My Name is … Formula Drift Asia

Formula Drift Asia เกิดขึ้นจากกระดาษเช็ดปาก!!!!!

ที่นี่เค้าแข่งกันแบบนี้ คุณจะมาบังคับให้เป็นในแบบที่คุณต้องการได้ไง

Formula Drift World Championship 2015  แข่งกัน 10 สนาม อเมริกา 7 สนาม เอเชีย 3 สนาม

 

งานระดับพรีเมียม! ต้นปี 2014 Formula Drift Asia ที่ยกพลหลากสัญชาติมากระหน่ำคันเร่ง! บนโลกเกชั่นใหม่กริบ “ปทุมธานี สปีดเวย์” พร้อมกับแว่วข่าวเข้าหูว่าทางผู้จัดจะยกระดับงานให้ “มันส์ ใหญ่ มาก” ขึ้นกว่าเดิม มันจึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นประเด็นร้อน!! ของที่มาในการยกระดับของงาน ไปสู่คำว่า World Championship…

ความคุ้นเคยของชื่องาน Formula Drift Asia ทำให้มีแฟนคลับติดตามข่าวสารการแข่งขันในรายการนี้มาโดยตลอด  ซึ่งมันสนุกตรงที่รูปแบบของการแข่งขัน รวมทั้งตัวนักแข่งเองก็มีหลากหลายสัญชาติ ต่างลงมาร่วมชิงชัยกันในงานนี้  และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Formula Drift Asia ก็ยกทัพมาระเบิดความมันส์กันที่สนาม “ปทุมธานี สปีดเวย์” สนามแข่งขันน้องใหม่ล่าสุด ย่านปทุมธานี (ทางด่วนเชียงราก-ธรรมศาสตร์ รังสิต) ที่สามารถรองรับการแข่งขันในรูปแบบดริฟต์และยิมคานาได้เป็นอย่างดี

แน่นอน การเดินทางมาเยือนรายการ Formula Drift Asia จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อได้คุยกับคณะผู้จัด  ให้ทราบถึงต้นกำเนิดของงาน ความเป็นมา และโครงการในอนาคต ว่ามีทิศทางเป็นเช่นไร  ซึ่งทางเราเองก็ไม่เคยสัมผัส และรู้จักตัวตนของทีมผู้จัดมาก่อนหน้านี้เลย จึงต้องร้อนรนให้ผู้ที่คร่ำหวอดในสายดริฟต์ อย่าง “จิมมี่” (James Laohongthong) หนึ่งในทีม XOD เป็นผู้ประสานงานทุกขั้นตอนในการนัดสัมภาษณ์หัวเรือใหญ่ Formular Drift Asia ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ Mr.Marcus Lim (Co-Founder), Mr.Jeremy Soh (Competition Director), Mr.Jason Chew (Operations Director)

Mr. Jeremy Soh

หัวข้อในการสัมภาษณ์ทั้ง 3 คนในวันนั้น ถูกสรุปใหม่  ปรับจากภาษาพูดของทั้ง 3 ท่าน ให้กลายเป็นภาษาเขียน อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ และบทความต่อไปนี้ คือที่ทั้ง 3 ท่านได้ให้สัมภาษณ์กับทีมงาน XO AUTOSPORT ในวันนั้นครับ  “มองย้อนกลับไปเมื่อ 6-7 ปีก่อน ก็ไม่ได้คิดกันว่าจะมาทำอะไรแบบนี้เลย  แต่คิดไปแล้ว มันก็เหมือนพรหมลิขิตมากกว่า ที่ทำให้พวกเราได้มาอยู่ตรงนี้ โดย Mr. Marcus และ Mr.Jeremy เป็นญาติกัน ถูกดึงตัวเข้ามาช่วยงาน ตัว Mr. Marcus เองนั่นแหละที่เป็นผู้ที่รู้จัก Formula Drift USA และได้คลุกคลีอยู่กับตรงนั้นตั้งแต่ในยุคที่เค้ายังทำงานอยู่ที่อเมริกา  และเมื่อเค้าได้ย้ายงานกลับมาทำต่อที่สิงคโปร์  ก็บังเอิญได้ทำธุรกิจร่วมกับ Mr.Jason ซึ่งบอกเลยว่าธุรกิจที่ทำไม่ได้สอดคล้องกับแนวทางของมอเตอร์สปอร์ตเลย แต่บังเอิญว่ามีความชอบในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งคู่  ก็เลยคุยกันถูกคอ และได้ลองเชิงจัดงานรถขึ้นมางานนึง  โดยที่ไม่อิงไปถึงในรูปแบบของการแข่งขัน คล้ายๆ กับว่าเป็นการขับรถโชว์มากกว่า  แต่ว่าจุดหักเหของงานมันเกิดจากตรงนี้แหละ  เนื่องจากว่านักแข่งที่ตกลงไว้ว่าจะมาขับรถโชว์เกิดถอนตัวออกไปกลางคัน   ก็เลยต้องหาคนมาขับรถโชว์แทนตามรูปแบบของงานที่จัดเตรียมไว้   ซึ่งหาตัวแทนมาได้คนนึง เป็นคนญี่ปุ่น ตัวเค้า 2 คนเองก็ไม่รู้จักหรอกนะว่า คนที่มาขับรถแทนให้นี่คือใคร รู้เพียงแต่ว่าชื่อ Mr.Orido ก็เลยทำการบ้าน ลองค้นหาว่า คนนี้เค้าเป็นใครมาจากไหน ก็เลยได้รู้คำตอบว่า เค้าเป็นนักแข่งระดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น ในวงการ Drift  เลยส่งผลทำให้รูปแบบของงานที่เค้าจัดขึ้นในครั้งนี้ กลายเป็นงาน Drift โชว์ไปโดยปริยาย… แต่นั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Formula Drift เลย เพราะงานที่เค้าทั้ง 2 คน จัดขึ้นมานี้ เป็นการจัดกันแบบเล่นๆ ตอบสนองความชอบและความเป็นตัวเองมากกว่า…

หลังจากนี้ไม่มีอะไรสานต่อ…จนเวลาลุล่วงไป 5 ปี เค้าทั้งสองได้มีโอกาสมานั่งคุยกันอีกครั้ง โดย Mr.Jason ได้ถาม Mr. Marcus ว่าทำไม? ไม่ลองติดต่อ Mr.Jim ซึ่งเป็นเจ้าของ Formula Drift USA มาจัดในเอเชียบ้าง?  ซึ่งจุดกำเนิดมันเกิดจาก “กระดาษเช็ดปาก!!” เพราะเค้าทั้งสองทานข้าวแล้วคุยกัน จดทุกอย่าง รายละเอียด ค่าใช้จ่าย ลงใน “กระดาษเช็ดปาก” ที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ณ เวลานั้น   อุปนิสัยของทั้ง 2 คนนี้เป็นคนที่ซีเรียสและตั้งใจทำงานมาก ดังนั้น เมื่อจะเริ่มทำงานอะไรสักอย่าง เค้าจะคำนวณทุกอย่างอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด จนถึงไม่ผิดเลย โดยที่ทั้ง 2 คน ก็จะมีความพิเศษเฉพาะด้านแตกต่างกันไปคนละแบบ อย่าง Mr.Jason จะถนัดในด้านการจัดการทุกรูปแบบ ส่วน Mr.Marcus ก็จะถนัดในด้านธุรกิจเป็นหลัก  ก็เลยแบ่งงานกัน พร้อมกับติดต่อไปทาง Mr.Jim เจ้าของ Formula Drift USA  ถึงการจัดการแข่งขันในประเทศสิงคโปร์ จากจุดนี้เองก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า  ใหม่ทั้งคู่สำหรับผู้จัดการแข่งขัน เพราะไม่เคยจัดการอะไรในรูปแบบของการแข่งขันมาก่อนเลย  เพียงแค่นำประสบการณ์ของงานที่ถนัดมาปรับให้เข้ากับรูปแบบในการทำงานแข่งเท่านั้นเองครับ

Mr.Jason Chew

หลังจากทุกอย่างเริ่มเป็นสัดส่วน ก็ถึงเวลาที่ Mr.Marcus จะเดินทางไปงาน SEMA SHOW ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเจรจากับทีม Formula Drift USA  ถึงการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งทางฝั่งอเมริกาเองก็ไฟเขียว เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อยากให้ไปเกิดขึ้นในทางฝั่งเอเชีย หลังจากที่เจรจาเรื่องลิขสิทธิ์รูปแบบการจัดงานจบในวันนั้น พวกเค้ามีเวลาเตรียมเพียงแค่ 3 เดือน ในการจัดการแข่งขัน Formula Drift ที่สิงคโปร์  ซึ่งก่อนหน้านี้บอกได้เลยว่า ไม่เคยมีงานไหนที่คุมเข้มในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยของนักแข่งเอง และรถแข่งได้เท่ากับงานที่จัดขึ้นในครั้งนี้เลย  มันเปรียบเสมือนการปฏิวัติวงการ อุปกรณ์การแข่งขันทุกอย่างต้องผ่านการรองรับมาตรฐานจาก FIA ถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันได้ตามแบบฉบับของมืออาชีพ  ซึ่งก่อนหน้านี้คนที่ชอบ Drift ทั้งหลาย ก็จะไปลานกว้าง มาขับเล่นกันตามท้องถนน  ซึ่งเค้ามองว่ามันไม่มีจุดหมาย ก็เลยอยากจะเชิญชวนให้คนที่ชื่นชอบการแข่งขันในสไตล์นี้ ได้มีระเบียบการวางแผนตามแบบฉบับการแข่งขันที่ถูกต้อง มีรางวัลได้อย่างสง่าผ่าเผย มีชื่อเสียง รวมทั้งผู้คนให้การสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายในการลงการแข่งขันได้อีกด้วย…

และอีกจุดมุ่งหมายของเค้า เป็นการเชิญชวนนักแข่งระดับโลกได้เข้ามาแข่งขัน เพื่อที่นักแข่งจากเอเชีย จะได้มีโอกาสแข่งขันกับนักแข่งระดับโลกที่มีคุณภาพ อาทิ Mr.Daigo Saito เพื่อให้นักแข่งทั่วไปได้มีโอกาศแข่งขันกับนักแข่งระดับโลก  ซึ่งถ้าไม่มี Formula Drift Asia เกิดขึ้น คุณก็จะแข่งอยู่ในประเทศของคุณเอง  ชนะที่ 1 ก็ในประเทศของคุณ ซึ่งตัวคุณเองก็จะไม่รู้เลยว่าฝีมือคุณเองนั้นอยู่ในระดับไหนของเอเชีย…

สำหรับการจัดการแข่ง Formula Drift Asia ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะเลือกสถานที่จัดที่ไหนก็ได้  ทุกๆ อย่าง ต้องสามารถกวนให้เข้ากันในสัดส่วนที่ลงตัว จึงจะสามารถจัดงานได้ และที่สำคัญคือ การหาหุ้นส่วนที่เข้ามาร่วมในการจัดงาน ต้องเป็นคนที่ชอบ และ เชื่อในสิ่งเดียวกัน จึงคุยภาษาเดียวกัน และพร้อมที่จะก้าวเดินหน้าไปได้ด้วยกัน  จากความเชื่อมั่นในจุดนี้ ทีม Formula Drift Asia ได้คุยกับทางกรังด์ปรีซ์กรุ๊ป (GPI) ไว้ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว  การแข่งขันในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นครับ…

ถ้าถามถึงความแตกต่างของ Formula Drift USA กับ Formula Drift Asia  ก็ต้องบอกเลยว่าแตกกันอย่างสิ้นเชิง  แต่ในเร็วๆ นี้ เค้าจะเอาทั้ง 2 งานนี้มารวมกัน  ซึ่งก่อนหน้านี้ กฎ กติกา หลายๆ ข้อ เค้าทำมาเพื่อเอื้อให้กับคนเอเชีย  แต่ในปี 2015 คือปีหน้าที่จะถึง จะถูกยกระดับขึ้นเป็น World Championship ดังนั้นกฎ กติกา ต่างๆ ก็ต้องยึดหลักตามแบบต้นตำรับอเมริกา เรื่องของการเก็บคะแนนสะสมก็ต้องมีทั้งอเมริกาและ เอเชีย เพราะฉะนั้น การจะคว้าแชมป์ประจำปีก็ต้องเก็บแต้มให้ครบทุกสนามครับ

 

การจัดการแข่งขันในช่วงแรกๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็ประสบปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องของกฎ กติกา เพราะในแต่ละประเทศ “ชิน” กับคำว่า “ที่นี่เค้าแข่งกันแบบนี้ คุณจะมาบังคับให้เป็นแบบที่คุณต้องการได้ไง” แต่เพื่อความเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด  ทีมผู้จัดก็เคร่งครัดในจุดนี้มาก เพื่อให้นักแข่งทุกคน ทุกประเทศ อยู่ภายใต้ กฎ กติกา มาตรฐานเดียวกันครับ  นับแต่ครั้งแรกจนมาถึงในปัจจุบัน  จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน  เมื่อก่อนทุกคนจะคิดว่า แข่งขันเพื่อตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่!! มันเป็นเรื่องของทีม!! เป็นสัญญาณการพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง

การแข่งขันถ้าคุณได้แข่งกับนักแข่งที่เค้ามีประสบการณ์มากกว่า มันก็จะเป็นการพัฒนาให้คุณไปในตัว ซึ่งประเทศไทยเอง เป็นประเทศที่มีนักแข่งออกไปแข่งนอกประเทศมากที่สุดในแถบเอเชีย เราจึงเห็นการพัฒนาของนักแข่งไทยได้อย่างเร็วมาก ซึ่งมันก็สอดคล้องกับการยกระดับขึ้นไปเป็น Formula Drift World Championship 2015 โดยตารางการแข่งขันแบ่งมาเก็บคะแนนในอเมริกา  7 สนาม และในเอเชีย 3 สนาม ประกอบไปด้วย ประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น ส่วนอีกหนึ่งสนามกำลังรอสรุปอยู่ว่าจะเป็นประเทศอะไร มันเปรียบเสมือนการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะทีมแข่งจากอเมริกาก็จะต้องมาแข่งขันในประเทศไทยเหมือนกันครับ”

 

เอาล่ะ ก็ได้ทราบตัวตนของ Formula Drift Asia กันไปแล้วนะครับ  มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ปีหน้าวงการดริฟต์บ้านเรา จะขยับขึ้นมาอีกขั้น  ก็เตรียมตัวกันให้พร้อมกับการก้าวไปสู่ World Championship กันนะครับ  ซึ่งการแข่งขันในปี 2014 นี้ เป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่อง ปรับสภาพร่างกายให้พร้อมต้อนรับของจริง ที่จะได้ก้าวไปแข่งขันกับนักแข่งที่มีชื่อเสียงระดับโลกในปีหน้าครับ…