา ไม่ใช่ทำเล่นๆ  ต้องการให้เป็นรูปแบบ มีแบบแผนจริงจัง  เพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากทุนของผมเองทั้งหมด ก็เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีผลงาน และมีผู้เข้ามาสนับสนุนทีมอย่างจริงจัง เพื่อให้ก้าวเดินต่อไปในอนาคตได้  ซึ่งผมเองก็มองว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพราะเมื่อก่อนก็เคยมีประสบการณ์ทำทีมแข่งมาก่อนแล้ว

เมื่อ บูม ได้เข้ามาเป็นนักแข่งในทีม เค้าก็สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ตอนที่ บูม ขับ City แข่งนั้น  รถคันนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรามี Race Engineer อย่าง Big Drawg Racing ที่เก่งมากมาช่วยดูแลรถในทีมให้  รถจึงไม่ต้องทำเยอะ  รวมทั้งต้องยกเครดิตให้นักแข่งเองด้วย  เพราะเค้ามีทักษะการขับรถได้ดีและเร็วมากอยู่ในตัว พอนำ 2 อย่างมาผนวกกัน  ก็จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ประสบความสำเร็จทุกสนาม ทั้งๆ ที่รถแข่งของเราไม่มีอะไรเลย ทุนทรัพย์ในการทำรถตอนนั้นก้ค่อนข้างต่ำอีกด้วย แต่ก็เป็นไปด้วยดี ทั้ง 2 ปี

จนในปีที่แล้ว ผมว่าเค้าน่าจะก้าวขึ้นไปอีกสเต็ปได้แล้ว  ก็เลยทำรถ Altezza ขึ้นมาอีกคัน ให้ บูม ขับ ในรุ่น Thailand Touring Car ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า มันเป็นช่วงเริ่มต้นของทีม และอีกอย่างรถคันใหม่นี้ ก็ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวอะไร  ก็ต้องหา และ วิเคราะห์ ตามเก็บ แก้ กันไปตามที่เราทำได้  ส่วนตัว บูม เอง ไม่มีปัญหาอะไรเลย ขับได้ดีด้วย  ก็เหลือแต่เก็บที่ตัวรถเท่านั้น  ตลอดการแข่งขันมาทั้งปี  ทีมเราก็หาข้อบกพร่องจนรถสมบูรณ์แบบในสนามสุดท้าย  แต่ดันมาเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย เลยไม่จบการแข่งขัน

ในปีนี้ก็เลยตั้งความหวัง ผลักดันให้ บูม เป็นแชมป์ในรุ่น Thailand Touring Car ให้ได้ แล้วก็แชมป์ในรุ่น Super 1500  โดยขับรถ Mag EG ของ XO AUTOSPORT ลงรายการ Thailand Super Series เพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก  และก็ที่ผ่านมาล่าสุดสนามแรก  มาเลเซีย เราค่อนข้างมั่นใจ  เพราะรถก็ผ่าน  ฝีมือ นักแข่งก็ผ่าน น่าจะลุ้นตำแหน่งได้ไม่ยากนัก  และเราก้ได้แชมป์มาครองจริงๆ โดยที่ บูม เอง ก็ไม่เคยไปวิ่งที่สนามเซปังฯ มาก่อนเลย  ผมเองก็ทึ่งนะ  เห็นเค้าลงไปซ้อม เวลาเค้าติดอยู่กลางฝูง รุ่น 2000 ซึ่งมันเหนือกว่าความคาดหมายที่เราคิดไว้มาก พอมาตอนควอลิฟาย ก็ยังนำที่ 2 อยู่หลายวิ.  คงต้องบอกว่ามันเป็น “พรสวรรค์” ส่วนนึงด้วย  แล้วก็ใจที่มุ่งมั่น รักทางด้านมอเตอร์สปอร์ตด้วย ผลงานที่ได้จึงออกมาเป็นที่น่าชื่นชม

ผมเองก็วางแผนไว้ให้กับ บูม เหมือนกัน ไม่ใช่นำทีมไปถึง Formula 1 หรืออะไรขนาดนั้น  แค่อยากให้เค้ามีอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว  เป็นนักแข่งรถมืออาชีพจริง  โดยทำมาหากินอยู่เกี่ยวกับด้านนี้  เพราะในเมืองไทย คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแข่งรถมืออาชีพ จริงๆ มีไม่กี่คน  บูมเองเค้าน่าจะทำอาชีพนี้ได้  แต่ท้ายที่สุด ส่วนสำคัญก็อยู่ที่ทีมด้วย ต้องหาผู้สนับสนุนมาช่วยกันผลักดัน ยกระดับให้ไปถึง “World GT”  ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ที่ผมและ ครอบครัวทีมแข่งตั้งใจไว้….

วลีโดนใจ…

ผมก็ภูมิใจนะ…มีสนามแข่งรถเป็นสนามเด็กเล่น

โค้ง S1 S2  ในสนามพีระฯ  ผมว่ายากนะ..