My Name is… บุญตา Ram 77

 

Story : T.Aviruth (^_^!) / Photo : ธัญญานนท์  แสงภู่

สถิติมีไว้ทำลาย…  เป็นเรื่องมุ่งมั่นของนักกีฬาทุกอาชีพที่จะก้าวผ่านตรงนั้น  ซึ่งมันไม่ใช่เรื่อง่าย  แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้เช่นกัน  และในฉบับส่งท้ายสู่ ECU = SHOP SOUPED UP THAILAND RECORDS 2015  ขอส่งท้ายด้วยผู้ชายที่ ขับรถเร็วที่สุดในประเทศไทย ในระยะทาง 402 เมตร กับสถิติ 7.2 วินาที ในปี 2010  จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทุบสถิติให้แตกลงได้  แต่เดือนหน้าไม่แน่…

“ราม 77”  ถ้าได้ยินคำนี้  คนนอกวงการฯ ก็คงนึกถึง  รามคำแหง  ซ.77  ส่วนคนที่เลานรถก็จะคุ้ยเคยกันดีกับ  พี่ตา ราม77  ซึ่งฉายานี้ก็ได้มาจาก  ถนนรามคำแหงนี้แหละ  จนวันนี้ย้านนิวาศสถานมาอยู่คลอง 5 แล้ว  ก็ยังคงเป็นชื่อเสียงที่ติดตัวตามมาตลอด  ลองเรียกตามสถานที่ดู  พี่ตา คลอง 5 มันก็จะดูทะแม่งๆ ชอบกล  หลายคนรู้จักกับ พี่ตา ที่ขับรถ Dragster (หน้ายาว)  ซึ่งก่อนหน้า ถ้าใครเริ่มต้นกับประสบการณ์รถซิ่งเร็วหน่อย  ก็จะรู้ลึกลงไปอีกว่าก่อนจะขับ  Dragster (หน้ายาว) ก็จะขับพวกรถ Space Frame  มาก่อน  ซึ่งในวันนี้  เราก็จะมารู้จักตัวตนของ  บุญตา  วรรณลักษณ์  ผู้ชายที่ได้ชื่อว่า  ขับรถเร็วที่สุดในประเทศไทยในระยะทาง 402 เมตร กันครับ

การเดินทางมาทำคอลัมน์ในครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินทางมาสนามคลอง (BDA)  ซึ่งถ้าคุณเคยชินกับการเดินทางมาสนามฯ อยู่แล้ว  คงไม่ใช่เรื่องอยากอะไร  โดยวิ่งเรียบคลองมาเรื่อยให้สังเกตป้าย “ท่าทราย 77”  เมื่อป้ายนี้ปุ๊ป  ให้ชะลอแล้ว เมื่อเจอสะพานข้ามคลองฝั่งซ้ายมือ  ให้ข้ามสะพานแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปอีกนิดอู่จะอยู่ทางขวามือคุณ  เป็นอะไรที่หาไม่ยาก  แต่ถ้าอ่านมาก็อาจจะสะกิดใจนิดหน่อยว่าอะไรคือ  “ท่าทราย 77”  เดี๋ยวเรามาให้พี่ตาเล่าให้ฟังครับ ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร  เมื่อไปถึงอู่  เจ้าฟลุ้ค  (Takesnap) เนี่ยแหละก็รู้หน้าที่จัดแจงหามุมสำหรับการถ่ายงานในครั้งนี้  ส่วนพี่ตา กับ ผมก็ไปหาที่นั่งคุยกัน โดยปะเด็นแรกที่ผมเปิดคำถามไปว่า  เล่าให้ผมฟังหน่อยพี่ตา  พี่คือใคร?  “ผมหรอ… ก็คนชอบรถคนนึงนั่นแหละ   รถซิ่งมาเกี่ยวข้องกับผมก็ตอนเปิดอู่อยู่ที่รามคำแหงนั่นแหละ  ซึ่งคนจะรู้จักผมในตอนนั้นในรถ โตโยต้าหน้าแหลม   ซึ่งคันนี้เป็นคันที่ทำให้ผมเริ่มเข้าสู่วงการแดร็ก  แต่ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ผมใช้ BMW E30 เครื่องยนต์ SR20 DET เป็นรถซิ่งคู่กายเหมือนๆวัยรุ่นทั่วไปเลยครับ  ซึ่งในตอนนั้นผมเรียนที่ โรงเรียน เซนต์เทเรซา เพื่อนที่เรียนห้องเดียวกัน  พี่ชายเค้าทำคาร์แคร์อยู่ ผมก็เลยไปขอแบ่งเช่าพื้นที่ส่วนนึงเปิดอู่ในสไตล์วัยรุ่น  ทำสนุกๆ  ซ่อมทั่วๆไป   ในยุคนั้นนักแข่งดังๆ  ที่ผมได้ยินชื่อบ่อยๆ  ก็  พี่เอ๋ สุกิจ พี่ญา เซอร์วิส  น้ายาวปิ่นเกล้า ประมาณนี้  ผมเองก็ทำ BMW คันนี้แหละ  แต่งไปเรื่อย  ยุคจอฟ้า  รีบิค  หัวฉีดเสริม   ประมาณเนี๊ยะแหละ ก็เคยมีไปสนามแข่งบ้าง  ในยุคนั้นก็  สนาม MMC  หรือไม่ก็  สนามนครชัยศรี

ยุคนั้นก็เป็นอู่ทั่วๆไป  อารมณ์ประมาณว่า  ทำอู่  แล้วเจ้าของก็เล่นรถเองด้วย จนกระทั่งเริ่มมีลูกค้าบอกกันแบบแกต่อปาก  วันนึงก็ชีวิตก็เดินเข้าสู่สนามแข่งอย่างอัตโนมัติเมื่อมีลูกค้านำรถ Skyline เข้ามาให้ผมทำ  แล้วก็ไปเซอร์วิสให้กับเค้าที่สนาม  ส่วนผมเองก็ทำรถ โตโยต้า หน้าแหลม  เครื่อง JZ ไปวิ่งด้วย  ซึ่งหลายๆคนเริ่มจะรู้จักผมในตอนช่วงนี้   ผมประกอบกิจการตรงรามคำแหง อยู่ประมาณ 4-5 ปี  ก็ย้ายมาอยู่ที่ ซ.นวลจันทร์  ก็มีอุปสรรคพอสมควร  เพราะสถานที่อยู่ห่างจากสนามฯมาก  และในช่วงนั้นชีวิตมากกว่าครึ่งเป็นการเซอร์วิสรถแข่งมากว่า  ประจวบกับตอนที่ย้ายมาอยู่ใน ซอย นวลจันทร์  เค้าปรับปรุงถนนด้วย  ยิ่งเละไปกันใหญ่เลย  ก็ทำที่นี่ได้ 2 ปีกว่าๆ  คิดว่าไม่น่าจะสะดวกกับการทำงาน ซึ่งในตอนนี้งานที่ทำก็จะเป็นพวกรถเฟรม  แล้วก็เริ่มสัมผัสกับพวกหน้ายาวแล้ว   คิดว่าถึงเวลาที่จะหาพื้นที่เป็นของตัวเอง  แบ่งเป็นสัดส่วน  และลดเสียงรบกวน ให้กับเพื่อนบ้านระแวกใกล้คียง   ก็เลยตัดสินใจย้ายอู่อีกรอบ  ทีนี้มานอกเมืองเลย  ไหนๆ ก็มาสนามแข่งฯ บ่อยอยู่แล้ว  ก็มามาลงหลักปักฐานที่ คลอง 5 เนี่ยแหละ  ใกล้สนามฯ ดี  สะดวกทุกอย่าง

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  มีรถเฟรมที่ผ่านมือ  สร้างขึ้นมาเองกับทีมงานก็มีประมาณ 5-6 คันได้ ส่วนหน้ายาว (Dragster) อีก 4 คัน  มีสั่งซื้อมาจากอเมริกา 1 คัน แต่ก็ขายให้กับ Siam Prototype ไป  ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ต้องบอกตามตรงนะ  มีน้องๆ เพื่อนๆ ในวงการทำรถกันมากขึ้น  ซึ่งเมื่อก่อนก็จะมีอาชีพแบบผมนี้ไม่กี่ที่  พอเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันทันสมัย  ทุกอย่างก็เลยสะดวกไปหมด  กลุ่มคนเล่นรถแดร็กยังเยอะเหมือนเดิม  คนสร้างรถก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน   ผมก็เลยมองว่าทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง  จากชีวิตที่ทำรถมากครึ่ง  ก็คงต้องเดินต่อไป  แต่เพียงว่าต้องหาหลักประกันความมั่นคงให้กับครอบครัวด้วย  ตอนสดๆ มันอะไรก็ได้  ขอให้มันส์  ตอบสนองตัวเองไว้ก่อน  แต่ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว  ทุกอย่างจะมาสนุก 100% ไม่ได้แล้ว  เพราะมีคนที่อยู่ข้างหลังที่ต้องดูแลให้ดีที่สุด  ก็เลยตัดสินใจเริ่มต้นอีกหนึ่งอาชีพ ควบคู่กับการทำรถไปด้วย  นั่นก็คือ “ท่าทราย77” เป็นประเภท รับเหมาถมที่   ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในชีวิตผมเลยนะ  เพราะกิจการที่บ้านผมก่อนที่จะขึ้นมาศึกษาในกรุงเทพฯ  ก็ประกอบกิจการลักษณะนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ขายทราย  ขายหิน ให้กับทางราชการ  ที่ภาคใต้มาตั้งแต่ผมเด็กๆ  ซึ่งประกอบกับพี่ชายผมก็ทำอู่  ซ่อมเครื่องจักร  ทำเฮดเดอร์ ในยุคนั้น  ผมก็โดมาจากในอู่นั่นแหละ  เพราะฉะนั้นความรู้ที่ได้มันแทรกซึมติดตัวมาโดยไม่ทันรู้ตัวเลย  ซึ่งพอมาจับงานด้านนี้มันก็เดินต่อเนื่องได้ไม่ยากอะไร

โดยจากจุดเริ่มต้นกิจการของตัว  ก็เริ่มจากความถนัดก่อน  คือ ซื้อ – ขาย เครื่องจักรนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น หน่วยงานราชการก็มาใช้บริการกับผม  จากการที่เคยขาย  ก็เป็นมาขอเช่า ก็สานต่อกันมาจนมีคนรู้จักมาก  ก็เลยต้องผันตัวมาเป็นผู้รับเหมาเอง  ซึ่ง ณ วันนี้  ตรงนี้คือจุดหลักในการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวได้มากกว่า  แต่เรื่องอู่ก็ไม่ได้ทิ้ง  ผมก็มีลูกค้าเค้ามาใช้บริการอู่เรื่อยๆ  คืองานของผมไม่ได้เสร็จภายในวันเดียว  มันเป็นลักษณะงานโปรเจ็คต์สร้างรถมากกว่า  คันนึงจะต้องใช้เวลาพอสมควร  ส่วนงานเซอร์วิสก็มีมาทำเหมือนเดิม แต่อาจะไม่ จ่อต่อคิวเหมือนแต่ก่อน  ก็อย่างที่บอก  คนขายของมากขึ้น  คนทำรถมากขึ้น  สัดส่วนกลุ่มลูกค้าก็เลยถูกกระจายส่วนออกไป

มาถึงตรงนี้ได้ก็นับว่าแฮปปี้มากนะ  พอลองมองย้อนกลับไปดูในสิ่งที่ผ่านมา  ก็รู้สึกว่ามาถึงตรงนี้ได้ไง   พูดตรงๆ นะ  ตอนนี้ลงไปขับหน้ายาวแต่ละครั้ง  ก็ใจเต้นระทึกทุกครั้งนะ  เมื่อก่อน “สด” ไปไม่มียั้งเลย  ซึ่งคำพูดที่แว่วเข้าหูมาว่า “เดี๋ยวโตกว่านี้แล้วจะรู้เอง”  มันมาอยู่ในหัวผมแล้ว  รู้แล้วว่า “กลัว” มีอาการเช่นไร  ผมเริ่มคิดวิเคราะห์ ไต่ตรองมากขึ้น  แต่ความภูมิใจในแดร็กผมมีมากกว่า  เพราะชื่อเสียง  ความชื่นชม  ที่ยินดีกับความสำเร็จของผมมันทำรู้ภูมิใจทุกครั้ง  ซึ่งครั้งที่ผมภูมิใจสุดก็คงเป็นวันที่สามารถทำสิติได้เร็วที่สุดในประเทศไทยคือ 7.2 วินาที ในปี 2010  เพราะวันนั้นอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันสุดๆ  คือถ้าใครอยู่ในค่ำคืนวันนั้นจะรู้ว่า  ผมเป็นลองอยู่  แล้วการวิ่งในรอบสุดท้ายนั้นมีความหมายกับผมมาก  พลาดไม่ได้สักจุด  ทุกอย่างต้องพร้อมเกิน 100%   แต่ในใจจริงๆ หวังว่าต้องเร็วกว่า 7.2 วินาทีนะ ด้วยเหตุผลที่ว่า ก่อนหน้านี้ผมวิ่งเวลาค่อนข้างเสถียรมากนะ  7.4-7.5 วินาที มาตลอด   ซึ่งในวันนั้นเครื่องยนต์ที่วิ่งไม่ค่อยไหวแล้ว  ซึ่งก็เป็นจุดที่คิดว่าหลังจากจบแมทช์นี้ไปก็จะกลับไปเตรียมพร้อมพัฒนาใหม่  ซึ่งคิดว่าถ้าตั้งใจจริงผมว่าผมน่าจะทำลายสถิตินี้ด้วยตัวผมเองไปนานแล้ว  แต่อย่างว่านะ  เมื่อจบงานทุกอย่างก็จะผ่อนคลายลง  ซึ่งที่จริงสิ่งที่บิ้วอารมณ์ได้มากที่สุดคือ  ณ ช่วงเวลานั้น   วันที่รถมารวมตัวกันเป็นร้อยๆคัน  คนมาเชียร์หลายพันคน  ตรงนั้นแหละที่เป็นตัวบิ้วอารมณ์ให้หึกเหิม แล้วอยากจะทำมันให้สำเร็จ   ซึ่งจริงๆ เราอารถไปวิ่งวันไหนๆก็ได้  แต่มันก็ไม่ใช่ฟีลลิ่งปลุกใจเหมือนตอนนั้น  สายตาทุกคู่ในสนับจับจ้องมาที่เรา  ทุกคนตั้งความหวังอยากจะเห็นตัวเลขที่ดีที่สุด  โดยมีตัวเราเองเป็นผู้ตัดสินใจ  ในการออกรถไปที่ปลายเส้น 402 เมตร  มันเป็นไม่ใช่ฟีลลิ่งที่สร้างกันได้  แต่พลังทุกอย่างมันอยู่ในตัว  แล้วถูกนำออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว  เนี่ยแหละคือแรงผลักดันของให้ผมมีกำลังใจในการสร้างสถิติต่อไป

ไหนๆ ก็ไหนๆ  พูดถึงเรื่องรถแล้วก็สานต่อเลยเรื่องภารกิจปีนี้  ความพร้อมก็เต็มที่นะ  ที่แพลนไว้คือรถเฟรม  กับ รถหน้ายาว   แต่ด้วยสภาวะรอบๆตัวมันไม่ฟูเหมือนเมื่อก่อน  ก็เลยไตรตรองดูว่า  จะหน้ายาว คันเดียวมั๊ย  จะได้ไปเต็มสูบเลย  แต่ก็ต้องดูลูกค้าด้วย  รถของคุณ ศิลา  คัน Nissan Cefiro สีเหลือง  คันตั้งเป้าไว้ว่ารถบ้านจะต้องเห็นเลข 7 วินาที ให้ได้  ซึ่งคันหน้ายาวตั้งใจว่าจะต้องต่ำกว่า 7.2 วินาที  ซึ่งมันไม่ยาก  แต่ก็ไม่งาย  เพราะตอนนี้อุปกรณ์สำหรับรถก็เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว  และก็มีทีเด็ดอีกคันคือ Skyline ของคุณไผ่  คันนี้เป็นโปรเจ็คร่วมกับ Speed D  โดยจะถ่าย DNA รถ Skyline GTR R32 ของ Speed D มาลงในรถคันนี้ครับ  ส่วนเรื่องของแทร็คที่จะไปวิ่งที่บุรีรัมย์ในครั้งนี้  ก็ไม่นะจะประสบปัญหาอะไร  เพราะทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่  เหมือนกันหมด  ทุกคนวิ่งได้  ผมก็วิ่งได้เช่นกัน  ก็จะทำมันให้ดีที่สุด

อนาคตที่มองไว้ก็คงต้องเดินต่อไปลักษณะนี้แหละ  ถ้ายังไม่หยุดทำรถ  ก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาให้เราทำเรื่อยๆแหละ  ใจเคยคิดอยากจะเลิกนะ   แต่มันก็เลิกไม่ได้หรอก  มันก็ต้องพัฒนากันไปเรื่อยๆ คือ หลังอาจะไม่ค่อยเห็นผมที่สนามฯ  ซึ่งก็นึกไปว่ามันจะเงียบ  แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะ เพราะงานที่ผมทำผลิตรถออกมา  มันไม่ใช่งานที่จะมาเสาร์-อาทิตย์ทั่วๆไป  เพราะหลังๆจะมีแต่รถโปรเจ็คใหญ่  อย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียว  หลายๆอู่ก็เช่นกันครับ”

เค้าคือคนที่ได้ชื่อว่า  ขับรถเร็วที่สุด ในระยะทาง 402 เมตร ของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2010  ซึ่ง ณ ปัจจุบันตัวเลขนี้ก็ยังคงมีใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งงานจัดอันดับ ECU = SHOP SOUPED UP THAILAND RECORDS 2016 ที่สยามบุญช่วยทำสถิติใหม่ขึ้นด้วยเวลา 7.058 วินาที

 

วลีโดนใจ

“สนามใหม่เหมือนกัน สภาวะเท่าเทียมกันหมด   เค้าวิ่งกันได้  ผมก็ต้องวิ่งได้เช่นกัน”

 

“ผมจะเอารถมาลองวิ่งวันไหนก็ได้  แต่ความรู้สึกมันไม่เร้าใจสุดขีดเท่ากับ  ตอนที่มีผู้ชม  หรือ คนเชียร์ รอบๆข้าง  ที่ร่วมลุ้นกับเราไปด้วยในตอนนั้น มันเป็นฟีลลิ่ง”

 

“  ทุกอย่างจะมาสนุก 100% แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว  ทำอะไรต้องรอบครอบ เพราะมีคนที่อยู่ข้างหลังที่ต้องดูแลให้ดีที่สุด”

 

“วันนี้ผมรู้จักกับ ความกลัว แล้วล่ะว่ามันเป็นเช่นไร”