My name is … ปืน AKANA
จัดจ้านย่านสายไหมแน่นอน ผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง จากคำพูดไม่กี่คำ ผมจับใจความได้ว่า เขาไม่เคยหยุดนิ่งกับสิ่งที่เขาทำอยู่เลย ถึงแม้จะมีปัญหามากมายหลายสิ่ง แต่เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดหรือหนีปัญหาเหล่านั้น เพียงแค่ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ มันอออกมา ว่าจะหาทางรับมือกับมันอย่างไรดี เรามารู้จักชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ ปืน AKANA กันเลยครับ
ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนรู้จักชื่อเสียงแบรนด์ AKANA เป็นอย่างดี รู้ว่าธุรกิจที่เขาทำอยู่เกี่ยวกับงานคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมันก็คือวัสดุทดแทนจากของเดิมที่ติดออกมาจากโรงงาน สำหรับผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนัก หรือเรียกว่าให้ซิ่งขึ้น ประมาณนั้น อะไรละ ที่ทำให้ คุณปืน ก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ แล้ว สามารถสร้างชิ้นงานจนเป็นที่ยอมรับจากต่างชาติได้ ที่สำคัญนะ เค้าไม่ได้ทำแต่งานคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับรถยนต์เพียงอย่างเดียว ยังมีของอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ ที่สามารถนำคาร์บอนไฟเบอร์เข้าไปแทนที่ของเดิม ช่วยในการลดน้ำหนัก และเพิ่มความสวยงามได้อีกด้วย เราไปรู้จักเขาพร้อมๆ กันเลยครับ “ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาสู่วงการนี้ ผมเคยเป็นพนักงานอยู่ที่โมเดิร์นฟอร์มมาก่อนครับ จนมีโอกาสไปฝึกงานที่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่สามารถไปได้ เนื่องจากตอนช่วงวัยรุ่นผมเลี่ยงไม่มารายงานตัวรับใช้ราชการทหาร ก็เลยถูกส่งตัวกลับมารับใช้ราชการทหาร โดยไปอยู่ที่ป่าหวาย จังหวัดลพบุรี เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งก็มีโอกาสได้รู้จักกับพี่ท่านหนึ่ง ตอนที่เป็นทหาร เขาแนะนำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบให้ เป็นบริษัทญี่ปุ่น ชื่อ แอโร่เท็ค เจแปน เป็นบริษัทที่ผลิตแอโรพาร์ทจากประเทศไทย ส่งไปขายญี่ปุ่น พอปลดประจำการ ผมก็ไปสอบเข้าบริษัทที่พี่เขาแนะนำมา ก็สามารถเข้าทำงานได้ในตำแหน่งพนักงานออกแบบของบริษัท ซึ่งมันตรงกับสายงานที่ผมเรียนมาคือ สถาปัตย์ อุสาหกรรมศิลป์ ออกแบบดีไซน์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเมื่อผมได้เข้าไปทำงานที่แอโร่เท็ค เจแปน ก็มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าไปรับรู้เกี่ยวกับกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดในการผลิตคาร์บอนฯ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกถึงสุดท้าย จนกลายเป็นชิ้นงาน ผมได้เรียนรู้ทั้งหมดจากตรงนี้ หลังจากที่ฝึกงานที่ญี่ปุ่นอยู่เกือบปี ก็กลับมาทำงานที่ประเทศไทย ซึ่งมันเป็นยุคเศรษฐกิจไม่ดี ก็ถึงเวลาแยกย้าย ต่างคนต่างไป ผมก็งงกับตัวเองว่าจะยังไงต่อไปกับชีวิตนะ ความรู้มี แต่ขาดทุนทรัพย์ ก็เลยเริ่มจากเล็กๆ ลองทำดูที่บ้าน แล้วก็ไปขายตามเว็บ ยุคนั้นก็จะเป็น เรซซิ่งเว็บบ้าง หรือ ไม่ก็วันทูคาร์ ยุคแรกที่ทำขายก็มีผลิตภัณฑ์ไม่กี่ชิ้น อาทิ ลิ้นหน้า, ฝากระโปรงหน้า, กระจังหน้า ของพวก Civic EK9 ซึ่งต้องบอกว่าที่ทำได้ก็เพราะโมลด์บางตัว ตอนทำงานบริษัท บางชิ้นเขาก็ไม่เอากลับญี่ปุ่น แต่งานที่ผมทำก็จะเป็นแค่ไฟเบอร์ ยังไม่มีทุนทำคาร์บอนไฟเบอร์ ก็ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ จนเริ่มขยับขยายได้ ซึ่งงานคาร์บอนไฟเบอร์ในตอนนั้น บ้านเรายังไม่มี หรือว่ามีก็น้อยมาก ไม่ได้แพร่หลาย ผมทำงานคาร์บอนไฟเบอร์ครั้งแรกก็ทำให้กับ เอก มิคาโดะ ซึ่งผมกับ เอก เจอกันโดยบังเอิญ คือเขามากินอาหาร ร้านข้างๆ ตึกที่ผมเช่าเปิดร้านทำงาน ซึ่งพอทำได้สักระยะ ก็มีปัญหาเรื่องของกลิ่นน้ำยาเคมีกับละแวกข้างๆ ผมก็เลยตัดสินใจย้าย เข้าไปอยู่ในทุ่งนา ที่ห่างไกลจากบ้านคน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของกลิ่นที่ไปรบกวน ก็ทำไปทำมา มีคนแนะนำให้รู้จักกับ พี่บุญตา ราม 77 ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้ผลงานของผมเข้าสู่สนามแข่ง Drag อย่างเต็มตัว ด้วยการทำเฟรมให้รถแข่งพี่บุญตา ในตอนนั้นก็จะมี Cefiro หน้า Skyline R32 กับ Supra ซึ่งการเติบโตของผมมันเป็นแบบปากต่อปากในยุคนั้น แน่นอนว่า การทำธุรกิจมันต้องเจออุปสรรค ไม่ได้มีทางเดินด้วยกลีบกุหลาบสวยหรูเหมือนในนิยายอย่างแน่นอน แล้วด้วยความที่เราโนเนม ก็ต้องค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ไปทีละนิดทีละน้อย
จนวันหนึ่งมีลูกค้าขับรถกระบะเชฟโรเลต เข้ามาหา เคขาบอกผมว่าไปร้านไหนก็ไม่มีใครรับงานทำให้เขา ผมก็เลยคิดว่าเอาวะ ลองรับงานดูแล้วกัน ก็เริ่มต้นจากไปเบิกฝากระโปรงหน้าเชฟฯ ที่ศูนย์ฯ รามอินทรา ในใจคิดว่าบานละ 9,000 บาท มันจะคุ้มมั้ยวะ รับงานเค้ามา 12,000 บาท เมื่อส่งงานลูกค้าเรียบร้อย ปรากฏว่าผลตอบรับดี เพื่อนๆ ในกลุ่มเขาก็ทยอยเข้ามาทำกับผม จนประมาณปี 53 โซเชียลมีเดียเริ่มเข้ามา การเข้าถึงลูกค้าเริ่มแพร่หลายเร็วมากยิ่งขึ้น ก็มีลูกค้าที่เป็น Isuzu เข้ามาอีกสาย ผมใช้ระยะเวลาแค่ 2 ปี ในการทำตลาดคาร์บอนไฟเบอร์ให้กับรถกระบะ ซึ่งมันทำให้แบรนด์ AKANA มีคนรู้จักขึ้นอย่างแพร่หลาย แต่ในมุมการผลิตยังอยู่เท่าเดิม เพราะฐานการผลิต อุปกรณ์ยังคงเท่าเดิม ไม่ได้ขยายเพิ่ม ผมมีลูกน้องอยู่ 7 คน ผลิตฝากระโปรงได้ 20 ฝาต่อ 1 วัน แล้วก็ขายหมดทุกวัน ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่!! มันไม่ใช่ ในปี 54 ทุกคนรู้และประสบปัญหาเดียวกัน คือ น้ำท่วมใหญ่ ก็เลยตั้งสติ นำทุนทรัพย์ที่ทำมาหอบกลับบ้านที่จังหวัด กำแพงเพชร ไปซื้อที่สร้างโรงงาน ซึ่งจากเหตุตรงนี้ที่สินค้าไม่สามารถทำส่งลูกค้าได้ ก็ทำให้ฐานลูกค้าลดลง เพราะไม่สามารถผลิตของให้ได้ตามที่ต้องการ ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ต้องยอมรับ แล้วปรับตัวอยู่กับมันให้ได้
มีอยู่วันหนึ่ง รุนน้องที่เคยทำบริษัทเก่าด้วยกัน เขาอยู่ฝ่ายทำแบบให้กับทางบริษัทยามาฮ่า เขาติดต่อเข้ามาหาผม โดยให้ทำบังโคลนให้ หลังจากนั้นก็มีหลายสำนักติดต่อเข้ามา อาทิ TRD และ HKS เป็นลำดับ ซึ่งจากการได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังๆ ที่พวกเรารู้จัก ก็ทำให้ผมมีประสบการณ์มากขึ้น เพราะในช่วงที่ร่วมงาน เขาก็มีทีมเทคนิคจากประเทศญี่ปุ่น มาเทรนนิ่งขั้นตอนในการทำงาน จากตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้ผมเข้าใจและมีความรู้ทางเทคนิคต่างๆ มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยแบ่งโรงงานออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนการผลิต งานส่งลูกค้าก็ยังคงดำเนินต่อไป แล้วอีกส่วนคืองานวิจัย เพื่อการพัฒนาชิ้นงานให้มีคุณภาพสูงสุด ซึ่ง ณ ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตก็ทันสมัย ทำให้ชิ้นงานที่ได้ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ แล้วก็มีความทนทานต่อการใช้งาน ซึ่ง ณ ปัจจุบันฐานการผลิตชิ้นงานส่งให้กับแบรนด์ต่างๆ ไม่ใช่แค่อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของรถยนต์เพียงอย่างเดียว ตอนนี้ก็ผลิตงานชิ้นส่วนจักรยานที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ให้กับแบรนด์ TREK อีกด้วยครับ โดยทางบริษัทแม่เขาย้ายฐานการผลิตมาให้ผมเป็นคนผลิตตามสเป็กที่เขากำหนด ล่าสุดก็มีผลิตพาร์ท เรือให้กับบริษัทซี ดูด้วยครับ
ในอนาคตผมอยากพัฒนาอุปกรณ์ทดแทน อาทิ ขาเทียม มือเทียม รถวีลแชร์ อะไรประมาณนี้นะครับ ตอนนี้ก็ได้ลองทำดูแล้ว แต่ก็ต้องเอาไปลองทดสอบ Strength แล้วพวกอายุการใช้งานที่ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งสิ่งที่ผมอยากทำตรงนี้ก็เพราะว่าอะลูมิเนียมมีขั้นตอนการผลิต มันทำยากกว่า ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นงานคาร์บอนไฟเบอร์ได้ มันทำง่ายกว่า แล้วก็มีน้ำหนักที่เบากว่า ราคาก็ถูกกว่า และยังให้ความสวยงามในตัวชิ้นงานได้ด้วยครับ ซึ่งก็ต้องเน้นย้ำถึงการใช้งาน”
หลังจากที่ได้คุญกับ คุณปืน มา เห็นของหลายชิ้นที่เขาสร้างขึ้นมา ยอมรับในฝีมือของเขา ผมถามเขาเล่นๆ ว่า วันนี้ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วหรือยัง เขาบอกยังนะ มันก็เหมือนสนุกกับงานไปเรื่อยๆ นะ จนกว่าจะมีรุ่นลูกรุ่นหลานมาสานต่องานที่ผมทำ เขาบอกกับผมแบบนี้นะ….
วลีโดนใจ
: บางทีคนไทยก็ไม่มีใครเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์ที่เห็นสวยๆในต่างประเทศ เป็นฝีมือคนไทย
: ผมนำเข้าน้ำยามาเอง ทุกการผสมมันจะบอกถึง Strength ที่แตกต่างกันออกไป ถ้าจะทำฝากระโปรง แต่ผสมมาแบบทำรถ ก็ไม่ใช่ ถ้าอย่างเรือก็จะแตกต่างออกไปเลย บางมาก ราวๆ 5 มม. แต่ต้องรับน้ำหนักได้ 7-10 ตัน ความรู้เหล่านี้ก็ได้มาจากตอนที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ
: ผมขอบคุณอุปสรรคที่เข้ามา มันทำให้ผมคิดที่จะดำเนินธุรกิจอย่างไร ให้แตกต่างจากที่มีอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ทุกปัญหามีทางออกของมันเสมอ ขึ้นอยู่กับคุณจะหามันเจอหรือเปล่าครับ