My Name is… อภิรักษ์ สุทธิชัยรัตนา

 

Thailand’s Auto Tuning Culture Media

ผมรู้เรื่องราวของคนในวงการฯมาอย่างมากมาย…แต่ผมกลับไม่รู้จักต้นกำเนิดในสิ่งที่ผมทำ  ใช่…ผมกำลังพูดถึงงานที่ผมทำ  หนังสือ XO AUTOSPORT  ต้นกำเนิดที่หลายคนเคยทราบว่ามาจากการทำแทรกไปในนิตยสารกรังด์ปรีซ์ ตั้งแต่เล่มแรก  แท้ที่จริงแล้ว  จุดเริ่มต้นจริงๆ  มันเริ่มต้นที่ตรงไหน  แล้วจากหน้ากระดาษมามีบทบาทสู่หน้าจอดิจิทัล เป็นจริงแล้วใช่มั้ย?  หน้ากระดาษจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำจริงๆ รึ? ไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบ และ รู้เรื่องราว 19 ปีของ XO AUTOSPORT ได้ดีเท่ากับ ผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน…อภิรักษ์ สุทธิชัยรัตนา

สิบกว่าปีที่ตัวผมเองอยู่ตรงนี้จนมีนามสกุลต่อท้ายว่า “บอย XO” กลายเป็นชื่อเรียกติดปาก  ซึ่งตัวผมเองก็เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 เป็นยุคที่หนังสือรถเริ่มมีบทบาทอย่างเต็มรูปแบบในวงการการแต่งรถ  แน่ล่ะ…ผมเข้ามาในตอนนั้น  พี่เอก  อภิรักษ์  นี่แหละเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ  ถ้าใครติดตามกันมาตลอด  ในยุคนั้นจะมี  พี่มด  กริช ศุภการ, พี่โอ้  โอฬาร ล้วนปรีดา และ ตั้ม จิราวุธ ชอุ่มวณิชวัฒนา เป็นทีมงานในยุคนั้น

ตลอดระยะเวลา 19 ปี ของ XO AUTOSPORT พี่เอก อภิรักษ์  หรือหลายๆ คนที่สนิทก็จะรู้ฉายาในวงการดี เค้าเรียก “พี่แป๊ะ XO” เค้าเป็นคนพาหนังสือให้เดินคู่กับวงการรถซิ่งในบ้านเรามาตลอด  ในวันนี้แหละ  เรามารู้จักตัวตนของเค้า ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของ XO AUTOSPORT ผู้ที่ขับเคลื่อนหนังสือรถ  ให้เดินควบคู่ไปกับวงการรถ ตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน และในอนาคต มันมีที่มาที่ไปอย่างไร “ผม…อภิรักษ์ สุทธิชัยรัตนา บรรณาธิการบริหาร  นิตยสารเอ็กซ์โอ ออโต้สปอร์ต  จากคอลัมน์ที่ผมเริ่มค้นคิดว่าอยากสัมภาษณ์คนในวงการ จนมาสรุปจบที่ชื่อ My Name is… ซึ่งใจความของบทความนี้ก็ตรงตามชื่อคอลัมน์  คุณคือใคร  อดีต ปัจจุบัน  อนาคต ซึ่งรู้สึกว่าอ่านของท่านอาจารย์ ศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข ส่วนตัวแล้วรู้สึกประทับใจ  ก็ไม่คิดว่าวันนึงตัวผมเองจะมาเป็นแขกรับเชิญเองในคอลัมน์  จุดเริ่มต้นในชีวิตกับรถซิ่งของผมก็เหมือนกับคนที่ชอบและเล่นรถซิ่งมาก่อน แล้วก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เกิดมาในยุครถซิ่ง 90’s  สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก็ใช้เจ้า Honda Civic EG  ในยุคนั้น ที่ผมเห็นดังๆ ก็จะเป็นกลุ่ม Short Block  กลุ่ม “พี่เอ็ด พี่แอน”  และก็ หนุ่ม เนี่ยในยุควิภาวดี  เค้าดังมาก แล้วในช่วงที่ผมเรียนอยู่ปี 3 ก็จะมีดาวรุ่งพุ่งแรง “เล็ก Project M” ซึ่งดังสุดๆ ในตอนนั้น

ซึ่งหลังจากจบการศึกษาที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์แล้ว ก็ทำงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา  สาขาสำนักงานใหญ่  ซึ่งตรงนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับเพื่อนชื่อ “ฉัตร ฉัตรชัย กรพุกกะณะ” เป็นเพื่อนที่เล่นรถซิ่งตอนเรียนนี่แหละ  จบมาพร้อมกัน  เค้าไปทำงานที่ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อยู่ในกองบรรณาธิการนิตยสารกรังด์ปรีซ์  ผมเองก็ชอบรถอยู่แล้ว  เห็นเพื่อนทำก็เลยรู้สึกอยากลองทำบ้าง  ก็เลยเข้ามาสมัคร จากการชักชวนของเพื่อน  จำได้ว่าวันแรกที่มาสัมภาษณ์งาน  ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา หรือ ท่าน ผอ. ของผมตอนนี้นี่แหละ  จะเป็นผู้สัมภาษณ์เอง  แต่เผอิญว่าวันนั้นท่านไม่ว่าง เลยเป็น คุณเต้  จาตุรนต์ โกมลมิศร์ เป็นผู้สัมภาษณ์ผมในครั้งนั้น ก็เลยมีโอกาสเข้ามาสัมผัสงานใหม่  ในรูปแบบของทีมงานนิตยสารกรังด์ปรีซ์  ได้เกือบๆ 1 ปี ก็เป็นจังหวะที่  คุณแอม  พีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ได้สำเร็จการศึกษากลับมาพอดี  ก็มีแนวคิดว่าอยากทำหนังสือที่เป็นรถแต่งซิ่ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทาง ซึ่งก็ต้องบอกว่าในตอนนั้น หนังสือเกี่ยวกับรถแต่งเนี่ย  จำได้ว่ามีเพียง “เทคนิคแต่งรถ” เพียงเล่มเดียว  ก็มีบางคอลัมน์ที่ชอบ  และบางคอลัมน์ที่ไม่โดน  จนวันนึงมีหนังสือ ‘ออโตโมบิล” ออกมาใหม่  เล่มนี้แหละตรงใจ  เพราะเป็นแนวคิดที่อยากทำ ซึ่งเค้าเป็นหนังสือรถประเภทแต่งซิ่งแบบครบเครื่องเล่มแรกที่ออกมา แต่ตัวผมเองก็มีอะไรที่อยากทำใส่เพิ่มลงไปอีก ถ้าคิดจะทำหนังสือในประเภทนี้จริงๆ ซึ่งเรื่องราวก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าจะเข้าใกล้ความจริงยิ่งเข้าไปอีก เมื่อ คุณเอก  อโณทัย  เอี่ยมลำเนา  ได้กลับมาจากอมริกาในช่วงนั้นพอดี แต่ละคนเรียกได้ว่ากำลังสด  ชอบรถซิ่งทุกคน ก็เลยกำเนิด XO AUTOSPORT เล่มแรกขึ้นมาในปี 1996  โดยจะแทรกไปในหนังสือกรังด์ปรีซ์ ประมาณ 1 ปี  ซึ่งเนื้อหาสาระในตอนแรก ไม่มีการวางแผนอะไรเลย  คือชอบอะไร  อยากทำอะไรก็เอามาใส่ไว้ในหนังสือ  พอเริ่มจริงจังแยกออกมาเป็นหนังสือรถซิ่งเต็มตัว  เริ่มมีหัวหนังสือ XO AUTOSPORT วางบนแผง มันก็ยังคงเป็นการทำงาน “ตามความรู้สึก” อีกนั่นแหละ  ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น ก็ดูแม่แบบจากหนังสือต่างประเทศ คาร์บอย, ออปชั่น, ไฮเปร์เรฟ ประมาณนี้ ว่าเทรนด์เค้าเป็นอย่างไรในอีกโลกนึง ซึ่งก็ได้แนวความคิด  มีเรื่องที่อยากทำมากมาย ก็นำมาประยุกต์  สร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับบ้านเรา   แล้วก็ทำเพื่อเอาบทความมาลงในหนังสือ

ซึ่งทำไปทำมาก็เห็นมีหนังสือ “คาร์เพอร์ฟอร์แมนซ์” เกิดขึ้นอีกหัวในวงการรถแต่งซิ่งบ้านเรา  ผมเองก็สนุกกับการทำมากยิ่งขึ้น  ทำให้มันสนุกและน่าสนใจไปเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกที นี่เราทำหนังสือมา 8 ปีแล้วหรือเนี่ย ถ้าศัพท์วัยรุ่นก็คงต้องบอกว่า “มาถึงตรงนี้ได้ไง”  เพราะทีมงาน XO มีการขยับขยายเพิ่มมากขึ้น  มีเสียงตอบรับที่ดี  ไปไหนใครก็รู้จัก   โฆษณาวิ่งเข้าหา  ซึ่งความรู้สึกนี้มันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  จะเรียกว่าประสบความสำเร็จก็ได้นะ  เคยมียอดจำนวนการพิมพ์ที่สูงแบบโอเวอร์เลย  ซึ่งก็ไม่มีใครเคยทำยอดได้สูงขนาดนี้มาก่อน ซีเอ็ดบุ๊คส์เค้าเคยจัดอันดับหนังสือที่ขายดีที่สุด  ในประเภทนิตยสารรถยนต์ทั้งหมด   XO AUTOSPORT เคยขึ้นติดอันดับที่ 1 นานถึง 3 ปีติด  แต่ไม่ใช่มันจะดีไปซะทุกอย่าง   ยอดขายหนังสือเราดีจริง  แต่ยอดโฆษณากลับสวนทางตรงกันข้าม  ผมยกตัวอย่างนะ ต้นทุนการทำหนังสือใน 100% รายได้ต้องมาจากโฆษณา 70% ที่เหลืออีก 30% เป็นรายรับจากยอดจากการขายบนแผง  แต่ของ XO AUTOSPORT กลับขั้วนะ 70% คือรายรับจากยอดขายบนแผง  ส่วน 30%  คือรายได้จากโฆษณา  จนทางบริษัทมีการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้การเจริญเติบโตภายภาคหน้ามีแบบแผนที่ดีขึ้น เริ่มมีฝ่ายขายอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้รายรับทั้งโฆษณาและขายหนังสือเติบโตไปในปริมาณที่เท่าๆ กัน ก็ต้องบอกเมื่อ 5-6 ปีก่อน มันเป็นจุดสูงสุดจริงๆ  ซึ่งเราไม่ได้อมตะ  ทุกอย่างมีวงจรชีวิต  มีวัฏจักรในตัวของมันเอง มันมีสัญญาณเตือนมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา  ว่าเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลง  มันอาจจะไม่พลิกฉับพลันจากขาวเป็นดำ หรือดำเป็นขาว เหมือนกล้องถ่ายรูปจากเคยใช้ฟิล์ม ก็กลายมาเป็นดิจิทัล มันคงไม่ใช่อะไรทำนองนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ลองทำมาหลายๆ อย่าง  อาทิ แอพพลิเคชั่น  อี-แมกกาซีน  อะไรหลายๆ อย่าง  ก็ได้สัมผัสลองทำมาตลอด จนในวันนี้มันก็มาสู่ยุคของเว็บหรื โซเชียลมีเดียต่างๆ  ผมก็ทำมันขึ้นมารองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก   เพื่อให้ทันต่อทุกเหตุการณ์  และตอบสนองชีวิตยุคดิจิทัลของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเค้าเกิดมาพร้อมออนไลน์  ซึ่งต่างจากผมที่เกิดมากับหนังสือ  แต่ผมก็เชื่อว่า  หนังสือไม่มีวันตาย  แต่จะแปรรูปไปอยู่ในรูปแบบใดนั่นอีกเรื่องนึง

แต่มันคือจุดชี้วัด “คุณค่า” ของหนังสือจะประทับใจขนาดไหน  มันขึ้นอยู่กับเรื่องราวในเล่มนั้นๆ แล้วล่ะ ผมเชื่อว่าคนยังอ่านหนังสืออยู่  เพียงแต่พฤติกรรมคนที่ชอบอ่านมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง  เพราะเดี๋ยวนี้อยากรู้อะไรก็แค่ Search  มันง่าย สะดวก และทันสมัย  เลยเข้าถึงใจคนได้อย่างรวดเร็ว และสิ่งนึงที่ทำให้เห็นอย่างเด่นชัดคือ หนังสือหลายๆ เล่ม หายไปจากบนแผง  แต่ก็ยังมีหนังสือหัวใหม่เกิดขึ้นบนแผงเช่นกัน อย่างฝั่งญี่ปุ่น  ผมก็เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดนะ  เค้าก็ยังมีพฤติกรรมการอ่านหนังสืออยู่ และก็มีหนังสือรูปแบบใหม่ออกมาให้เห็นเสมอนะ

ทุกวันนี้ก็บอกตามตรงว่าภูมิใจในการทำหนังสือนะ  เพราะได้เห็นเจ้าของรถเค้าเปิดโอกาสให้เราได้แสดงความคิด  และมุมมองต่างๆ ในสไตล์ที่เป็นเรา ถ่ายทอดภาพเหล่านั้นออกมาลงหนังสือ  มันเป็นอะไรที่จับต้องได้  แล้วมันก็เป็นคุณค่าทางจิตใจของเจ้าของรถด้วย  ผมเห็นเค้ามีความสุข  มันก็เสมือนการสอบผ่านไปอีกขั้น ซึ่งจุดเด่นของหนังสือมันคือคุณค่าทางใจ แต่…ออนไลน์มันก็จะเมินเฉยไม่ได้  ในแง่มุมธุรกิจ ที่ต้องการความไว ออนไลน์คือเรื่องที่สำคัญ  จุดได้เปรียบมากกว่าหนังสือ คือไม่ต้องรอถึง 30 วัน  มันสามารถเผยแพร่ได้เลยทันที

ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ผมว่า XO AUTOSPORT มันอาจจะไม่ใช่หนังสือเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายช่องทาง  ซึ่งมันคือโจทย์ใหญ่ นั่นหมายถึงการไมเนอร์เชนจ์ทั้งระบบ  เพื่อป้อนข้อมูลของหนังสือให้ครอบคลุมครบทุกเส้นทางของผู้บริโภคอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง  อาทิ เว็บไซต์, โซเชียลออนไลน์ต่างๆ   ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบวิดีโอคอนเทนต์   สถานะของเราก็จะต้องถูกปรับเปลี่ยนไป ไม่ใช่คนทำหนังสืออย่างเช่นเดิม  แต่เราคือผู้ผลิตคอนเทนต์หลักของรถซิ่ง มอเตอร์สปอร์ต เพื่อป้อนข้อมูลเหล่านี้ให้ไปถึงมือผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ครบทุกช่องทางการสื่อสาร

ซึ่งถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ก็จะทราบถึงหน้าตาของหนังสือ XO AUTOSPORT ที่เปลี่ยนไป  ผมเรียกว่า ไมเนอร์เชนจ์ เลยก็ว่าได้  เพราะเป็นการปรับเปลี่ยนใหม่  ให้มันดูแตกต่างจากของเดิม  อีกนัยนึงก็เพื่อรับกับการเติบโตในรูปแบบออนไลน์ควบคู่กันไป ซึ่งถ้าติดตามอ่านกันมาโดยตลอด  จะทราบทันทีว่าในรูปแบบของหนังสือจะโฟกัสไปที่ข้อมูลที่คนอยากทราบจริงๆ  “เน้นเนื้อ น้ำไม่ต้อง” โดยเฉพาะข้อมูลที่หาในโลกออนไลน์ไม่มี   ต้องคลุกคลีกับช่าง แล้วเจ้าของรถ ถึงจะได้มา  ข้อมูลตรงนั้นแหละคือสุดยอด  ผมกล้าพูดนะ ว่าไม่ใช่ใครก็ทำได้  ประสบการณ์  ความคุ้นเคยที่เราอยู่ตรงนี้มาเกือบ 2 ทศวรรษ มันเริ่มจะแสดงให้เห็นแล้วว่า  ที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะอะไร  ในแง่มุมของความสวยงาม รูปที่นำมาลง นอกจากสร้างความภูมิใจให้กับเจ้าของรถแล้ว  คุณสามารถเข้าไปชมรูปเพิ่มเติมในแกลลอรี่ได้โดยผ่านทาง QR CODE ที่สร้างไว้ให้ในหนังสือ  ของทุกคอลัมน์

นอกเหนือจากภาพนิ่ง  ก็จะมีเสริมอรรถรสของภาพเคลื่อนไหวของรถคันที่นำมาลงหนังสือ  เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้ครบถ้วนทุกอรรถรส  ดูแล้วเข้าใจมากขึ้น เราไม่ได้เน้นไปถึงโปรดักชั่นขั้นเทพ เน้นที่ดูแล้วเข้าถึงง่าย แชร์ถึงกันในโลกออนไลน์ได้รับรู้ความสวยงามของรถคนไทย

ส่วนการจัดงานในรูปแบบต่างๆ  SOUPED UP 2015 ที่ผ่านมา บอกอะไรให้เราเรียนรู้ได้หลายอย่าง และก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าขนลุก ทั้งผู้ที่เข้าชมในสนาม  และผู้ที่ชมผ่านระบบสตรีมมิ่ง มีเยอะสุดในประวัติการณ์ของหมวดกีฬาเลยก็ว่าได้  แต่ไม่ได้เอาไปเปรียบกับกีฬาฟุตบอลนะ เพราะอันนั้นมันเหนือไปอีกระดับแล้ว ที่ว่าเยอะสูงสุดก็เพราะยอดผู้เข้าชมผ่านระบบสตรีมมิ่งมีมากถึงล้านกว่าคน ที่เข้าไปดูการถ่ายทอดในวันนั้น  เพราะฉะนั้น แน่แหละว่า  ในปี 2016 ก็จะได้เห็น SOUPED UP 2016 อย่างแน่นอน  นอกเหนือจากนั้นก็จะมีรายการ Grand Prix Racing League  ซึ่งในปีนี้ก็จะมีความพิเศษเพิ่มขึ้น คือการจัดการแข่งขัน  SUPER TAIKYU ซึ่งเป็นความร่วมมือจากประเทศญี่ปุ่น ที่ให้เรามีส่วนร่วมในการจัดงานในปีนี้  หลายคนสงสัยว่าการแข่งขัน SUPER TAIKYU คืออะไร  คำว่า TAIKYU ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า อดทน   ดังนั้นเมื่อรวมกัน นั่นก็คือการแข่งขัน  “โคตรอึด” ก็จะเปรียบได้เหมือนกับการแข่งขัน ENDURANCE นั่นแหละ  แต่ระยะเวลาไม่ได้ยาวนานเท่านั้น  เค้าก็เลยเรียกว่า TAIKYU  ระเวลาแข่งขันประมาณ 3 ชั่วโมง  มีนักแข่งต่ำสุดได้ 2 คน  สูงสุดได้ 4 คน  ถ้าเทียบถึงความนิยมของคนญี่ปุ่น เจ้าการแข่งขันแบบนี้คืออันดับที่ 2 ของญี่ปุ่น  ส่วนอันดับหนึ่งยอดฮิตก็เป็น SUPER GT ที่เรารู้จักกันครับ

เสน่ห์ของ SUPER TAIKYU ที่มองแล้วเป็นจุดเด่นคือ มันเป็นเรื่องใกล้ตัว  คือเค้าจะแบ่งออกเป็นรุ่นต่างๆ  อย่างเช่น ST1 ก็จะเป็นรถจากสำนักแต่งดังๆ ที่เรารู้จักคุ้นเคย พวก Spoon, J’S Racing, Cusco, Endless ในตระกูลเครื่อง 1.5 ลิตร ส่วน ST2 ก็เป็นตระกูลเครื่อง 2.0 ลิตร เช่น Civic TYPE R, Integra, FT86 ประมาณนี้ ซึ่งจากจุดนี้ เล็งเห็นว่ามันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไทยกับญี่ปุ่นได้  เพราะรุ่นรถที่ใช้ก็มีทั้งสองประเทศ ซึ่งต่อไปพวกเราก็จะได้มีโอกาสสัมผัส และเห็นรถแต่งจากสำนักดังในต่างประเทศมาวิ่งในประเทศไทย

นอกจากสายแอ็กชั่นทั้ง 2 งานที่กล่าวมา  สายโชว์ก็ยังคงดำเนินต่อเนื่อง IDLE STREET ยังคงมีต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้เปิดศักราช 2016 กันในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วประมาณปลายปีก็จะมีอีกครั้งที่ภาคใต้  แล้วก็จะมีงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ อีกหนึ่งครั้ง โดยจุดประสงค์หลักที่ทำงานโชว์ในรูปแบบนี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้เป็น “วัฒนธรรมการแต่งรถของคนไทย” โชว์ให้ต่างประเทศเค้าได้เห็นไอเดียการแต่งว่ามันมีสไตล์ที่บ่งบอกว่านี่คือรถแต่งจากประเทศไทย  ซึ่งมันก็ตื่นเต้นนะ เมื่อไปดูงาน ออโต้ ซาลอน ที่ญี่ปุ่น  หรืองาน SEMA ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเองก็ฝันไว้นะ ว่าอยากให้ชาวต่างชาติเดินทางมาดูรถแต่งในบ้านเรามั่ง  ผมมองว่ารถบ้านเราไม่ได้แต่งน้อยไปกว่าประเทศใดเลย เพียงแต่ว่า  จะทำยังไงให้ต่างชาติเห็นภาพรถแต่งของคนไทยได้มากขึ้น  ผมคิดว่าที่สุดในโลก  คนไทยก็มีเกือบหมดนะ เท่าที่เคยสัมผัสมา

ท้ายสุดนี้ สิ่งที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่างๆ  สถานการณ์ทางการเมือง  พิษเศรษฐกิจ  หรืออะไรก็ตามแต่  ทุกอย่างจะเดินต่อไปได้ พลังมันมาจากการร่วมมือกันขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน  มันเป็นวัฏจักร  ถ้าการเงินคล่อง  เศรษฐกิจมีทิศทางที่ดี  คนก็มีกำลังจับจ่ายใช้สอยในการทำรถ  ร้านค้าขายของได้  มีกำลังมาสนับสนุน หนังสือก็เดินต่อไปได้  เราก็มีรถสวยๆ มาให้ชมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันไม่ใช่เฉพาะวงการรถ  วงการอื่นก็เช่นเดียวกัน  วัฏจักรมันเป็นแบบนี้ แต่ในชั่วโมงนี้ ทุกคนรู้ถึงสถานการณ์  ทุกคนต่างก็ต้องอยู่ให้ได้  คนเราอาจจะมองมุมของตัวเองมากไป จนบางครั้งไม่เห็นถึงมุมของคนอื่น ซึ่งมันไม่สามารถอยู่ได้ เราต้องเห็นกันและกัน  เกื้อกูลกัน พยุงกันไป  มันถึงจะเดินต่อไปได้  อาจจะก้าวไปทีละช้าๆ  แต่มันก็ชัวร์ ตัวอย่างมีให้เห็นชัดๆ อย่างงาน SOUPED UP เนี่ย เป็นกรณีศึกษาได้ดี  ถ้าผมจัดงาน  แล้วไม่มีใครมาร่วม  ไม่มีผู้สนับสนุนในงาน  ผมก็ทำงานให้สำเร็จไม่ได้ แต่ในมุมมองกลับกัน  ถ้าผมทำงานไม่ดี!! จะมีใครล่ะมาร่วมงานกับผม  ผู้สนับสนุนรายไหนเค้าจะมาสนับสนุนผมล่ะ  ที่ยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา  ก็อยากให้ทุกคนมองว่า  ถ้าเราดี ทุกคนก็ดีด้วย แต่ไม่ใช่พอถึงเวลา ทุกคนดีหมด  แต่ผมเองอยู่ในสถานะผู้จัดงานฯ จัดแล้วขาดทุน  ก็คงอยู่ได้ไม่นาน  เพราะบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของเงินลงทุน  เค้าก็มองว่า จัดงานทั้งที เลี้ยงตัวเองยังไม่รอด แล้วจะฝืนทำไปทำไม แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ ทำธุรกิจแล้วขาดทุน คุณจะฝืนต่อไปมั้ย??”

 

ผมคงไม่ต้องบรรยายอะไรต่อไปจากนี้แล้ว  เพราะพี่แป๊ะได้บอกหมดแล้ว  นี่ก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาตลอด 19 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งมันจะไม่หยุดอยู่ตรงนี้  ถ้าพวกเราทุกคนยังอยากที่จะเดินทางไปพร้อมๆ กัน ผมว่ามีหลายๆ ท่านฝันเหมือนพี่เค้านะ  อยากให้ต่างชาติเดินทางมาดูงานรถแต่งบ้านเรามั่ง  มาร่วมกันทำฝันให้สำเร็จครับ  ผมว่ามันไม่ไกล ถ้าเราช่วยกัน