STORY : T.Aviruth (^_^!) /XO AUTOSPORT No.196
PHOTO : POTE A+
ผมดังมาได้จากการ “จูนกล่อง E Manage”
“WorK Very Hard…Play Harder ผมทำงานหนักวันละ 16 ชม. ก็เพื่อทำฝันให้เป็นจริง!”
มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิตกันแน่? ที่ขีดให้แขกรับเชิญ “ประเดิมหัวปี” ในคอลัมน์ My Name is เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง แล้วก็กำลังจะ “ลั่นระฆังวิวาห์” จำได้ว่าปี 2012 ประเดิมด้วย “Speed D” ย่างก้าวสู่ปี 2013 ก็มาถึงคิวของ “อดิสรณ์ เจริญศักดิ์” เรียกเต็มยศขนาดนี้คงไม่ถนัดหู แต่ถ้าบอกว่า “Mactec” คงรู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอนครับ…
จังหวะช่างลงตัว… ถ้าได้ติดตาม XO AUTOSPORT มากันตลอด คงจำได้ว่า เล่มหน้าปกที่เป็น AUDI R8 ทั้ง 2 คัน หนึ่งในนั้นมีรถของ “Mactec” ด้วย ซึ่งเป็นถ้าเป็นไปตามแพลน บทสัมภาษณ์ของเค้าต้องออกมาในช่วงนั้น แต่เผอิญว่า มีเรื่องของงาน Souped up Thailand Records 2012 เข้ามาผสมโรงก่อน ก็เลยต้องขยับบทสัมภาษณ์ของ Mactec ออกมา แล้วเอา “พี่ชนินทร์” เข้ามาแทนที่ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ และรับกระแส Souped up 2012 พอเล่มถัดมาก็เป็นเล่มส่งท้ายปลายปี เป็นการรวม The Best ของรถแต่ละรุ่น ธุรกิจแต่ละประเภท ก็เลยต้องขยับออกมา อีก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเล่มถัดไป เพราะว่าเป็นการประมวลผลรวมเป็นเล่มงาน Souped up ทั้งเล่ม ก็เลยถูกขยับมาเป็นเล่มที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ มันก็เป็นเรื่องบังเอิญอีกนั่นแหละ เพราะเค้าก็เป็นคนแรกในปี 2013 ซึ่งลักษณะเดียวกับคนแรกในปี 2012 คือมีธุรกิจที่เฟื่องฟูชัดเจน และก็กำลังจะแต่งงาน มีครอบครัว เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่อดีตหนุ่มรถซิ่ง ผันตัวขึ้นมาค้าขาย และก็ประสบผลสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว มาดูชีวิตเค้ากันครับ ว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เค้ามีวันนี้ได้
มันไม่แปลกที่ความสำเร็จในชีวิต มักเริ่มต้นจากการทำสิ่งที่ชอบก่อนเสมอ “Mactec” ก็เริ่มจากแบบนี้เหมือนกัน ผมเองก็รู้จักกับเค้าในฐานะลูกค้า และผู้ที่อยู่ในแวดวงของซิ่ง เป็นธรรมดาที่จะต้องสร้างความคุ้นเคยกันให้มากกว่านี้ ก็เลยชวนกันไป “ลงหม้อสุกี้” สร้างความสนิทให้แนบแน่น!! ทานไป คุยไป เค้าอิ่มท้อง ผมอิ่มงาน ถือว่า “วิน-วินกันทั้งคู่” เค้าเริ่มเปิดฉากคำพูดให้ผมฟัง เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตว่า “ ผมเริ่มสัมผัสกับรถตั้งแต่อายุสิบกว่าๆ ขับรถยนต์ไปเรียนหนังสือตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยมปลาย จำได้ว่าเป็น TOYOTA รุ่นเก่าๆ วางเครื่องยนต์ Sirius Turbo เป็นรถคุณพ่อ และในที่สุดผมก็หวดซะตกคลอง!! ทิ้งทั้งคัน ดีที่ผมไม่เป็นไรมาก และก็มาเริ่มจริงจังก็เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ประมาณปี 92-93 คุณพ่อก็ซื้อรถ Mitsubishi Lancer (E Car) ให้ขับใช้ไปมหาวิทยาลัย แต่มีข้อแม้คือ ห้ามซนกับรถ แต่ก็นิ่งอยู่ได้ไม่นาน ก็กลับมาวนเหมือนเดิม เปลี่ยนของซิ่งใส่ตามเทรนด์ และหนักข้อสุดๆ ก็เซ็ตอัพเทอร์โบเข้าไป เครื่องพันห้าเทอร์โบ เป็นอัน “เกมโอเวอร์” รถป้ายแดง ออกห้าง ไม่ข้ามหกเดือน “เครื่องพัง”
เครื่องตัวนั้นจัดเป็น “เครื่องครู” ของผมเลย คือผมเซ็ตอัพกันแบบดิบๆ แบบว่าไม่มีแบบแผน ยังไม่มีความรู้ว่าเมื่อเพิ่มจุดนี้ ต้องใส่อะไรเพิ่มตามเข้าไปด้วย เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเครื่องยนต์มากขึ้น อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิง หรือเซ็ตอัพกล่อง ECU ใหม่ ซึ่งหลังจากเครื่องพังไม่นาน ก็เข้าสู่โหมดของการ “วางเครื่องยนต์” มือสอง แน่นอน ผมก็ต้องเลือกเครื่องยนต์ที่พื้นฐานเบื้องต้นแรงมาตั้งแต่กำเนิด ก็จบที่เครื่องยนต์ 4G-63 (VR 4) และก็ใช้งานมาเรื่อยๆ ซึ่งพอมันได้สักระยะ ความคันทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ ยกเครื่องออกมาโมดิฟายใหม่ เปลี่ยนลูกสูบ 2JZ เทอร์โบก็หาที่ใหญ่กว่าของเดิมมาโมดิฟายใหม่ เซ็ตอัพรถชุดใหญ่เพื่อลงแข่งควอเตอร์ไมล์ มันก็เป็นตรงกับยุคที่สนาม MMC (รังสิต) เฟื่องฟูพอดี ก่อนหน้านี้ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ค่ำคืนที่ไหนดัง ผมก็ไปหมดนะ แต่พอมีสนามแข่งอย่างจริงจัง ผมก็วนเวียนอยู่แต่ในนั้นแหละ
ก็เริ่มจากรุ่นแบร็กเก็ตที่ยังไม่เร็วมาก ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงรุ่น Open ผมก็ยังใช้เจ้า Mitsubishi Lancer คันเดิม คือทำเยอะ เพิ่มสเต็ปไปเรื่อยๆ จำได้ว่าเคยลงหนังสือ Car Performance ยุคแรกๆ ก็ถือว่าทำเยอะนะในยุคนั้น เครื่องยนต์สี่สูบ เทอร์โบ 2,000 ซี.ซี. “สี่ร้อยกว่าแรงม้า” กล่องเป็นแบบ “จูนรอม” ด้วย มันก็น่าภูมิใจตรงที่ผมเป็นคนทำเองนี่แหละ ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจเลยนะ แต่อย่าถามก่อนหน้านี้ ลองผิดลองถูก คลำไปเรื่อย จนกว่าจะหาเจอ หมดเยอะครับ ผมเน้นหาความรู้จากการอ่านหนังสือรถ เรียกได้ว่าอ่านแหลก จะยี่ห้อไหนก็อ่านหมด เพราะว่าอยากรู้ และก็เอามาประยุกต์ลองทำเองดู เพราะชอบลอง แต่ก็ไม่ได้ลองกับรถใครเลยนะ เล่นในรถตัวเองนี่แหละ
ในช่วงที่ผมเล่นรถสมัยนั้น ก็ทำงานบริษัทควบคู่ไปด้วย ซึ่งเมื่อแยกเวลางานออกมา ผมก็อยู่กับรถตลอด หาอะไหล่ตามเซียงกงบ้าง แวะไปนู่นนี่นั่น ซึ่งทุกอย่าง ร้อยละแปดสิบ เกี่ยวข้องกับรถตลอด โดยแต่ละครั้งที่ผมเข้าไปแต่ละที่ ก็เริ่มจับของมาขายตามเว็บ คือรายหลักๆ ทีนี้รายได้ของผมก็จะมีเข้ามา 2 ทางคือ ทั้งทาง บริษัทที่ทำงาน และขายของในเน็ตด้วย แต่จะเน้นของมือสองจากญี่ปุ่นเป็นหลัก
ตั้งแต่จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผมก็เข้าทำงานที่สหยูเนี่ยนเลยทันที ทำอยู่ประมาณ 4 ปี ทั้งงานประจำและงานอดิเรก รวมกับเพื่อนในกลุ่ม One Point ที่เล่นรถด้วยกัน 9 คน เค้าร่วมทุนกันเปิดร้านขายของแต่งรถชื่อ “Off at 9” ผมก็เลยไปร่วมหุ้นทำร้านกับเค้าด้วย และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นอีกขั้นในการสั่งของใหม่มาขายควบคู่กับของเก่าญี่ปุ่น มันทำให้ผมก้าวเดินหน้าไปอีกขั้น เริ่มมีการสั่งเข้ามาขายในจำนวนมาก ยกตู้คอนเทนเนอร์กันแบบเต็มรูปแบบ ผมคิดว่ามันคงถึงทางแยกของชีวิตที่จะเลือกเดินทางแล้วล่ะ จะเป็นพนักงานบริษัทต่อไป หรือก้าวมาสู่กิจการของตัวเองอย่างเต็มตัว และสุดท้าย ผมก็คิดว่าโชคเข้าข้างผม ที่ทำให้ก้าวเดินมาถูกทาง…
หลังจากมีประสบการณ์เปิดร้านกับเพื่อนๆ ผมก็เลือกที่จะมาเปิดเป็นกิจการของตัวเอง จำได้ว่าศึกษาข้อมูลของแต่งจากต่างประเทศมาก เปรียบเทียบราคาสินค้าทั้งฝั่งญี่ปุ่นและอเมริกา อาทิ ลูกสูบซิ่ง อเมริกาขายราคาถูกกว่าญี่ปุ่นครึ่งนึงเลยนะ ก็เลยมานึกดูว่าทำไมเราไม่ทำตลาดฝั่งนู้นเข้ามาขายในบ้านเรา ลองมาเช็กสถิติการทำรถแข่ง ฝั่งอเมริกาก็แรงกว่าญี่ปุ่น แสดงว่าของที่เค้าใช้ก็ต้องดีกว่า “ตัดสินใจสั่งของแต่งจากอเมริกามาลองทำตลาดดู โดยเริ่มทีละเล็กๆ ดีกว่าไม่เริ่มอะไรเลย ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ ก็ได้ลองทำแล้ว”
จากความคิดเล็กๆ ที่สั่งของอเมริกามาขายเพียงแค่หลักหมื่น ก็โตขึ้นมาเป็นหลักแสน แล้วก็ก้าวไปสู่หลักล้านได้ไม่นาน ก็นับว่าโชคดีที่ผมทำการบ้านมามากพอสมควร ศึกษา เปรียบเทียบคุณภาพและราคามาอย่างเต็มที่ แต่เมื่อลองทบทวน นึกไปแล้วก็นับว่าเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะ เพราะบ้านเราในยุคนั้น อะไรก็ญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะเราใช้รถญี่ปุ่นด้วยมั้ง ก็เลยไม่มีใครมองถึงตลาดฝั่งอเมริกาก็เป็นได้ ผมว่าตัวผมเองก็เป็นเจ้าแรกๆ ที่เปิดตลาดอเมริกามาขายในเมืองไทย เท่าที่จำได้ ในยุคแรกเอา ลูกสูบ CP, ก้านสูบ Crower มาเปิดตลาดก่อนเลย เพราะเห็นว่าคุณภาพและราคามันคุ้มค่าที่สุด และเกร็ดเล็กน้อยที่อยากจะฝากเรื่องนำของเข้ามาจากอเมริกา คือ เรื่อง Left Hand Drive, Right Hand Drive ของบางอย่างจะมีปัญหาทันที อาทิ เทอร์โบคิต, เฮดเดอร์, ท่ออินเตอร์ หรือ ของตกแต่งบางอย่าง มันจะไม่เหมือนกัน ต้องศึกษาสเป็กรถให้ดีนะครับ ผมเองก็พลาดมาก่อนเหมือนกัน
และเรื่องการโดนโกงในการสั่งของก็ผ่านมาหลายรูปแบบ ใครว่าอเมริกาโกงไม่เป็น…ไม่จริงนะ ผมสั่งหัวฉีดกับร้านที่ชื่อว่า No Limit Motorsport ผมโอนตังค์ขึ้นไป จ่ายทั้งหมด 28 หัว มันไม่ยอมส่งของให้ผม แล้วระบบเป็นการโอนเงินแบบ Transfer เรียกเงินคืนก็ไม่ได้ โทร.ไปหาก็บ่ายเบี่ยง เมล์ไปก็ไม่ตอบกลับ ส่วนอีกร้านอยู่แคนาดา ชื่อ Magnus Motor Sport สั่งช่วงชัก 2.2 ลิตร ตอนส่งของมาให้เป็น ลูก-ก้าน ของ 2.2 ลิตร ส่วนข้อเหวี่ยงเป็นของ 2.0 ลิตร แล้วจะใส่กันยังไง? พอส่งของกลับไปเปลี่ยน เค้าส่งข้อเหวี่ยง 2.2 ลิตร สเป็กธรรมดามาให้ ไม่ใช่สเป็กแข่งตามที่ตกลงกัน และที่สำคัญ ราคาต่างกันเยอะมาก พอทวงค่าส่วนต่าง ก็ไม่คืนเงินมาให้ ดึงเรื่องอยู่ปีครึ่ง จนผมได้มีโอกาสรู้จักประธานหอการค้าแคนาดา ก็เลยส่งเรื่องให้เค้าช่วยสานต่อให้ สรุปก็ไม่ยอมคืนตังค์ให้ แต่ส่งท่อไอดีกลับมาให้แทน 2 อัน เพื่อหักกับค่าส่วนต่างของข้อเหวี่ยง ใช่ว่าจะมีแค่นี้นะ มีประสบการณ์กับอะไรพวกนี้อีกมากกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ Ebay ก็ใช่ย่อย ระวังไว้หน่อยก็ดีครับ
และวันที่ผมจำแม่นเลย เป็นวันที่เปิดตัว Mactec อย่างเป็นทางการ คือวันที่ 01-06-06 มันทำให้คนรู้จักผมมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งพื้นเพเดิมที่ทำให้คนรู้จักผม มันมาจากการเป็น “มือจูน” ผมดังมาได้จากการ “จูนกล่อง E Manage” ด้วยเหตุผลเดียวคือ ผมศึกษาเรื่องเครื่องจนรู้และเข้าใจด้วยตัวเองได้ แต่มีอยู่แค่เรื่องเดียวในตอนนั้นคือการ “จูนกล่อง” ที่ไม่รู้เรื่องเลย อย่างที่บอกคือ “ผมชอบทำอะไรด้วยตัวเอง” มันก็เป็นชนวนเริ่มต้นที่ทำให้ผมต้องศึกษาด้านนี้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มต้นจาก Reflash Rom ใช้ร่วมกับ A’PEXI Super AFC ก็มาปรับแต่งเกลี่ยค่า แต่มันก็หยาบๆ และหลังจากนั้น GReddy ก็เปิดตัว E Manage ผมก็ลองศึกษาดู เห็นว่ามันค่อนข้างง่าย แต่ก็ไม่ได้ละเอียดมากเหมือนกับพวก Motec และที่สำคัญคือ ราคามันค่อนข้างประหยัดงบ ใช้เวลาเดินสายไฟไม่นาน จูนง่าย กับรถที่โมดิฟายเบื้องต้น ไม่ถึงกับฮาร์ดคอร์ ก็เลยมีคนมาให้ผมจูนรถเยอะมาก ซึ่งมันก็เป็นยุคเดียวกับที่ผมยังทำงานบริษัท พร้อมกับเปิดร้าน Off at 9 กับเพื่อนๆ ส่วนปมเหตุทำให้ผมต้องเดินมาเป็น “Tuner” อย่างเต็มตัวก็คือ รถที่ทำมาแล้ว พื้นฐานไม่พร้อม ก็เลยต้องรื้อมาแก้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นกันใหม่หมด มันก็เลยทำให้ผมก้าวเข้ามาทำรถให้คนอื่นอย่างเต็มตัวไปโดยปริยาย
ถึงแม้ว่าผมจะมีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว ใช่ว่าผมจะเลิกแข่งรถ ผมก็ยังทำ NISSAN 200 SX เครื่อง 2JZ –GTE มาลงเล่น Drag เหมือนเดิม ที่เลือกมาเล่นรถขับหลัง เพราะเจ้า Lancer คันเก่า มันไม่สามารถไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ก็เล่นสนุกๆ พอมีกำลังก็ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ และคันถัดมาก็เป็น NISSAN 350Z Convertible โมฯเต็ม ขยายความจุเป็น 3.9L Supercharger Stillen ยิง NOS อีกต่างหาก ตอนนั้นตัวผมเองก็คิดว่ามาถึงจุดสูงสุดแล้วนะ กะใช้แบบยาวๆ ขับเปิดประทุนเที่ยวต่างจังหวัดหล่อๆ ในช่วงที่ใช้ 350Z คันนี้ก็จะสนิทกับ “พี่แถม TKF” เพราะเอารถไปเซอร์วิสที่นั่น พอเจอบ่อยเข้า คุยไปคุยมา “เออเว้ย ผู้ชายคนนี้มันแจ๋วดีว่ะ” ก็เลยสนิทกันถึงทุกวันนี้เหมือนพี่ชายคนนึง “ก็ต้องขอขอบคุณพี่แถม TKF ที่เป็นที่ปรึกษาและผู้แนะนำที่ดี เป็นส่วนนึงที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จเหมือนอย่างทุกวันนี้”
ในวันนี้! ใครๆ ก็เห็นผมมีนู่น มีนี่ ถามหน่อยว่า “พยายามเท่ากับผมแล้วรึยัง แล้วทำงานได้เท่าผมรึเปล่า?” ผมทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน ทำงานวันละ 16-19 ชม. ทำทั้งวัน นอนตี 4 ตื่น 9-10 โมง ในหนึ่งวันผมต้องดูแลกิจการ ทั้งอะไหล่รถซิ่ง นำเข้ารถใหม่ อะไหล่รถนำเข้า ขายรถ Super car มือสอง พอตกเย็นถึงกลางคืนมันก็เป็นช่วงเวลาทำการของที่อเมริกากับยุโรป ติดต่องาน สั่งของกับเค้า รอโต้ตอบทาง e-mail ทันที เพราะถ้ามัวแต่รอเค้าตอบกลับอีกวัน ก็เท่ากับเสียเวลาไปฟรีๆ บางเรื่องอาจจะต้องคุย 4- 5 ครั้ง กว่าจะรู้เรื่อง ถ้าไม่ใช่วิธีนี้ มันก็จะทำให้ช้า ยืดเวลาออกไป ออเดอร์ที่รับมาก็จะทำให้ลูกค้ารอของนานเข้าไปใหญ่ ผมจึงเลือกที่จะ WorK Hard ครับ เพราะนั่นคือตลาดหลัก เรียกได้ว่า 90% ของสินค้าที่ผมนำเข้ามาเลยก็ว่าได้”
อดิสรณ์ เจริญศักดิ์ หรือ Mactec ที่เราคุ้นเคยกับชื่อในวงการ วันนี้เค้าได้มายืนในจุดที่ตั้งใจ Lucky in Game และก็ in Love ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็เหลือแต่ความฝันที่เค้าตั้งใจ “Super Car Service Center” ต้องมาช่วยลุ้นกันครับว่า ความฝันที่ Mactec ตั้งใจ จะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดไหน? ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะ “มันเกิดแน่” ผมเชื่อว่า ถ้าคนไทยตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลกอย่างแน่นอนครับ…