“เฮียบชุน”วรจักร เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ!! เป็นการสานต่อจากรุ่นสู่รุ่น เดินทางมาสู่เจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดโลกทัศน์ใหม่ ในนาม “HC GROUP” พร้อมปรับกลยุทธ์ แนวความคิดของคนรุ่นใหม่ สอดแทรกลงไป จนในวันนี้ HC GROUP เป็นอีกหนึ่งความสนใจระดับต้นๆ ของนักแข่งรถในประเทศไทย ถ้ามองหาอุปกรณ์ Safety เพื่อการแข่งขันแล้วล่ะก็… ที่นี่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร
อาคารศรีวรจักร ฝั่งหน้าอาคาร ถ้าคุณผ่านไปมาจะเห็น HC GROUP อย่างชัดเจน ที่นั่นแหละ คือ จุดหมายของการทำคอลัมน์ My Name is… ในเล่มนี้ครับ คุณสิทธิชัย เจียมประเสริฐบุญ หรือที่รู้จักกันในวงการว่า “เฮียโด้” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้บริหาร ของ HC GROUP เป็นผู้ปลุกแบรนด์ MOMO, SABELT, SPARCO ให้มีชีวิตบนเส้นทางมอเตอร์สปอร์ตบ้านเราอีกครั้ง หลังจาก “สงบนิ่ง” มานานในวงกรบ้านเรา ซึ่ง “เฮียโด้” ได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้มาเป็นคำแรกเลยว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากธุรกิจของที่บ้านผมครับ เป็นธุรกิจหลักของทางครอบครัว ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่ โดยคุณพ่อเป็นผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ “ร้านประดับยนต์” ขึ้นมา ซึ่งถ้านับจากวันที่เริ่มต้นของธุรกิจนี้จนถึงปัจจุบัน ก็ร่วมๆ 50 ปี ใช้เชื่อว่า “เฮียบชุน” อยู่ตรงถนนหลวง ย่านวรจักร ซึ่งถ้าเป็นโก๋เก๋า ชอบตกแต่งรถยนต์ในยุคนั้น ย่อมรู้จักร้านนี้เป็นอย่างดี เรื่องราวในยุคนั้น ของแต่งรถจะเป็นแบรนด์นำเข้าจากอิตาลีแทบทั้งนั้น อาทิ LUISE, MOMO, PERSONAL, VICTORY โดยรถที่นำมาแต่งกันก็จะเป็นพวก FIAT เป็นต้น ครับ
ซึ่งอย่างที่บอกในขั้นต้นว่าบ้านผมเป็นครอบครัวใหญ่ เมื่อธุรกิจประดับยนต์เปิดมาได้สักพัก พี่ๆ น้องๆ ของคุณพ่อก็เริ่มแตกแขนงในการทำธุรกิจ ไปเปิดสาขาเพิ่มเติม บ้างก็ทำเครื่องเสียง บางส่วนก็ทำเกี่ยวกับติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ สำหรับ “เฮียบชุน” เป็นเจ้าแรกๆ ในประเทศไทยที่ติดต่อนำเข้าแบรนด์ดังๆ มาจากต่างประเทศ ซึ่งก็คงต้องบอกว่า ในยุคนั้นยังคงเป็นแค่การนำเข้า ไม่มีการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายเหมือนในสมัยนี้ และการสื่อสารติดต่อกันแต่ละทีก็ลำบากมาก ใช้เวลานาน ถ้าเป็นในยุคนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก หรือลำบากอะไรในการติดต่อสั่งสินค้าจากต่างประเทศ แต่ลองมองย้อนกลับไปในสมัยยุคบุกเบิก เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว มันไม่เรื่องง่าย ภาษาเป็นอุปสรรค สั่งของกันก็ต้องส่งแฟกซ์หากันเพียงอย่างเดียว กว่าจะสำเร็จแต่ละออเดอร์ ใช้เวลาเป็นอาทิตย์
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดว่าทำไมสมัยก่อนถึงมีแต่ของอิตาลี ก็ต้องขอบอกแบบนี้ครับ ในยุคสมัยนั้น ของแต่งซิ่งมีให้เลือกน้อยมาก เรียกได้ว่าบังคับแต่งเลย อาทิ พวงมาลัย MOMO ปีกนก วง 12 นิ้ว หรือ พวงมาลัย LUISE ก้านรู ก็ฮิตมาก เรียกว่ารถซิ่งต้องใส่ ไม่ใส่ เดี๋ยวคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง ซึ่งมันก็เปรียบเสมือนแฟชั่น วกไปเวียนมา หลังจากยุคนั้นก็เปลี่ยนเทรนด์มานิยมในเรื่องของเครื่องเสียง แต่งเบาะครีม เปลี่ยนแม็ก โหลดเตี้ย เป็นไปตามยุคของความนิยม
“ถ้าคุณรักการแข่งรถ คุณก็ต้องรักตัวเองด้วย
รถเสียหาย ซ่อม ซื้อใหม่ได้ แต่ร่างกายคุณ มันซื้อใหม่ไม่ได้!!”
ส่วนตัวผมเองนั้น เริ่มมาเข้ามาคลุกคลีกับรถมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้น โดยคุณพ่อให้ผมมาช่วยงานที่บ้านหลังจากเลิกเรียน ติดฟิล์มกรองแสง ติดตั้งวิทยุ เปลี่ยนพวงมาลัย จะเป็นงานประเภทนี้ ทำจนผมเองเรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา
จนประมาณปี 1998 ผมกลับมาจากอเมริกา ได้คุยกับคุณพ่อเรื่องของสถานที่เซอร์วิสเริ่มไม่เอื้ออำนวย เพราะลูกค้ามีมาก ต้องจอดรถทำกันถึงข้างถนนเลย ก็เลยตัดสินใจใหม่ เปลี่ยนมาเป็น “ขายของหน้าร้านอย่างเดียว” ก็อย่างที่รู้กันว่า วรจักร คือจุดศูนย์รวม ใครหาอะไรไม่ได้ต่างก็มุ่งหน้าเข้ามาที่นี่กันทั้งนั้น “ของแต่งรถ” ก็เริ่มจากจุดนี้ ซึ่งในยุคนั้นมีเพียงไม่กี่ร้านในย่านวรจักร ที่ขายของแต่งรถ ลูกค้ามาซื้อกันอยู่เรื่อยๆ จนชักอยากจะเริ่มขายเอง ตรงนี้แหละ!! มันเป็นจุดเริ่มต้นของการขายส่ง ซึ่งให้หลังจากวันที่คิดแบบนี้ไม่เกิน 5 ปี ชื่อของ “เฮียบชุน” ก็เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดใหม่ เป็น “ขายปลีก-ขายส่ง” ส่งผลให้การขยายตลาดในการสั่งของมาขาย ก็ต้องมีให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกหลากหลายมากขึ้น เลยตัดสินใจมองตลาดของแต่งทางฝั่งญี่ปุ่น เพราะด้วยกระแสของรถญี่ปุ่นเป็นช่วงขาขึ้น ส่วนแบรนด์ฝั่งอิตาลี เริ่มที่จะไม่ไหวติง หยุดการเคลื่อนไหว ก็เลยตัดสินใจลุยแบรนด์ญี่ปุ่นเต็มกำลังในช่วงนั้น ก็น่าจะประมาณอยู่ในช่วงปี 90
“ขอแรงก่อน… ปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน”
ซึ่งถ้าให้ผมมองระหว่างญี่ปุ่นกับอิตาลี เรื่องของคุณภาพ เชื่อใจได้ทั้งคู่ แต่แบรนด์ญี่ปุ่นจะเน้นหนักไปทาง แฟชั่น เฟี้ยวฟ้าว เปลี่ยนแปลง อัพเดทตลอดเวลา ส่วนแบรนด์ฝั่งอิตาลี ก็จะเป็นไปแบบคลาสสิกมากกว่า ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือเปลี่ยนก็แค่ปรับนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ในยุคที่แบรนด์ญี่ปุ่นกำลังดังเป็นพลุแตก ทางเราก็ได้ทำตลาดแบรนด์ Carmate ซึ่งแบรนด์นี้เค้ามีความหลากหลายของสินค้าไว้ให้ลูกค้าได้เลือกมากมาย ทางเราเองยังไม่สามารถสั่งสินค้าของแบรนด์เค้าได้ครบทุก Item เลย มันเยอะจริงๆ ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกการตลาด เมื่อสินค้าแบรนด์ไหน แบบไหนดัง ก็เริ่มที่จะมีคู่แข่งทางการค้า เริ่มมีงานไต้หวันออกมาให้เลือก ในราคาที่ย่อมเยากว่า ก็เลยต้องปรับเปลี่ยนสินค้า เพื่อไม่ให้ซ้ำกับคู่แข่งในตลาด
ก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สินค้าทางธุรกิจ ทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา จนมาเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว เริ่มปรับสินค้าให้สอดคล้องกับการเติบโตของตลาดรถแข่ง มันเป็นโจทย์ที่ยากมากในการทำการตลาดครั้งนี้ เพราะคนไทยยังใส่ใจกับความปลอดภัยให้กับตัวเอง น้อยกว่าการทำรถมาก!! “ขอแรงก่อน…ปลอดภัยทีหลัง” ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่ามีแค่ “โรลบาร์” ก็น่าจะปลอดภัยแล้ว ผมและพี่ๆ น้องๆ ก็เลยมีความคิดอยากจะให้คนไทยได้สัมผัสอุปกรณ์ ป้องกัน อาทิ ชุดแข่ง หมวกกันน็อก รองเท้า ถุงมือ แบบมาตรฐานสากล ทั่วโลกให้การยอมรับ นำเข้ามาให้นักแข่งรถยนต์บ้านเราได้มีโอกาสลองใช้กัน ก็เลยกลับไปติดต่อกับ MOMO อีกครั้งในนามของ HC GROUP ซึ่งทางนั้นเค้าก็เงียบเฉย ไม่มีความเคลื่อนไหวกลับมา แต่เมื่อเราได้บอกกับเค้าว่าเราคือ “เฮียบชุน” เค้ารู้สึกดีใจมากที่เราติดต่อกลับไป ทางนู้นเค้าก็สงสัยว่าทางเราหายไปไหนมา เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำแบรนด์ญี่ปุ่น ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้สั่งของจากอิตาลีเลย หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มส่งแบบสินค้าที่เค้าพัฒนาขึ้นมาให้เลือกหลากหลาย ทั้งของแต่งรถ และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยอีกมากมาย
ก็ยอมรับว่าหนักใจเหมือนกัน ว่าการเปิดตลาดในครั้งนี้ คนไทยจะยอมรับกับอุปกรณ์เหล่านี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งในตอนนั้นกฎหมายเมืองไทยมีการรณรงค์ให้ขับรถคาดเซฟตี้เบลท์ มันก็พอดีกับที่ทางเราเริ่มนำ SABELT เข้ามาจำหน่ายพอดี แต่ก็เหนื่อย เพราะมันเพิ่งเริ่มต้น ก็ต้องยอมรับว่ากระแสการแต่งรถที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นผู้นำเทรนด์ให้กับการแต่งรถในบ้านเรา ซึ่งกระแสของบั๊กเก็ตซีตเบลท์ 4 จุด ของรถซิ่งที่ญี่ปุ่นมาแรงมาก ก็เลยจุดกระแสนี้ติดที่บ้านเรา ผมเองก็เลยติดต่อกับทาง SPARCO ในเรื่องของบั๊กเก็ตซีตมารองรับกระแสการแต่งรถในยุคนั้น
จนการแข่งขันรถยนต์ในสนามแข่งขันเริ่มคึกคักขึ้น รถซิ่งบนถนนลดน้อยลง เนื่องจากหลายๆ สาเหตุ รวมทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง นักซิ่งบนถนนหันลงสู่สนามแข่ง ทางผู้จัดการแข่งขันเริ่มมีการรณรงค์กวดขันเรื่องของความปลอดภัยมากขึ้น โดยทางผมเองก็เข้าไปมีบทบาทในสนามแข่งมากขึ้น ในเรื่องของอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย เพราะผมมองว่า “ถ้าคุณรักการแข่งรถ คุณก็ต้องรักตัวเองด้วย รถเสียหาย ซ่อม ซื้อใหม่ได้ แต่ร่างกายคุณ มันซื้อใหม่ไม่ได้!!” ถ้าอยากจะแข่งรถ ผมก็อยากให้นึกถึงคำว่า Safety First เป็นคำแรกครับ
เรื่องของอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย มันก็ต้องมาตรฐานระดับสากลด้วย ซึ่งในระยะหลัง ทางผู้จัดการแข่งขันทั้ง Drag หรือ Circuit ต่างก็อิงจากมาตรฐานของ “FIA” เป็นหลัก เพราะการนำรถไปแข่งในต่างประเทศเค้าก็อ้างอิงมาตรฐานทางด้านระบบความปลอดภัยจาก “FIA” เช่นกัน ณ ปัจจุบัน แบรนด์หลักๆ ที่ทาง HC GROUP ได้ดูแลอยู่ก็จะมี MOMO, SPARCO, SABELT, ISOTTA, INGS+1, OS GIKEN, COOL SHIRT ซึ่งจะเห็นได้ว่า แบรนด์เราเน้นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมากกว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ เพราะเป็นสิ่งที่เราถนัดมากครับ”
วันนี้ผมดีใจ…ที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เฮียโด้ หรือ คุณสิทธิชัย เจียมประเสริฐบุญ แห่ง HC GROUP หรือเจนฯ 2 ของ เฮียบชุน อันโด่งดังในอดีต เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เดินทางเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยของนักแข่งก็ดี หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยทางด้านการแข่งขันก็ดี มันสามารถให้เรามองย้อนกลับไปเทียบกับในอดีตได้ว่า
นักแข่งรถบ้านเราได้ให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้ติดชาร์9อันดับแรก แต่ก็ไม่รั้งท้ายเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ…