STORY :T.Aviruth
“แบรนด์สิงห์กับกีฬามอเตอร์สปอร์ตเกิดมาจาก คุณสันติ ภิรมย์ภักดี สมัยนั้นคุณพ่อแข่งโก-คาร์ท ตั้งแต่เริ่มต้นยุคแรกที่สนามสามพราน รวมไปถึงสนามที่เค้าปิดถนนทำการแข่งขันอย่างถูกต้องที่ราชดำเนินคุณพ่อก็ได้นำรถ AUDI ไปร่วมแข่งขันด้วย ผมเลยเห็นว่า Singhaกับ มอเตอร์สปอร์ต อยู่คู่กันมาตั้งแต่ตัวผมเองยังไม่เกิดเลย”
“คุณพ่อผมเป็นนักกีฬา มีถ้วยรางวัลมากมายหลายประเภท เทนนิส กอล์ฟ ยิงปืน แต่มีถ้วยรางวัลอันนึงที่สะดุดตามาก ตรงปลายหัวถ้วยเป็นรูปรถผมก็เลยถามคุณพ่อว่าแข่งรถบนท้องถนนเค้ามีถ้วยรางวัลกันด้วยหรอ? มันเป็นความสงสัยของเด็กอายุ 11-12 ขวบ ซึ่งในสมัยนั้นรายการโทรทัศน์ไม่ได้มีช่องรายการถ่ายทอดการแข่งขันรถเหมือนสมัยนี้ ช่องทางการที่จะเข้าถึงรถสำหรับเด็กอย่างผมคือ “งานมอเตอร์โชว์” และความสุขของผมที่ได้ไป
บุคคลเปิดศักราช “สองพันสิบสี่” My Name is… บุกไปยัง “ถ้ำสิงห์” เพื่อคุยกับ ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี ทายาทสิงห์ที่คร่ำหวอดอยู่กับมอเตอร์สปอร์ตตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากแขวนพวงมาลัยไปสักระยะ ก็ถึงวาระที่หวนกลับมานั่งพวงมาลัยอีกครั้ง ประเด็นสำคัญที่เจ้าตัวจะมาเล่าให้ฟังว่า อะไรที่ทำให้หยุด!! หยุดแล้วทำอะไร? แล้วเหตุใดทำให้เค้าหยุดไม่อยู่…
ถ้าคุณเป็นอีกคนที่หลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ต แน่นอนว่าชื่อ ปิติ ภิรมย์ภักดี คงเป็นชื่อต้นๆ ที่เอ่ยถึงอย่างแน่นอน และประเด็นสำคัญที่เราขอเป็นสื่อกลางในการไปสัมภาษณ์ครั้งนี้ คือการหวนกลับสู่แทร็กอีกครั้ง โดยในแฟชั่นเซ็ตนี้ จะเป็นอีกหนึ่งบุคลิกของผู้บริหารหนุ่มมาดเท่ๆ ซึ่งต่างกับภาพติดตาที่เราๆ เคยเห็นสวมชุดแข่งตามหน้าแมกกาซีนหรือสนามแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ในวันนั้นที่เดินทางไปสัมภาษณ์คุณต๊อด ถือเป็นโชคดีของทีมงานเราเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยภารกิจของผู้บริหารระดับสูงที่มีคิวต่อยาวเป็นหางว่าง แต่คุณต๊อดก็แทรกคิวให้ทีมงานเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์กันสดๆ โดยนัดแนะกันที่ Garage Life ของเค้า เพื่อเรียกฟีลลิ่งในการนั่งคุย เพราะใน Garage แห่งนี้ เต็มไปด้วยความทรงจำ จากถ้วยรางวัลที่เรียงรายนับอย่างนับไม่ถ้วน หรือแม้กระทั่งรถโก-คาร์ทที่เคยใช้แข่งสมัยก่อน มันทำให้สามารถนึกย้อนไปถึงความภูมิใจในอดีต เมื่อมองเห็นสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่ได้รับประสบการณ์ต่างๆ นานา อีกทั้งยังมีประวัติเรื่องราวแทบทั้งสิ้น
เอาล่ะ…เมื่อคุณต๊อดออกจากห้องประชุมแล้วเดินทางมาถึง Garage ทุกคนในทีมต่างก็รู้หน้าที่ของตัวเอง ผมเองได้ทักทายและเชิญไปยังมุมที่จัดเตรียมไว้เพื่อสัมภาษณ์ พร้อมกับหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา กดบันทึกเรื่องราวในการหวนกลับสู่แทร็กอีกครั้งให้ทีมงานได้ฟังว่า “Singha Motor Sport เท่าที่หลายคนจะรู้จักก็คือเรื่องราวของวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งมอเตอร์สปอร์ตก็คือเครื่องยนต์ อะไรที่มีเครื่องยนต์และแข่งขันกันด้วยความเร็ว นั่นคือสิ่งที่ Singhaคุ้นเคย มีทีมแข่งและได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ถ้าจะแบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกคือ สนับสนุนเรื่องของการแข่งขัน ในส่วนที่สองก็เป็นเรื่องของการสนับสนุนทีมแข่งต่างๆ ซึ่งทีมแข่งหรือนักแข่งที่ทางเราให้การสนับสนุนนั้น ก็ต้องมีความสามารถเป็นที่ยอมรับและมีผลงานอยู่ในระดับมาตรฐาน เราจึงจะให้การสนับสนุน และในส่วนสุดท้ายคือเรื่องของทีมแข่ง Singha
สำหรับตัวผมเองนั้น เริ่มต้นเข้าสู่วงการแข่งขันตั้งแต่อายุ 12 ปี เริ่มจากแข่งขันโก-คาร์ทแล้วขยับมาเป็นแข่งออโต้ครอส หลังจากนั้นก็เข้าสู่วงการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ซึ่งนับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ร่วมๆ 23 ปีแล้วนะ ผมได้มีโอกาสแข่งรถยนต์ทางเรียบทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศในระดับสากลมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งประสบการณ์ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็เลยเก็บมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวแล้วถ่ายทอดลงในภารกิจหนึ่งที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่แรก คือการกำเนิด Singha Racing Schoolที่ทุกท่านรู้จักกันในปัจจุบัน
ประสบการณ์แข่งรถที่ผ่านมา ถ้าถามผมว่า มาถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือยัง? ก็ขอตอบว่าเป้าหมายถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือในช่วงทำทีมแข่งแรกๆ ผมคาดหวังกับการการแข่งขันเพื่อเอาชัยชนะเพียงอย่างเดียว อยากจะเป็นแชมป์ประเทศไทย ซึ่งเราก็เดินทางมาถึงในจุดนั้นได้อย่างที่ต้องการ และอีกส่วนหนึ่งคือประสบการณ์การแข่งขันที่สั่งสมมาจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ น่าจะนำมาใช้ในการพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตได้ ก็เลยตัดสินใจเข้าไปเป็นกรรมการใน ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) และเปิดในส่วนของโรงเรียนสอนขับรถแข่ง(Singha Racing School) ซึ่งผมกล้าพูดได้ว่าเป็นโรงเรียนแรก และโรงเรียนเดียวที่ได้รับการยอมรับจาก ร.ย.ส.ท. รวมถึงสมาคมที่ประเทศสิงคโปร์อีกด้วย ซึ่งเมื่อพูดมาถึงจุดนี้ก็ยอมรับว่ามันสำเร็จอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่ทั้งหมด 100% เพราะผมอยากเห็นเมืองไทยได้รับการแข่งขันไปไกลถึงในระดับสากล ที่มีแผนงานไปในระดับWorld Championship ไม่คาดหวังจะต้องไปถึง Formula 1 แต่ก็ยังมีการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบอีกหลายๆส่วน อย่าง World Touring Car หรือ Super GT เป็นต้น อยากให้คณะผู้จัดการแข่งขันมองประเทศไทยเป็นหนึ่งในชื่อที่ได้รับเลือกมาใส่ไว้ในตารางการแข่งขันครับ
ทีนี้ก็คงอยากรู้แล้วสินะว่าทำไม? ผมถึงกลับมาแข่งรถยนต์ทางเรียบอีกครั้ง คือมันเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยครับ ตัวผมเองได้ทำตามที่ฝันมาได้ระยะเวลานึงแล้ว ก็เลยอยากลองหันมาทุ่มเทกับงานในชีวิตจริงที่ทำให้เต็มที่ แต่ถ้าเรามองว่า“การแข่งรถยนต์” คืองานอดิเรก ทำแล้วมีความสุขก็เลยอยากจะหวนกลับมาทำต่อ!! ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ ผมได้บอกกับทีมงานทุกคนตามที่ผมคิดไว้อย่างทีแรกว่า “นี่คืองานอดิเรก” แน่นอนว่าในการแข่งขันในทุกๆสนาม ผมย่อมต้องการชัยชนะ แต่ถ้าถามว่า ความกระหาย ความมุ่งมั่น คงสู้ในสมัยก่อนไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลที่ว่าผมมีภารกิจและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ถึงแม้ว่าตรงนี้ผมอาจะไม่ใช่ผู้แข่งขันตลอดทุกเกมแต่ก็ใช่ว่าผมจะละเลยและไม่สนับสนุนทีมแข่ง หรือไม่ผลักดันกีฬามอเตอร์สปอร์ต เจตนารมณ์ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมครับ คือต้องการให้มอเตอร์สปอร์ตเป็นที่ยอมรับในระดับมาตรฐานและมีความยุติธรรมในการแข่งขันทุกครั้ง
หลายคนสงสัยว่า ผมแข่งรถมาตลอด แล้วเมื่อหยุดแข่ง ผมไม่ลงแดง หรือกระวนกระวายใจมั่งหรอ? ซึ่งผมไม่ไปสนามแข่งรถเลย แต่ผมก็ไม่เคยห่างหายจากรถ ในช่วงที่ไม่ไปสนามแข่งขัน ผมหันมาเล่น“รถบังคับ” เพราะมันมีความใกล้เคียง ได้ใช้ทักษะในการเซ็ตรถ หลายๆคนอาจจะมองว่าการแข่งขันรถบังคับเป็นของเด็กเล่น แต่ ณวันนี้ให้ลองไปดู มันไม่แตกต่างจากรถจริงเลย เรื่องของการเซ็ตอัพช่วงล่างมันก็ใช้ทฤษฎีเดียวกันกับรถแข่ง และที่ไม่กล้าไปสนามแข่งรถ ก็เพราะกลัวอดใจไม่ไหวในการกลับมาแข่งใหม่ แต่มันก็ไม่เป็นผลเพราะในระหว่างที่ผมแข่งรถบังคับมันก็เผอิญไปตรงกับช่วงที่มีการพูดถึงการแข่งขันSuper Car ในบ้านเราพอดี มีทั้ง Lamborghini, Porsche, Ferrari เต็มไปหมด แน่นอนว่า“มันโดนใจ” ตอบกับตัวเองว่าใช่เลย นี่คือสิ่งที่ฝัน เคยได้แต่ดูการแข่งขันผ่านทางYouTube บ้างหรือรายการแข่งขันในดังๆในต่างประเทศมาโดยตลอด แต่ก็ยังมิเคยได้ลองสัมผัส
มานั่งคิดทบทวนกับคำว่า “อยู่ด้วยแล้วมีความสุข” ทั้งเสียงเครื่องยนต์เอย ความเร็วแรงเอย มันล้วนเป็นเสน่ห์ที่ผมหลงใหลทั้งสิ้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ถูกเรียกว่า “ความคุ้นเคย” การได้ไปอยู่ในสนามพีระฯ หรือได้ทำการแข่งขัน มันเป็นเสมือนสังคมหนึ่งที่เราคุ้นเคยมานาน ไม่ว่าจะเป็น ทีมช่าง ทีมงาน เพื่อนนักแข่ง หรือแม้กระทั่งผู้จัด มันเปรียบเสมือนครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาตลอด แน่นอนว่า มันเกิดความสุข ก็เลยอยากอยู่ด้วยกันตลอด จึงกลายเป็นชนวนเหตุที่นำพาหวนสู่แทร็กอีกครั้ง!! โดยที่บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า “มันคืองานอดิเรก” แต่ในใจลึกๆก็มีความมุ่งมั่นในการแข่งขัน แต่อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าความรับผิดชอบของเราในเรื่องของภาระหน้าที่การงานที่มากขึ้น ผมก็เลยต้อง “สร้างสมดุลชีวิต” การงาน, การแข่งขัน และชีวิตครอบครัว
ซึ่งในปี 2013 ที่ผ่านมาเหมือนเป็นการอุ่นเครื่อง วอร์มอัพร่างกาย ไหวพริบ ปลุกอะดรีนาลีนในตัวให้คุ้นเคยกับความเร็ว หรือแรง G เพราะในปี 2014 นี้ ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับสากลในต่างประเทศเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือจากการแข่งขัน กิจกรรมของแฟนคลับมอเตอร์สปอร์ตก็จะกลับมาใกล้ชิดกับมอเตอร์สปอร์ตมากขึ้นอีกด้วยครับ
การกลับมาผงาดอีกครั้งของผู้ชายชื่อ ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี กับ Porsche 997 GT3 มันเปรียบเสมือนได้ทำความฝันให้เป็นจริงอีกครั้งในการแข่งขันระดับ Super Car คงต้องรอลุ้นรอเชียร์ ว่าผู้ชายคนนี้จะพาฝันไปได้สำเร็จสวยสดงดงามอย่างที่ใจต้องการได้หรือไม่ เส้นทางการแข่งรถของเค้าจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบหรือไม่ คงต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ….