My Name Is … บอย ฟิล์ม

XO 261
STORY : T. Aviruth
PHOTO : ธัญญนนท์ แสงภู่

ก่อนหน้านี้เค้าเคยมาเป็นแขกรับเชิญใน Club XO มาแล้ว  แต่วันเวลามันเปลี่ยนไป  หลายอย่างที่เค้าทำ มันคือการก้าวออกจากกรอบที่ถูกล้อมไว้  จนในวันนี้ ผมอยากให้เค้าเป็นคนมาเล่าเรื่องราวของชีวิตตัวเค้าเอง ให้พวกเราได้รับรู้ ว่าการที่จะเดินมาถึงตรงจุดนี้ได้ มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง  แล้วอะไรที่ทำให้ชีวิตของคนหนึ่งคน สามารถพลิกชะตาชีวิตของตัวเองได้ ไปรู้จัก คุณรัชกฤช อัศวยุทธกุล หรือ ที่เราคุ้นหูกันดีว่า บอย ฟิล์ม ครับ

ผู้ชายที่เห็นอยู่ในคอลัมน์นี้ คือ บอย ฟิล์ม หลายคนเคยได้ยินแต่ชื่อ หรือบางคนก็มีคำถามว่าใช่คนเดียวกันกับ บอย MRX หรือไม่? ใช่ครับ ผมตอบตรงนี้เลยว่าเค้าคือคนเดียวกัน ซึ่งฉายาทั้ง 2 ชื่อนี้ มันมาคนละช่วงเวลา เอาเป็นว่า ไปฟังเจ้าตัวเค้าเป็นคนเล่าเองจะดีที่สุดครับ “ตื่นเต้นครับ ที่วันนี้มีโอกาสมาอยู่ในคอลัมน์ My Name is… ก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่ผมเรียน ปวช. ช่างยนต์ กันเลยครับ  ตอนนี้ผมยังขี่แต่มอเตอร์ไซค์อยู่เลยครับ คือผมขี้เกียจเรียนต่อ แต่คุณแม่ให้เรียนต่อ โดยมีของแลกเปลี่ยน คือถ้าผมตัดสินใจเรียนต่อ คุณแม่ผมเค้าจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงให้ผมใช้เลยครับ คือที่บ้านเค้าพร้อมสนับสนุนทุกอย่างครับ แต่ผมเกเรเอง  เมื่อผมเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง  คุณแม่ก็บอกว่าถ้าไม่เรียนต่อก็จะไม่ให้เงินใช้ ผมก็บอกท่านว่า ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร คือผมดื้อมาก ก็เลยตัดสินใจไม่เรียนต่อ แล้วหางานทำเอง โดยงานแรกที่ผมทำคือ “ขับรถส่ง Pizza” ไปทำงานแรกได้อยู่ 3-4 เดือน ก็รู้สึกว่าไม่ใช่อย่างที่เราจะเป็น ผมไม่ชอบให้ใครมากดดัน ไม่ใช่ว่าไม่ทนนะครับ คือถ้าหัวหน้างานสอนงานเราดีๆ ผมก็พร้อมเรียนรู้ แต่สิ่งที่เจอมันไม่ใช่แบบนั้น เจอแบบใส่อารมณ์ หรือมาแบบกดขี่ข่มเหง ผมไม่ชอบ ก็เลยออกจากงาน มาขายส่งเสื้อผ้าอยู่ประตูน้ำ บอกเลยว่าในยุคนั้นเราขายส่ง รายได้ดีมากครับ แต่ผมก็ต้องเลิก เพราะว่าเหมือนผมไป Copy แบรนด์ร้านข้างๆ  แต่พี่เค้าก็ยังยิ้มให้ผมได้ จากจุดนี้ผมมีความรู้สึกละอายต่อการกระทำของตัวเอง ก็เลยไม่กล้าที่จะไปงานตรงนั้นต่อ หลังจากที่เคยมีรายได้ดีในแต่ละวัน พอไม่ทำงานตรงนั้นต่อ ก็ต้องหารายได้จากงานใหม่เข้ามาแทน เพราะรายจ่ายต้องกิน ต้องใช้ มันเกิดขึ้นทุกวัน

“ทำรถให้ประสบความสำเร็จ กับทำออกมาให้ชนะใจคน
ผมว่าทำให้ชนะใจคน ทำให้คนยอมรับ  เป็นเรื่องที่ยากมากครับ”

ผมมาทำงานโบกรถจอดในวัดจักรวรรดิ์ ตรงสำเพ็ง ซึ่งผมเป็นคนไม่อาย ไม่ยึดติด อะไรที่ผมทำแล้วสบายใจ ไม่ไปรบกวนคนอื่น ผมทำครับ เพื่อนๆ ที่เคยมาเห็นผมทำงานโบกรถจอดในวัด  เค้าก็แปลกใจ เพราะภาพที่เค้ารู้จักผมสมัยก่อน คือมีความพร้อมทุกอย่างที่บ้าน  ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ผม ท่านก็ยิ่งโกรธผมนะ ที่ผมไปทำงานอะไรแบบนี้ แต่ผมก็คิดแต่ว่า ผมไปทำงานแลกเงิน ผมก็ยังใช้ชีวิตเข้า-ออก ที่บ้านเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่เคยขอเงินที่บ้าน ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจไม่เรียนต่อ ซึ่งจากจุดนี้แหละ เป็นการเปลี่ยนชีวิตผมให้เดินเข้าสู่วงการฟิล์มกรองแสง ด้วยการชักชวนของเพื่อนที่เค้าทำงานอยู่ในศูนย์บริการของโตโยต้า ผมก็เข้าไปเป็นเด็กฝึกงาน กว่าจะได้เริ่มติดฟิล์มที่รถด้วยตัวเอง ใช้เวลาฝึกงานอยู่นานมาก คือเค้าไม่ให้ผมติดตั้งเอง เนื่องจากมูลค่าของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ในตอนนั้นมันแพงมาก แต่ผมโชคดีที่รุ่นพี่ให้โอกาสได้ลองทำจากจุดเล็กๆ ด้วยความสามารถของผมที่เรียนรู้การทำงานเร็ว จากลอกฟิล์ม มาเป็นคนติดประตู ผู้จัดการเค้าเริ่มเห็นผลงานผม ว่าทำงานเร็ว แล้วออกมาสะอาด เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มขยับมาติดที่บานหน้าเต็ม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมสามารถติดตั้งฟิล์มได้รอบคันแล้ว ก็เลยมีความคิดที่ว่า อยากเปิดประสบการณ์ใหม่ หางานพิเศษทำเอง ด้วยการรับติดฟิล์ม สรุปงานแรกที่ได้คือ ติดตั้งฟิล์มอาคารพาณิชย์ เพื่อนๆ ก็แซวว่า เดี๋ยวนี้ใหญ่โตแล้ว แต่ผมกลับคิดว่า  “เพื่อนๆ ที่แซวผม ทำไมเค้าบีบตัวเอง เค้าดูถูกตัวเอง ทั้งๆ ที่เค้ามีความสามารถติดฟิล์มได้เหมือนผม แทนที่จะคิดขยับขยายตัวเอง ก้าวออกจากกรอบ” แต่กลับกลัว ระแวงในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ  ซึ่งผมไม่เคยติดงานอาคารเลย แล้วงานใหญ่ครั้งแรกของผมก็คืองานนี้เลย  มันท้าทายนะ  ก็ตัดสินใจเดินรับงานเอง แน่นอนว่าธุรกิจก็ต้องมีคนโกงเป็นเรื่องปกติ  แต่ผมมองว่ามันเป็นปัญหาใหม่ที่ไม่เคยเจอ ก็เรียนรู้ แล้วแก้กันไป

“คนไทยชินกับแบรนด์นอกมาตลอด  แต่พอมาเป็นแบรนด์คนไทยกันเอง
ก็จะเกิดเกราะกำบังความคิดขึ้นมาทันที  ว่ามันจะใช้ได้เหมือนกับของนอกหรือเปล่าน้า?
ผมไปฟิลิปปินส์ เห็นคนที่นั่นแต่งรถกระบะ แล้วบอกว่า Thai Culture  ผมภูมิใจนะ 
มันเสมือนกับภาพที่เราเคยมองรถญี่ปุ่น แล้วเราก็ทำตามเค้า 
แต่วันนี้มีอีกหลายประเทศแต่งรถกระบะตาม ประเทศไทยแล้ว”

มาถึงยุคช่วงฟิล์มสีชาเริ่มเข้ามา ผมก็เริ่มรุกตลาดนี้ทันที คุณพ่อก็ถามว่า ทำไมไม่ติดฟิล์มปรอท หรือฟิล์มที่ทั่วไปเค้านิยมกัน แต่ในความคิดของผมตอนนั้นคิดว่าจะทำทั้งที จะให้เหมือนกับคนอื่นทำไม ต้องมาแย่งลูกค้ากันอีก สู้หาทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มคนที่ชอบความแปลกใหม่ดีกว่า ซึ่งผมคิดว่าลูกค้าที่ชอบความไม่เหมือนใครแบบตัวผม ก็มีรออยู่อีกมากเช่นกัน ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้ เหมือนผมเดินมาถูกทาง แต่ว่ามันก็มีเรื่องที่ต้องให้แก้ไขอีกเช่นเดิม ในเมื่อผู้นำเข้าฟิล์มสีชาบอกว่าของขาดตลาด ต้องรอของเป็นระยะเวลา 2-3 เดือน นั่นก็หมายความว่า รายได้ผมก็จะหายทันที  ผมพยายามหาวิธีแก้ปัญหาตรงนี้ ในยุคนั้นโซเชียลยุคแรกเริ่มมี e-mail, MSN แต่ก็ยังไม่ใช่วงว้างเหมือน ณ ปัจจุบันนี้  ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่มาก ผมเองก็เล่นไม่เป็น ก็เลยหาทางออกด้วยวิธีง่ายๆ อย่าไปคิดไกลตัว คิดใกล้ๆ ตัวให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยขยายออก ผมก็ไปจ้างเค้าแปลภาษา เพื่อเขียนเป็นจดหมายส่งไปถึงโรงงานผลิตฟิล์มกรองแสงที่ต่างประเทศ ซึ่งผมก็มาทราบทีหลังว่าทางโรงงานเค้าก็งงว่า ทำไมไม่ส่ง e-mail แต่ส่งจดหมายมาแทน ก็เป็นขำๆ กันไป  แต่ที่อยากจะบอกว่า ในความขำ ความตลกของเรื่องราว มันคือความพยายามที่ซ่อนอยู่  จดหมายฉบับนั้นเป็นจุดกำเนิดของการทำธุรกิจนำเข้าฟิล์มกรองแสงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ

กลุ่มลูกค้าผมในยุคนั้น ก็จาก Racing Web ซึ่งในยุคนั้นใครก็รู้จัก “ฟิล์มชา ตาบอย” ผมก็รับติดฟิล์มตามบ้าน ไม่มีหน้าร้าน พอทำไปนานเข้าก็อยากจะมีหน้าร้านเป็นของตัวเองบ้าง ก็เลยไปกู้เงินมาจำนวนหนึ่ง จะมาทำร้านฟิล์ม แล้วก็ดาวน์รถกระบะมาคันหนึ่ง เพื่อจะนำมาใช้งาน แต่ปัญหาคือ ผมเอาเงินที่กู้มาไปดาวน์รถ กับแต่งรถ จนเหลือเงินไม่พอเปิดร้าน  เครียดเหมือนกันนะ  มานั่งทบทวนตัวเองดูว่า นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่  ซึ่งมันก็เป็นช่วงเดียวกับรถกระบะคันที่ผมเอาเงินทำร้านไปแต่งรถคันนี้  ผมลองเอาไปวิ่งสนาม โดยให้ เบส เทอร์โบยำ ขับ ปรากฏว่าชนะที่ 1  ทีนี้บันเทิงเลย  ส่วนตัวชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย  ก็เริ่มให้น้ำหนักชีวิตมาที่การแข่งรถ ไปสนามบ่อย รถวิ่งดี ติดอันดับ ก็เริ่มมีคนรู้จักว่ารถคันนี้ของ “บอย ฟิล์ม” จากนั้นผมก็ตัดสินใจเปิดอู่ทำรถที่บ้านผมเลยครับ  ส่วนฟิล์มก็ให้ลูกน้องเป็นคนวิ่งงานรับติดนอกสถานที่เช่นเดิม ผมทำหน้าที่รับงาน แล้วเรียงลำดับคิวงาน ส่งให้ลูกน้องไปทำครับ

การที่ผมทำแบบนี้ ผมมองว่าเราไม่จำเป็นต้องทำคนเดียวทุกงาน ในเมื่องานบางชิ้นเราสามารถกระจายออกได้ แล้วเอาเวลาที่แบ่งเบาภาระจากงานนั้น ไปหารายได้เพิ่มในช่องทางอื่นดีกว่า ในยุคที่เริ่มต้นทำอู่ ผมก็สั่งของแต่งมาลองทดสอบ ก็ไปเจอกับหัวฉีดคุณภาพสูง ซึ่งผมลองทดสอบซ้ำไปซ้ำมา จนมั่นใจได้ว่ามันแรงกว่าของเดิมติดรถ  ผมก็เลยนำเข้าหัวฉีดนี้มาขายภายใต้ชื่อแบรนด์ของผมว่า GTX จนได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

การเปิดอู่ของผมก็เริ่มเจอปัญาหาตามมาระลอกที่สอง ในเรื่องของกลิ่น เสียง ควัน รบกวนเพื่อนบ้าน  ผมก็เลยต้องออกมาหาเช่าที่เพื่อทำอู่ ก็คือที่ตั้ง ณ ปัจจุบัน  แต่ในตอนแรกเป็นอู่ทำรถ ส่วนงานฟิล์มก็ยังคงรับติดตามบ้านเช่นเดิม พอมีอู่เป็นกิจจะลักษณะแล้ว เดินสายสนามแข่งบ่อยมาก ติดถ้วยรางวัลกลับมาประดับอู่ตลอด ทำไปทำมาเริ่มเบื่อ ประกอบกับผมเริ่มซื้อรถที่ชอบมามากมาย ก็เลยลองไปจับธุรกิจเต็นท์รถดู มันก็โอเคนะ แต่มันตัดไม่ขาดกับรถซิ่ง  สักพักผมก็กลับมาสู่วงการรถซิ่งเหมือนเดิม  มันเป็นช่วงที่คอมมอนเรลเริ่มมันส์เต็มระบบ  มีรุ่นการแข่งขันมากมาย แต่ในตอนนั้นเครื่องยนต์ดีเซลของแต่งมันยังมีน้อยอยู่ ยังไม่มีใครให้ความสำคัญในเรื่องของ Hi Performance คือถ้าพังก็เปลี่ยน หรือไม่ก็โมดิฟายเพิ่ม แต่ยังไม่มีใครกล้าที่จะสั่งผลิตสร้างชิ้นงานด้วยวัสดุ Hi Performance ขึ้นมา จากตรงจุดนี้ ผมมองว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อพัฒนาเครื่องยนต์ให้ทนทานกว่านี้ ไม่งั้นก็จะโมรถได้แค่เท่าเดิม พอเกินกว่านี้ไปก็พัง ผมเริ่มทำตลาดนำเข้าก้านสูบมาจำหน่ายก่อนเป็นอย่างแรก เป็นวัสดุ Forged ทนทานกว่าของเดิมอย่างแน่นอน ซึ่งตอนที่ผมคิดว่าสั่งเข้ามาจะมีคนซื้อมั้ย มันก็กลัวๆ เหมือนกันนะ  แต่ในใจคิดว่า ลุยมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ไปต่อก็คงไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน หลังจากก้านสูบประสบความสำเร็จ ก็ได้คุยกับ หนุ่ย เป๋อ ตอนนี้เครื่องยนต์โมดิฟายมีปัญหาจุดไหนบ้าง ซึ่งหนุ่ยก็บอก ตอนนี้ถ้าบูสต์ เยอะ วิ่งได้ไม่เกิน 2 รัน ก็ลูกแตก ผมก็เอาปัญหานี้มาคิด แล้วก็ติดต่อไปยังต่างประเทศ  เพื่อสั่งลูกสูบ Forged เข้ามา ผมก็กลัวเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นของที่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน ใส่แล้วจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ หนุ่ย เป๋อ เป็นคนลองลูกสูบผม ซึ่งก็ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มบูสต์ได้มากขึ้นจากคอมมอนเรล เกียร์ซิ่ง ไม่ฉีด วิ่งกัน 9 วิ.ต้นๆ ก็ขยับลงมาที่เลข 8 วินาที  กำแพงเลข 9 พังลงแล้ว ผมดีใจมากนะ

“ตอนนี้ผมรู้สึกภูมิใจ ที่ต่างประเทศให้การยอมรับ อาทิ
ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ติดต่อนำของผมไปขายแล้วครับ”

แต่ก็บอกก่อนว่า คนก็ยังไม่เชื่อ  คือมันเป็นอะไหล่ที่อยู่ข้างในเครื่องยนต์ เป็นอะไรที่มองไม่เห็นด้วยตา ก็จะสร้างศรัทธายากหน่อย จนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเองถึงจะรู้  ซึ่งจุดนี้แหละการตลาดของผมได้มาจากการทดลองใช้จากพี่ๆ น้องๆ ในวงการ แล้วบอกกันปากต่อปากมากกว่าครับ  ผมไม่เคยโกรธนะ คนที่ไม่กล้าใช้ เพราะผมเข้าใจดี  ถ้าผมเป็นเจ้าของอู่แล้วนำมาใช้กับลูกค้า แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา ก็ต้องมารับผิดชอบให้กับลูกค้าอีก  เงินไม่ใช่น้อยๆ สำหรับเครื่องยนต์หนึ่งตัว  แต่ในที่สุดผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ MRX ก็สามารถเดินได้ด้วยชื่อแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งหลังๆ มา ก็มีอะไหล่ซิ่งอีกหลายประเภทออกมาให้เลือกใช้กันครับ

ในที่สุดก็มาถึงของชิ้นใหญ่  นั่นคือข้อเหวี่ยง ของที่ใช้กันมันคือเหล็กหล่อ ผมคิดว่าถ้าเกิดเปลี่ยนวัสดุเป็น Forged เหมือนกับที่ผมเคยทำกับชิ้นส่วนต่างๆ ล่ะ  ซึ่งผมมองว่าแบรนด์ดังๆ ก็มีข้อเหวี่ยง Forged เหมือนกัน ทำไมเครื่องคอมมอนเรลจะมีมั่งไม่ได้  ผมถามพี่ๆ หลายคน เค้าบอกผมบ้า  มันเป็นเรื่องใหญ่มาก  เพราะต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล ไม่ใช่ว่าสั่งทำแล้วจะสร้างขึ้นได้เลยนะ มันต้องมีค่าใช้จ่ายขึ้นโมลด์ก่อนอีก แค่ขั้นตอนนี้แจ้งตัวเลขมาก็สะดุ้งแล้ว มันคือความเสี่ยงที่พร้อมจะหายวับไปกับตา แต่ผมมั่นใจว่าเดินมาถึงขั้นนี้เลย ประสบการณ์สอนอะไรมาหลายอย่าง ถ้าไม่ปัง พังกันไปข้างนึง เมื่อสำเร็จออกมา หนุ่ย เป๋อ เป็นคนทดสอบให้เช่นเดิมครับ ซึ่งตั้งแต่ผมทำตลาดเรื่องอะไหล่ซิ่งมา ผมบอกกับทุกคนที่รู้จักว่า จะมีของซิ่ง นู่น นี่ นั่น เข้ามา มีใครอยากนำไปลองใช้มั้ย? คำตอบที่ได้รับกลับมาเสมอคือ “พี่บอย ให้คนอื่นลองก่อนเลยครับ ถ้าผ่านเดี๋ยวผมใช้” ผมจำคำนี้ได้เสมอๆ แต่ผมไม่เคยโกรธใครเลย เพราะมันคือความเสี่ยง แต่ลูกค้าทางหนุ่ย เค้าชอบ คือถ้ามีของออกมาใหม่ เค้าจะของลองตลอด  ซึ่งข้อเหวี่ยง Forged เส้นแรก อยู่ในรถ “เก๋ไก๋” ลองขึ้นวัดแรงม้าดู แทบเป็นลม  แรงม้าหาย!! สรุปคือ ไม่ได้ลดกำลังอัด รถมันเลยคับ แว้ดทิ้ง รันแรกแตะพื้น วิ่ง 8.6 วินาที เฮ้ย!! โปรเจกต์นี้มันผ่านได้แล้ว ผมก็ลองถามหนุ่ย ว่ารถอาการเป็นอย่างไรบ้าง เค้าก็บอกว่าเครื่องยนต์นิ่งกว่าเดิม ทุกทีรอบแตะ 4-5,000 เครื่องก็จะสั่นมากแล้ว แต่ใส่ข้อเหวี่ยงนี้ไป นิ่งกว่าเดิมเลย พอเอามาปรับลดกำลังอัด แล้วไล่ใหม่อีกครั้ง เวลาก็ดีขึ้นมาที่ 8.3 วินาที กลายเป็นคำถามเกิดขึ้นมาอีกครั้งว่า สรุป ใช้ข้อเหวี่ยงจริงเปล่า? ผมก็งงว่า ถ้าไม่ใช้แล้วเวลาจะลงได้ไง ทั้งๆ ที่เห็นว่าก่อนหน้านั้น เวลาก็เกาะกลุ่มกันมาตลอด

นิสัยผมก็อย่างที่บอกมา คือไม่ชอบทำตามใคร แล้วถ้าคิดจะทำรถ ผมก็ต้องทำไม่ให้เหมือนกับใคร “ซึ่งถ้าเราทำรถเหมือนเขา เราก็วิ่งเท่าเขา” เป็นคำที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา ถ้าไม่คิดว่าแหวกหรือแตกออก ก็ไม่ต้องคิดว่าจะแรงกว่าเขา ซึ่งในมุมมองผม ผมว่าวงการดีเซลบ้านเรา เค้ายังไม่ค่อยกล้าเปิดรับอะไรใหม่ๆ แล้วก็ไม่กล้าที่จะลองอะไรข้ามขั้น ซึ่งผมมองจากรถต่างประเทศ ความจุเยอะ ยังไงก็ได้เปรียบ  ผมก็เลยซอยข้อเหวี่ยงแบบถี่ยิบ เพิ่มทีละ 50 ซี.ซี. ทำออกมา 5-6 เบอร์ เลย ไปเลือกไล่กันเอาเองตามสไตล์ที่ชอบ จนติดตลาดมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ผมทำการตลาดของซิ่ง สามารถจับต้องได้ทุกคนก็คือ เรื่องของราคา ผมมองว่าเป็นเรื่องหลัก ไม่แพ้เรื่องประสิทธิภาพของวัสดุเลยเช่นกัน ถ้าผมทำราคาอยู่ในเรตเดียวกับของศูนย์ฯ ทุกคนก็สามารถจับต้องได้โดยไม่ต้องตัดสินใจมาก ผมไม่ได้มองว่า ใส่ของผมแล้วจะแรง ผมคิดแค่ว่า ผลิตภัณฑ์ของผมวางไว้เฉยๆ มันก็เสมือนโลหะก้อนหนึ่ง แต่เมื่อทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาอยู่รวมกัน อย่างเหมาะสม มันก็จะแสดงพลังในตัวของมันออกมาให้เห็นครับ

“ผมเสมือนคนส่งเนื้อ มีแค่วัตถุดิบมาเสิร์ฟ
หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเชฟปรุงรสชาติไป
ในสไตล์ที่เค้าอยากจะให้เป็น ผมมีวันนี้ได้
เพราะทุกคนร่วมสนับสนุนครับ”

ณ ปัจจุบัน MRX ได้ขยายมาสู่เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งผมบอกเลยว่าเป็นตลาดที่ยากมาก เพราะภาพติดตาที่ทุกคนคุ้นเคยมาจากดีเซล  ผมเริ่มต้นที่ ลูก ก้าน ข้อ สำหรับเครื่องยนต์ L15 ก่อนเลย ครั้งแรกออกมาทุกคนแฮปปี้ แรงม้าเยอะ แต่ปรากฏว่าวิ่งเวลาไม่ดี  ก็มองว่าสรุปมันดีจริงมั้ย? ผมมองว่า ทำไมไม่ลองไล่อัตราทดเกียร์เฟืองท้ายเข้าหาล่ะ ทุกอย่างมันต้องสัมพันธ์กันไม่ใช่เหรอ เครื่องแรงอย่างเดียว มันจะวิ่งเวลาดีได้อย่างไร ผมก็เลยทำรถขึ้นมาคันหนึ่ง Honda Brio โดยให้ หนึ่ง บ้านสวน เป็นคนทำ  ปรากฏว่า ยิ่งไล่รถ ยิ่งหาเจอ  ทุกๆ ครั้งที่แตะแทร็ก เวลาจะลงทุกครั้ง  ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ทุกคนก็เห็นอยู่ว่ารถคันนี้วิ่งอยู่เท่าไหร่ครับ จะเห็นได้ว่าผมทำคนเดียวไม่ได้ ผมก็เสมือนกับคนส่งเนื้อคนนึง มีแค่วัตถุดิบมาเสิร์ฟ หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเชฟปรุงรสชาติไป ในสไตล์ที่เค้าอยากจะให้เป็น เพื่อเสิร์ฟความอร่อยส่งถึงลูกค้าครับ ก็ต้องบอกว่า ผมมีวันนี้ได้ เพราะทุกคนร่วมสนับสนุนครับ”

จริงๆ เรื่องราวที่คุยกันวันนั้นมีมากมายเหลือเกิน เค้าผ่านอะไรมามากมาย  เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ผมเห็นเค้าทำมากกว่าพูด สิ่งที่จะพิสูจน์คุณค่าของคน มันอยู่ที่เวลาเป็นเครื่องกำหนดทุกอย่าง  ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่ทำ ไม่ไปกระทบให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน ก็ลุยเลยครับ