Story : T.Aviruth (^_^!)
Photo : ธัญญานนท์ แสงภู่
หากวันนึงไม่มีรถซิ่งบนโลกอีกต่อไป… ฉันจะเลิกเล่นรถ…
ด้วยความสนิทกันมานาน ส่วนตัวผมจะเรียก #มนุษย์รถซิ่ง คนนี้ว่า “กอล์ฟ” เพราะนั่นคือชื่อเล่นของเค้า ส่วน “ทวย” หรือ “ประทวย” ที่เรารู้จักกัน นั่นเป็นเพียงฉายา ตั้งแต่รู้จักกันมา จำได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยคิดจะหยุดแต่งรถเลย รถอะไรที่มีในบ้าน จับแต่งหมด ผมว่าผู้ชายคนนี้เค้า “Born To Be” นะ เกิดขึ้นมาเพื่อแต่งรถโดยเฉพาะ!!
“รถซิ่งในมุมมองของผม ต้องขับใช้งานได้”
ความคุ้นเคยที่สนิทกัน จนทำให้กอล์ฟเสมือนเป็นหนึ่งในทีมงานของ XO Autosport แล้วพวกเราทุกคนก็เห็นวิวัฒนาการของเค้ามาตลอด ไม่ว่าจะเดินทางไปงานที่ญี่ปุ่น หรืออีเวนต์ต่างๆ เค้าก็มีสปิริตมาร่วมงานโดยตลอด เพราะความสนิทนี่แหละ จึงไม่มองว่าอีกมุมนึงของเค้ากับคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง จนวันนึงผมลองมาดู “กอล์ฟ” ในมุมที่คนอื่นรู้จัก ไม่ใช่ในมุมที่ผมสนิท ผมว่าเขาเป็นคนนึงในวงการรถซิ่งที่มีคนรู้จักมากแบบน่าตกใจ และเมื่อลองมาทบทวนดูแล้ว ผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะได้รู้จัก กอล์ฟ ทวย ประทวย หรือแล้วแต่สถานะความสนิทจะเรียกเขาอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ
หลังจากงาน Singha Connection Idle Street #รถซิ่งขึ้นตึก จบลง ผมก็แพลนว่าอยากจะทำคอลัมน์ My Name is… ต่อเนื่องเลย ก็เลยวางแผนที่จะเอา 200SX Rocket Bunny มาร่วมประกอบในคอลัมน์ด้วย เพราะถ้าถ่ายชีวิตเด็กรถซิ่งแล้วไม่มี รถมันก็จะกระไรอยู่ ส่วนโลเกชั่นตั้งใจไว้ว่า จะไปย่านเยาวราช วนๆ แถวท่าน้ำราชวงศ์ แล้วก็มาเลิกกองกันที่ “เอี่ยมโภชนา” วงเวียน 22 ซะหน่อย… แต่ก็เกิดอาการผิดแผน รถพระเอกดัน “ถุงลมรั่ว” ระหว่างเดินทางมา เลยต้องมาวางแผนปรับกลยุทธ์การถ่ายงานนี้ใหม่ ไม่มีเลิกง่ายๆ ก็ตกลงกันว่ามาเจอกันปั๊ม Shell แจ้งวัฒนะ ระหว่างเยาวราชไป แจ้งวัฒนะ นี่มันคนละทิศเลยนะ แต่ว่าไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ลุยต่อเลยแล้วกัน ในใจคิดว่าโลเกชั่นไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ก็คงต้องไปวัดใจกันที่หน้างานเลยแล้วกัน
เมื่อมาถึงปั๊ม Shell มองเข้าไปก็เห็น Burger King ตั้งเด่นตระหง่าน ในใจคิดว่ารอดแล้วคืนนี้ ทั้งรูปถ่ายและของกิน ซึ่งผมมาถึงทีหลัง รถ 200SX กำลังเซตถุงลมใหม่อยู่หน้า Burger King ผมอาศัยช่วงเวลาที่กำลังเซอร์วิสรถกัน ชวนกอล์ฟมานั่งคุยในร้าน พร้อมกับสั่ง Hash Browns พร้อมเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นช่วงโปรโมชั่นลด 50% ก็อร่อยดี ไม่อ้วนฟรี กันไป ผมถามกอล์ฟว่า ชีวิตเอ็งเริ่มต้นกับรถมาตั้งแต่ตอนไหน? “ชีวิตกับรถของผมเหรอ… มันเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ม.1 ก็เริ่มขับรถไปเรียนแล้ว แต่ไม่ได้ขับไปทุกวัน เป็นรถกระบะ Isuzu Station Wagon ผมมีหน้าที่ขับอย่างเดียว ส่วนพี่ชายผมเค้าก็เริ่มเอารถคันนี้ไปแต่งบ้าง โหลดเตี้ย เปลี่ยนแม็ก เครื่องเสียง ตามยุคสมัย ผมขับไปเรียนจนถึง ม.4 ก็เริ่มออกมาดูรถซิ่งกลางคืน รถผมเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ก็เอาไว้อัดรถเล่น ยุคนั้นนิยมมาอัดรถกันแถวถนนแจ้งวัฒนะ เกษตร-นวมินทร์ แล้วก็บางใหญ่ แต่รถผมเครื่องยนต์พัง ซึ่งมันเป็นช่วงที่ผมคลุกคลีอยู่กับพวกเคาน์เตอร์เฟด แถบๆ เมืองทองธานี ส่วนใหญ่เค้าทำรถกับ พี่เอ๋ Pro Street ผมก็ได้รู้จักกับพี่เค้าตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยเอารถเข้ามาทำกับพี่เอ๋ จำได้ว่าเข้ามาครั้งแรกก็ยกดีเซล เทอร์โบออก แล้ววาง 1JZ-GTE เกียร์ธรรมดาเลย เล่นสเต็ปเทอร์โบเดิมไปก่อนในตอนแรก พอเทอร์โบพังก็ขึ้นเป็นเทอร์โบเดี่ยวเลย ชีวิตผมเริ่มเข้มข้นเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปี 1 เพราะเป็นการเริ่มต้นเอารถลงไปวิ่งในสนามครั้งแรกที่สนามเฉพาะกิจ สหพัฒนพิบูล จังหวัดชลบุรี แล้วก็ไปสนามบ่อพลอย ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันเป็นช่วงขาลงของแดร็กในบ้านเรา ในตอนนั้นเวลาไปสนามแข่งก็ไปกับ “พี่แม็ค Mactec” ตลอดนะ ที่ไหนมีแข่ง ผมก็ตระเวนไปเรื่อยๆ
จนมาวันนึง “พี่ก้อน” เค้าคือเจ้าของรถ Cefiro ลายหนุมาน คันที่ทุกคนรู้จัก เค้าเอารถคันนี้มาทำที่พี่เอ๋ ผนวกกับว่าผมเป็น “ตัวขี่” ทดลองรถที่อู่อยู่แล้วด้วย เค้าก็เลยให้ผมขับรถคันนี้ โดยตอนแรกที่เริ่มวิ่งในงาน Souped Up จะเป็นหัวเดิม เครื่อง JZ เทอร์โบเดี่ยว เกียร์ธรรมดา วิ่ง 9 วินาที ตอนนั้นยังคาดลาย Prostreet ข้างรถอยู่ พอเปลี่ยนเป็นหัว R32 ถึงจะคาดลายหนุมาน หลังจากนั้นก็ปรับสเต็ปไปเรื่อยอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งหลังๆ จะเห็นว่าผมมาเริ่มเล่นดริฟต์ด้วย นั่นเป็นเพราะว่า ในระยะหลังๆ คันหนุมานจะวิ่งงานใหญ่เพียงครั้งเดียวใน 1 ปี เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลือคือว่าง หลายๆ คนที่อู่ก็อยากให้ผมมาเล่นดริฟต์ในช่วงเวลาที่ไม่ได้แดร็ก ผมเองก็นิ่งๆ นะ ตอนนั้นมี พี่นนท์, แมน, นู, มอส, เชล ที่ทำอยู่ในตอนนั้น พี่เอ๋, พี่ก้อน ก็บอกให้ผมไปลอง ตัวผมเองก็มีรถ Cefiro อยู่คัน ตั้งใจว่าคันนี้จะเอามาทำรถแดร็ก สเต็ป RB25 เอาไว้วิ่งเล่นแต่ละเดือน แต่ก็คาไว้ไม่ได้ทำสักที พี่เอ๋ไม่ยอมทำให้ จนผมบอกกับเค้าว่า พี่ทำเลย เดี๋ยวผมจะเอาไปดริฟต์ เท่านั้นแหละ เดือนเดียวเสร็จ!! เครื่อง RB25 720 แรงม้า ถ้าถามผมถึงระหว่างแดร็กมาดริฟต์ สเต็ปเครื่องยนต์ผมว่าไม่ต่าง แดร็กเนี่ยผมขึ้นไปขับก็ไปได้เลยนะ เป็นเพราะอยู่กับมันมานาน แต่พอดริฟต์เนี่ยสิ อาการรถคือตั้งใจให้ขวาง ผมว่ามันยาก คือการที่รถเสียอาการอย่างตั้งใจ แล้วต้องบังคับมันไปในทิศทางที่ต้องการ หน้าชิดยังไม่เท่าไหร่เพราะมองเห็น แต่ตูดชิดนี่สิกะยากมาก แต่ถ้าดริฟต์โดยไม่มีข้อบังคับ อันนั้นมันง่าย การดริฟต์ผมว่าอยู่ที่ชั่วโมงบินเลย ประสบการณ์ การฝึกฝนล้วนๆ เลย แต่ส่วนรถแดร็กเนี่ย ถ้ารถที่พร้อมจะแข่งอยู่แล้ว ผมว่าคนใจถึงๆ โดดขึ้นจับจังหวะแป๊บนึงก็ขี่ได้นะ แต่รถดริฟต์ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานยังไงก็ไปไม่ได้
“ตอนเรียน ม.กรุงเทพ ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งคาร์คลับ BU และก็ผมเป็นที่ประธาน Gods Racing Team
เพื่อนๆ ในกลุ่มตอนนั้นก็เรียกผวนผมตอนนั้น
“ประทวยหัวคาน” ซึ่งก็จะรับรู้กันในกลุ่ม จนวันนึงเพื่อนผมมาหาผมที่อู่ Prostreet แล้วก็เรียกให้
“ไอ้โก้” ได้ยืน จากนั้นแหละ… รู้จักกันทั้งวงการ”
และอย่างที่ทุกคนเห็นว่า ปลายปีที่ผ่านมาผมขับ RX-7 ได้อันดับ 1 ในรุ่น Pro 4 ซึ่งโปรเจกต์นี้เกิดจาก “พี่เป๊ก” เจ้าของรถ RX-7 คันนี้แหละ อยากให้รถคันนี้วิ่งได้ในงาน Souped Up ก็เลยส่งมอบรถคันนี้ให้พี่เอ๋ เป็นผู้ดูแล โดยมีพี่โจ เป็นคนจูนรถให้ ซึ่งระยะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดมาก จนไม่มีเวลาซ้อมเลย คือว่ายกรถมาสนามก็คือวันงานเลย คือ วิ่งควอลิฟายเลย แล้วตัวผมก็ไม่เคยขับเครื่องยนต์โรตารี่ที่ทำเยอะขนาดนี้เลย แล้วด้วยนิสัยเครื่องยนต์โรตารี่กับเครื่องยนต์ลูกสูบ มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เครื่องลูกสูบตอนยิงมิสไฟร์แช่ไว้ รอบจะขึ้นเรื่อยๆ แล้วบูสต์ก็จะขึ้นตามรอบ แต่นิสัยเครื่องยนต์โรตารี่มันไม่ใช่น่ะสิ พอยิงมิสไฟร์ ปังแรก รอบจะขึ้นพีกสุด พอปังที่สอง รอบเครื่องก็เริ่มถอยหลังลง แต่บูสต์อยู่กับที่ คือผมก็ท้อนะ เพราะไม่เข้าใจในตอนแรก กดดันมากนะ เพราะตอนไปวิ่งที่บุรีรัมย์ ตอนวิ่งรันที่ 2 ผมก็พยายามแก้ไข ปรับตัวนะ บอกตรงๆ นะ ท้อมาก จะต้องทำยังไง เพราะถ้าแช่มิสไฟร์นานไปรอบ ก็จะร่วง บูสต์จะคงที่ พอชักคลัตช์ออกตัว มันไม่มีรอบเครื่องยนต์รถก็จะห้อย เกียร์ดีดออก ทุกอย่างก็จบ หลังจากวิ่งรันที่ 2 เสร็จ ผมคิดไรไม่ออกแล้ว ก็ขึ้นไปนอนบนรถตามนิสัยปกติ ก่อนผมแข่งจะนอนก่อนทุกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา มันนอนไม่หลับ สมองคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำยังไงกับรันสุดท้าย ก็เลยเปิด YouTube ดู ว่าเค้าทำกันยังไงถึงออกตัวได้ ผมกรอดูแล้วดูอีก ก็เห็นว่าเค้ายิงมิสไฟร์แล้วก็ออก เหมือนกันนี่หว่า แต่ทำไมผมออกไม่ได้เหมือนเค้า ไปเปิดเจออยู่คลิปนึง เค้ายิง ปังแรก แล้วปังที่สอง สวนออกเลย ก็เลยคิดว่าเอาวะ ไม่มีไรจะเสียแล้ว วัดดวงเลย ยิงปังเดียวแล้วโดดออกเลยแล้วกัน เป็นไงเป็นกัน ซึ่งนิสัยรถคันนี้ เบิร์นยางแล้ว ล็อกล้อหน้าไม่อยู่ ล็อกได้แป๊บเดียวแล้วรถมันไถไปเลย ผมก็เลยเปลี่ยนนิสัยการเบิร์นยางใหม่ ให้ล้อหลังจุ่มน้ำ แล้วขึ้นจากบ่อน้ำแล้วหยุดเลย เบิร์นบนที่แฉะออกไปเลย เพื่อล้อหลังมันจะได้สปรินต์ให้รอบขึ้นสูงก่อน พอพีกแล้วดันทิ้งยาวเลย 5 เกียร์ เพื่อให้สปีดล้อมันสูงที่สุด อุณหภูมิยางจะได้ถึง เพราะล้อมันล็อกไม่อยู่ พอถอยกลับเข้าเส้นสตาร์ต อยากลองออกนะ แต่ไม่มีโอกาสแล้ว เพราะกฎกติกากำหนดไว้ว่า ให้เลยเส้นสตาร์ตได้เพียงแค่รอบเดียว ผมคิดว่าวัดดวงเลยแล้วกัน รถเข้าเส้น ทำตามที่อยากลองเลย มิสไฟร์ ปังที่สอง ชักคลัตช์ สวนออกเลย เท่านั้นแหละ ในหัวคิดไว้ว่า นี่แหละใช่เลย จังหวะที่ตามหาอยู่ ผมจำได้ว่ามีใครสักคนมาถามผมว่าครั้งนี้จะวิ่งเท่าไหร่ ผมตอบว่า 8.5 วินาที แล้วผมก็สามารถทำได้ในรอบสุดท้ายจริงๆ ที่ 8.547 วินาที ซึ่งก่อนหน้าที่ผมขับ ความเร็วขนาดนี้ แรงขนาดนี้ พิกัดก็น่าจะอยู่ที่เท่านี้ แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่ผิด ส่วนพี่เอ๋เค้าบอกไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า รถคันนี้วิ่งพิกัด 8 วินาที แต่จะอยู่ที่ 8 เท่าไหร่ไม่รู้ ซึ่งรถคันนี้เท่าที่ขับมา อาการมันบอกว่าใส่เกียร์ 3-5 แล้วรถมันไม่ดันขึ้นแล้ว มันเหมือนปลิวๆ ไปตามรอบเท่านั้น ก็กลับมาวิเคราะห์กันแล้ว เกิดจากอากาศไม่เข้าเทอร์โบ ในช่วงเกียร์ 3-5 ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงแก้ไขปรับปรุง แล้วก็มาลองกันอีกทีตอนปลายปีนี้ เพราะผมคิดว่าถ้าแก้ปัญหาอย่างที่บอกได้ คันนี้น่าจะได้ถึง 8.2 วินาที นอกจากนั้นก็มีโปรเจกต์รถเฟรม GT-R ของ “ต้อม Club 24” เจ้าของ RX-7 Iron man ตอนนี้รถทำไปเกิน 50% แล้ว น่าจะได้เห็นผมขับคันนี้ตอนสิ้นปีแน่นอน
ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องราวในสนามการแข่งขันรถแต่งซิ่งบนถนนผมก็มีเล่นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะ 200SX คันที่ทุกคนรู้จักนี่แหละ ปั้นมาตั้งแต่เป็นสีเทา เล่นมาเรื่อย จนเห็น Rocket Bunny เปิดตัว BenSopra 380SX นั่นแหละเป็นต้นกำเนิดให้อยากทำ ก็เลยไปคุยกับพี่เอก Aek garage พี่เค้าก็เลยให้ทางลูกเจ้าของ Enkei เป็นคนจัดการให้ ซึ่งตอนที่ผมทำเสร็จก็จะมีรถของผม แล้วก็อีกคันนึงเป็นคันขาวของ Gaia (ไกอาร์) ที่เห็นจริงๆ ในประเทศไทยในตอนนั้น หลังจากนั้นกระแสของชื่อ Rocket Bunny เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผมบังเอิญไปเจอกับส้ม ตอนนั้นส้มเค้าพีกมากกับเจ้า 86 Rocket Bunny ก็เลยมีโอกาสได้คุยกันวันนั้นแหละ ก็เลยมีความคิดที่ว่าจะเปิดแฟนเพจที่เป็น Rocket Bunny Thailand ขึ้นมา เพราะในตอนนั้นเริ่มมี 86 ที่ทำให้เห็นออกมาหลายคันแล้ว อาทิ รถคุณฉ่อง S9 แล้วก็รถพี่ปีเตอร์ RSR เปิดเพจมาแรกๆ ก็เงียบกริ๊บ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้จัก จนเริ่มมีรถที่ไม่ได้ตรงรุ่น จากสำนักฯ เริ่มนำมาปรับแต่งให้เข้ากับรถตัวเอง หลังจากนั้นเพจเริ่มมีความเคลื่อนไหว เพราะเริ่มมีจำนวนรถมากขึ้น หลังจากนั้นทางสำนักฯ ก็เริ่มมีการปล่อยรถโมเดลต่างๆ ทยอยออกมา อาทิ 350Z, S14 Ver.1, S15 และก็มาพีกสุดขีดตอน 86 Ver.2 ตามมาด้วย GTR
และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จากในเพจ Rocket Bunny มาเป็น Rocket Bunny Pandem หลังจากนั้น Pandem คันแรกก็ออกมาเป็น GTR เปลี่ยนโป่งที่เป็นขอบข้าง ไม่ใช่เป็นโค้งแบบเมื่อก่อน และก็ตามมาด้วย E36, E46, EG และ Bmw E30 ในความคิดผมนะ ผมว่าการออกแบบ Pandem น่าจะอิงไปทางรถแข่ง เพราะการออกแบบโป่งเค้าเน้นถึงการที่รถยุบตัวแล้วไม่ติดซุ้ม เพราะลักษณะโป่งจะเป็นการดึงออกข้างลักษณะแบนๆ ไม่ใช่สโลปกลมๆ เหมือนแต่ก่อน
ซึ่งปัจจุบันนี้ผมก็ยังคงสนุกกับการได้เล่น ได้แต่ง ได้แข่ง แบบนี้แหละ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับมัน ไม่ใช่เทรนด์แต่งอะไรมาจะเล่นหมด อันนั้นก็ไม่ใช่ ผมเล่นในแบบที่ผมชอบก็พอ ไม่จำเป็นต้องเล่นทุกอย่างอย่างที่คนอื่นๆ เค้าชอบกัน เล่นแบบนั้นมันไม่สนุก มันเหนื่อย แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวเราด้วยครับ จากเมื่อก่อนจนถึงปัจจุบันนี้ กระแสโลกมันเปลี่ยนไปมากนะ เมื่อก่อนคนที่แต่งรถเนี่ยอะไรก็ได้ เดินหาตามเซียงกงตลอด สมัยนี้ไม่มีอีกแล้ว เปิดเพจหาของแต่ง ใครมี โทร.สั่งมาส่งเลย อีกทั้งความนิยมของคนในยุคนี้ จะเบิกของใหม่มากกว่าใช้ของมือสอง เพราะโลกมันเปลี่ยน การเชื่อมต่อมันถึงกันง่ายมาก”
เป็นวัยรุ่นรถซิ่งคนนึง ที่โลดแล่นอยู่ในวงการฯรถซิ่งมาด้วยระยะเวลานานพอสมควร เป็นอีกหนึ่งคนที่มีผลงานออกมาให้ชมเสมอ เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรแล้ว ทำจริงจัง พยายามคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายอย่างที่ตั้งใจ แม้จะเป็นเพียงแค่การแต่งรถซิ่งก็ตามที แล้วแว่วมาว่า Pandem EG กับ E30 ได้เห็นแน่เร็วๆ นี้ สวัสดีครับ
ณพลเดช อัจฉรารุจิ (กอล์ฟ)