My name is…บัง RACE WEAR

XO 249
Photo : ธัญญนนท์ แสงภู่

“พ่อค้าผ้า” เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นในหัวผมนะ เมื่อรู้ว่าจะได้มีโอกาสคุยกับผู้ชายคนนึงที่เกี่ยวข้องกับรถซิ่ง  แต่ไม่ได้ขายอะไหล่ซิ่ง และไม่ได้เป็นนักแข่งอาชีพ  แต่เค้าเป็นคนขาย “เสื้อซิ่ง” หลายคนงง เสื้อซิ่ง คือ อะไร  ก็เสื้อ T-Shirt ที่เราใส่ๆ กันทุกวันนี่แหละครับ เค้าคนนี้เป็นคนเปิดตลาดเสื้อแนวรถซิ่ง ฝีมือคนไทย หลังจากเพียงแค่เดินสวนทางกับทีมแข่งในสนาม แล้วสะดุดตาว่า  ทำไมเสื้อทีมแข่งไทยยังดูเรียบๆ ไม่ตื่นเต้นเหมือนกับในต่างประเทศเค้า  จุดนี้แหละครับ จุดเริ่มต้นของเสื้อซิ่ง ต้อง Race Wear

“ผมชอบเครื่องโรตารี่ เพราะเสียงมันเร้าใจ
มันมีปุ้งปั้งระเบิดตลอด เดินไม่เรียบ โหดได้อารมณ์ดิบดี”

ถ้าใครที่โตมาด้วยกันนะ ในยุคนั้นเพื่อนจะเรียกบังว่า “ดุลย์” เค้าเป็นผู้ชายที่ผ่านอะไรมาหลายอย่างมาก เรียกว่าลองผิดลองถูกมาตลอด ส่วนมากจะหนักไปทางผิด มากกว่าถูก เหมือนอาชีพที่เค้าเป็นอยู่อย่างในทุกวันนี้ คือพ่อค้าผ้า  ซึ่งไม่ว่าจะหลีกหนีไปทำอาชีพอะไร แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ต้องหวนกลับมาสู่ที่เดิม บังบอกกับผมว่าเค้าไม่อายในความไม่สำเร็จของเค้าที่ผ่านมา แล้วอยากจะให้ทุกคนที่ได้อ่านชีวิตของเค้า ได้เห็นตัวอย่างและเก็บไปคิด ไม่ต้องลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเองเหมือนเค้า จะได้ไม่ถลำลึก และต้องกลับมานั่งแก้ปัญหาในภายหลัง เหมือนเค้าในตอนนี้ ทุกวันนี้เค้ายังคงต้องทำงานใช้หนี้สินที่ตัวเองก่อไว้อยู่เลย ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับ ว่าทำไมเค้ายังมีหนี้สินอยู่ บังเค้าจะเล่าให้ฟังครับ “ก่อนอื่นผมก็ต้องย้อนอดีตไปยังจุดเริ่มต้นก่อนเลยครับ สมัยตอนอยู่มัธยม 3 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี  ผมก็เห็นเพื่อนขับ Civic EG เครื่อง B16A ทำที่พี่เหน่ง Driver Motorsport แล้วนะในยุคนั้นก็ต้องควอเตอร์ไมล์ที่สนาม MMC เลย นั่นแหละ พอผมขึ้น ม.4 ก็ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมิร์ซ (ACC) นี่แหละ คุณพ่อผมซื้อ Honda Accord  ตาเพชร ให้ขับไปโรงเรียน  ยุคนั้นมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับรถโหลดเตี้ย กับรถวางเครื่อง  ผมก็เอารถไปโหลดที่ร้าน Moeye นิสัยผมเริ่มไม่ดีตั้งแต่ได้รถมาแต่ง  คือไม่ค่อยชอบไปโรงเรียน  ชีวิตอาศัยอยู่ตามอู่มากกว่าห้องเรียน ก็เลยขอพ่อตรงๆ ว่าไม่อยากเรียนแล้ว  อยากทำอู่ พ่อผมตอบกลับมาว่า  ถ้าเรียนแล้วไม่ได้ดี ก็อย่าไปเรียน ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินดีกว่าลูก พ่อผมพูดกับผมแบบนี้ในวันที่เอ่ยปากขอเค้าทำอู่ ก็เลยถือโอกาสขอเงินลงทุนจากพ่อมาเปิดอู่ทำรถ ชื่อ Racing Motorsport รับซ่อมดัดแปลง วางเครื่องยนต์ใหม่ ก็จะรับงานประเภทนี้ โดยเปิดในปั๊ม ปตท. ย่านถนน 345 ก็คือละแวกใกล้ๆ บ้านผมนี่แหละ แต่ภาพที่เห็นมันไม่สวยเหมือนในฝัน  มันไม่ใช่อู่ที่จะมีรถซิ่งมาจอดรอทำนู่น นี่ นั่น เหมือนกับที่ผมเคยเห็น  ด้วยโลเกชันในปั๊ม อู่ผมจึงมีรถสิบล้อมาเป็นขาประจำแทน ก็คอยเชื่อมโน่นนิดนี่หน่อยให้เค้า นึกภาพตามนะ มันจะคล้ายๆ ร้านปะยางที่เปิดในปั๊มน้ำมันครับ บอกตามตรงไม่เคยมีรถซิ่งเข้ามาทำเลย ตั้งแต่วันเปิด จนถึงปิดอู่ จะทำก็แต่รถตัวเองนี่แหละ ซึ่งมันเป็นช่วงยุคฟองสบู่แตก ผมมีความจำเป็นต้องขายรถไป  แล้วก็ไปซื้อรถที่ราคาย่อมเยากว่ามาแต่ง ก็ไปเอาเจ้าเปอโยต์ 505  มาขับ ใจก็อยากได้เครื่องยนต์เทอร์โบมาใส่รถคันนี้ แต่ไม่มีตังค์ ก็เลยไปถาม พี่ก้อง P&C GARAGE  ก็ได้คำตอบมา 15,000 บาท กับเครื่องยนต์โรตารี่  ผมเองนี่ไม่เคยรู้จักเครื่องยนต์โรตารี่มาก่อนเลย ก็สรุปเอาเครื่องโรตารี่มาวางในเปอโยต์ 505 นี่คือจุดเริ่มต้นของผมกับเครื่องยนต์โรตารี่เลย ซึ่งหลังจากนั้นผมก็เล่นแต่เครื่องยนต์นี้มาตลอด อาทิ BMW E30 และ E36 เครื่องโรฯ ทำที่พี่หนุ่ม ACM  ซึ่งผมมาประมวลผลจากการกระทำของตัวเองดู  อู่คงไม่ใช่ทาง เพราะรถผมเองก็ซ่อมไม่เป็น ก็จ้างช่างมาคอยดูแล  ลำพังรถผมเองก็ยังให้พี่หนุ่ม ACM ดูแลเลย ก็คิดว่าไม่ใช่ทาง ก็เลยไปบอกกับพ่อว่า ขอกลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม  อู่ยังไม่ใช่ทางของผม

ก็กลับมาเริ่มต้นเรียนหนังสือที่ ม.กรุงเทพ  รถที่เคยเล่นๆ ขายหมด เพราะจอดอู่ มากกว่าขับ   ก็เลยไปซื้อรถต่อจาก โย ข้าวมันไก่เจ้อ้วนมา  เป็นรถ MAZDA RX-7 Savanna สีชมพู  ตอนเอารถมาเป็นเครื่องโรฯ เดิมๆ แล้วก็เลยเอาไปให้พี่ใหม่ P&C ทำเครื่องให้ ก็มีรถซิ่งได้ออกไปขับเล่นสมใจ  แต่อย่างว่า “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา”  สุดท้ายก็ต้องกล่าวคำว่าลาจาก ขายรถเพื่อเอาเงินมาลงทุนทำเสื้อผ้า

สาเหตุที่ผมจะเอาเงินมาลงทุนทำเสื้อผ้า ก็เพราะแรกเริ่มเดิมทีกิจการของที่บ้านค้าขายเกี่ยวกับเสื้อผ้าอยู่แล้ว จนถึง ณ ตอนนี้ก็ยังคงทำอยู่ แต่ผมเนี่ยก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่เคยคิดชอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องค้าขายเสื้อผ้า แต่มันมีเหตุให้คิด เมื่อเพื่อนที่เคยเรียนอัสสัมฯด้วยกัน มาจ้างผมทำเสื้อผ้า ผมก็เอาตัวอย่างที่เค้าให้มาไปให้พ่อ แล้วก็ถามว่ารับทำมั้ย? สรุปว่างานนั้น ผมก็ได้ค่านายหน้ามาจากการนำลูกค้ามาให้ที่บ้าน จากจุดนี้แหละ ผมก็เริ่มต้นกับอาชีพพ่อค้าผ้า แรกๆ ก็วิ่งจ่ายงานข้างนอกก่อน ก็ค่อยทำไปเรื่อยๆ กิจการมันเริ่มดีขึ้น ผมก็เริ่มเช่าตึกที่บางใหญ่ เพื่อทำกิจการนี้ มันต้องใช้เงินลงทุน ก็เลยต้องขาย RX-7 Savanna ไป ซึ่งที่ผมทำอยู่นี่เพิ่งเรียน ม.กรุงเทพ ปี 1 ครับ

“คำพ่อสอน ในเมื่อเราเรียนไม่เก่ง
เราก็ต้องทำงานให้เก่ง มันต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งลูก”

ตอนนี้ชีวิตผมเริ่มสนุกกับการหาเงิน  จากเงินทุนที่ขายรถ ก็นำไปเช่าตึก  ซื้อจักรเย็บผ้า จากเริ่มต้นมีลูกน้องแค่ 2 คน  ก็ขยับขยายเพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึง 19 คน ในช่วงที่ธุรกิจเริ่มขยายตัว ก็ไปจัด Cefiro เครื่อง RB20DET ของพี่เก๋ K Sport มาไว้ขับเล่น บอกได้เลยว่าชีวิตดีมากช่วงนี้  แต่ก็ดีได้อยู่แค่ปีกว่าๆ  เพื่อนที่มาจ้างเย็บเสื้อผ้าอยู่ตลอด หักหลัง มาชวนช่างทั้งหมดไปอยู่กับเค้า ผมนี่หลับกลางอากาศเลยครับ มือเท้าเย็นชา ทำไรไม่ถูกเลย ก็เลยจำเป็นต้องขาย Cefiro ไปซื้อ Honda Nouvo มาขี่แทน จาก 4 ล้อ หดเหลือ 2 เลย ผมก็ยังสู้ต่อนะ เริ่มเปิดตลาดวิ่งเข้าจตุจักร แพลตตินั่ม หางานเย็บผ้า ซึ่งตอนนี้ผมไม่มีช่าง  ก็เลยต้องรับงานมาแล้วไปจ่ายงานต่อเหมือนตอนแรก

จุดนี้แหละ ผมยิ่งทำ มันก็ไม่ดีขึ้นเลย เพราะการที่ผมไปรับงานมา แล้วจ่ายงานให้ต่อ มันทำให้คุณภาพงานออกมาไม่ดี คือผมไม่สามารถดูแลได้ทุกขั้นตอนการผลิต คือง่ายๆ มันควบคุมการผลิตตามที่รับคำสั่งจากลูกค้ามาไม่ได้ บอกเลย เละ!! กลายมาเป็นต้องควักเนื้อไปจ่ายเคลมคืนลูกค้า สุดท้ายไม่มีเงินทุนทำต่อ ก็เลิกทำ แล้วกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน ขับกระบะส่งผ้าให้ที่บ้าน ตามห้างสรรพสินค้า ทำอยู่หลายปีเลย รถซิ่งไม่ได้แตะ แต่ก็ยังมีเอาอะไหล่ซิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมี มาลงขายในหนังสือ XO AUTOSPORT นี่แหละ ในหน้า Classified ที่มีอยู่ด้านหลัง จนพอเริ่มมีเงินเก็บขึ้นมาบ้าง ผมก็ไปซื้อรถมาขาย ยุคนั้นก็ต้องเรซซิ่งเว็บ ผมก็ดูว่ารถคันไหนที่รีบร้อนจะขาย ผมก็จะไปช้อนซื้อ มาขับเล่นด้วย แล้วก็ขายด้วย ก็เริ่มสามารถทำกำไรได้จากการขายรถมากขึ้น เลยมีความคิดทำธุรกิจ รับซื้อ-ขาย รถยนต์ ก็ทำที่บ้านนั่นแหละ ซื้อมาจอดเต็มไปหมด ตั้งใจไว้วางรถคันนึงขายถึงลูกค้า ต้องไม่เกินแสนห้า เน้นซื้อง่าย เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่อยากมีรถ แต่ผมก็ยังคงช่วยงานที่บ้านเหมือนเดิมนะ เพราะเวลามีรถเข้ามา แล้วราคามันได้ ผมก็ต้องรบกวนเงินด่วนจากพ่ออยู่ดี  ขายได้แล้วค่อยไปคืนเค้า ส่วนกำไร ผมก็เก็บไว้ รวมทุนช้อนซื้อคันใหม่

คราวนี้เริ่มมาจับรถซิ่งมาขาย จำได้ว่าไปซื้อ EVO 3 ที่แอโร่สปีดมาคันนึง ยุคนั้นเป็นช่วงรถซิ่งใต้ทางด่วนรามอินทรา ผมก็กลับไปเล่นรถซิ่งอีกครั้ง เละเทะ แข่งรถ นอนดึก  ตื่นสาย ทำงานไม่ได้ เพราะความชะล่าใจของตัวเอง คิดว่าหาเงินได้แล้ว  ก็มารู้จักรุ่นพี่แถวบ้าน แกทำเต็นท์รถอยู่ ลาดพร้าว 71-ทางด่วนรามอินทรา ก็เลยไปเดินสายนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งมันมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้ง คือ ไปซื้อรถ Civic EG 3 ประตู มาคันนึง ก็ขายเปลี่ยนมือไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว วันนึงรถคันนี้กลับคืนมาถึงมือผม เพราะรถคันนี้ตัดหัวมา ผมก็เลยเอารถคันนี้ไปคืนให้กับลูกค้าที่ผมซื้อมาในตอนแรก สรุปมันคืนไม่ได้ เพราะเงินเค้าใช้ไปหมดแล้ว ทีนี้ทำไง ขายใครก็ไม่ได้ รถก็จอดอยู่เฉยๆ ก็เลยไปถามอาจารย์หนู N Tech ว่าหาทางออกให้รถคันนี้ยังไงดี มันติดมือ อาจารย์แนะนำว่า  ทำรถแข่งสิ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าไปสู่วงการเซอร์กิตของผมครับ

“ความโลภเป็นหนทางสู่หายนะ”

ผมแข่งรถสักพัก ก็แยกตัวมาทำเต็นท์เองกับรุ่นน้องชื่อโอ๊ต ใช้ชื่อว่า ช.ช้าง รถบ้าน ซึ่งรถแข่งของผมมันวิ่งดี มีหลายคนก็เอารถมาให้ผมทำ ก็เลยถือโอกาสเปิดอู่ไปพร้อมๆ กัน ชื่อ ช.ช้าง เรซซิ่ง จนมาถึงในปี 2556 ช่วงต้นๆ ปี ผมเลิกกิจการทั้งหมด เพราะขาดทุนจากรถใหม่ป้ายแดง ลดราคา 1 แสนบาท ในยุคนั้น อย่าง JAZZ หน้าเต็นท์ผมตั้งขายอยู่ 5.2 แสนบาท แต่ราคารถใหม่ป้ายแดง เหลือ 5.6 แสน ผมนี่ฝันร้ายเลย  หลับกลางอากาศทันที แต่มันเริ่มมีสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2555 แล้วล่ะ รวมทั้งผมใช้ชีวิตประมาท คิดว่าเงินหาง่าย รถก็แข่ง แล้วเงินที่มาทำเต็นท์รถก็ไม่ใช่เงินผมเองทั้งหมด มีเงินบางส่วนที่จะต้องเสียดอกเบี้ยในแต่ละเดือนด้วย ทีนี้ก็เละเทะสิ เป็นหนี้บานเลย ราวๆ 13 ล้านบาท

แต่ในช่วงที่แข่งรถในสนาม ผมได้เห็นเสื้อของแต่ละทีม ผมคิดว่าดีไซน์หรือการออกแบบ ทำไมไม่เฟี้ยวเหมือนของทีมแข่งต่างประเทศเลย ผมก็ได้ไอเดียจากตรงนี้แหละ  เริ่มมาออกแบบทำเสื้อทีมแข่งของตัวเองก่อนเลย ผมใส่เดินตั้งแต่พิตแรกจนพิตสุดท้าย หลายๆ ทีมแข่งถามผมว่าทำเสื้อที่ไหน? ทั้งนั้นเลย ผมก็บอกว่าผมทำเอง นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของ Race Wear

ในช่วงปลายปี 2555 ที่เศรษฐกิจผมเริ่มแย่ แต่ธุรกิจเสื้อผมกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมเริ่มศึกษาเรื่องการสกรีน เพราะเรื่องตัดเย็บผมชำนาญอยู่แล้ว ก็ทำกันที่อู่เนี่ยแหละ ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ก็เริ่มมีลูกค้าสั่งเสื้อเข้ามาเรื่อยๆ จนคิดว่าถ้าต้องเลิกจากการทำอู่ ผมก็จะไปทำเสื้อสกรีนขายแล้ว เมื่อตัดสินใจแบบนั้น ผมก็ย้ายออกจากการทำอู่  แล้วไปซื้อโต๊ะสกรีน มาทำอาชีพขายเสื้ออีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้ชื่อว่า Race Wear สมัยนั้นผมยังใช้ Facebook ไม่เป็น ก็ใช้วิธีการขายแบบปากต่อปาก เพราะเรื่องรถ เรื่องลายของแต่ง เทอร์โบ เครื่องยนต์ ลูกสูบอะไรพวกนี้ ผมรู้อยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากในการออกแบบ  เอาไปขายใครก็มีแต่คนชอบ ซึ่งในยุคนั้นผมไปซื้อเสื้อโหลมาสกรีนใส่ลาย ปรากฏว่าปัญหาที่ตามมาคือเสื้อมันหด ลูกค้าก็เริ่มฟีดแบ็กกลับมา ก็เลยพัฒนาและศึกษาว่าทำอย่างไรไม่ให้เสื้อหด ทำอย่างไรไม่ให้สกรีนบนเสื้อแตก สรุปเมื่อหาทางแก้ไขได้ ก็ต้องรบกวนทุนจากพ่ออีกเหมือนเดิม ในการเริ่มธุรกิจในครั้งนี้

ผมเริ่มเปลี่ยนจากซื้อเสื้อโหล เปลี่ยนมาซื้อผ้าเป็นม้วน เพื่อทำแพทเทิร์น ตัดเอง โดยเน้นผ้าสีดำ สีขาว สีเทา กลไกการตลาดก็สอนผมว่าควรศึกษาและเรียนรู้จากผู้บริโภคให้มากกว่านี้  สีดำ ไม่ใช่ปัญหา ขายดีมาก  แต่สีขาวกับสีเทาต้องบอกว่าเหลือบึ้มๆ  ณ ปัจจุบันนี้ผ้าสีขาวล็อตแรกยังคงมีเหลืออยู่เลยครับ  พอวัตถุดิบดี คราวนี้ก็จะตามมาด้วยราคาที่สูงตามขึ้นมา  คือสูงกว่าตลาดล่าง  แต่เมื่อถ้าเทียบกับในห้าง  ผมต่ำกว่าเค้ามาก  เพราะผ้าที่ผมใช้เป็นเกรดเดียวกับเสื้อแบรนด์เนมที่ขายอยู่ในห้างครับ เมื่อจบปัญหาผ้าไม่หด ก็มาแก้ที่ตัวลายสกรีนที่แตกต่อ ด้วยการลงทุนซื้อเครื่องอบออโตเมติกมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ Race Wear เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคจวบจนถึงทุกวันนี้ครับ ณ วันนี้ เสื้อของผมมันไม่ได้อยู่แค่ในตลาดเมืองไทย ประเทศเพื่อนบ้าน มาเลยเซีย  อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็เริ่มนำเสื้อไปขายในประเทศของเค้าแล้วครับ อนาคตผมตั้งใจไว้ว่า ประเทศไหนมีสนามแข่งรถ  ต้องมี Race Wear อยู่ที่นั่นด้วยครับ

ผมขอทิ้งท้าย ฝากถึงน้องๆ หรือใครที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้  ผมอยากจะบอกว่า ผมเป็นหนี้อยู่ 13 ล้านบาท  ทุกวันนี้ผมยังใช้หนี้ไม่หมดเลย แต่ที่กล้าออกมาบอกในครั้งนี้ อยากจะให้ดูตัวอย่างจากตรงนี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความโลภของตัวเอง เพราะคิดว่าซื้อรถมาเดี๋ยวอีกวันก็ขายได้ หรือไปแข่งรถทีก็ใช้เงินเยอะ ไม่เคยได้คิดเผื่อเลยว่าถ้าวันรุ่งขึ้นหาเงินไม่ได้ล่ะ จะต้องทำอย่างไร ในเมื่อดอกเบี้ยมันเดินอยู่ทุกวัน จะไปโทษใครก็ไม่ได้  ต้องโทษตัวเอง ที่สะกดคำว่า “เพียงพอ” ไม่เป็นในตอนนั้น”

จากชีวิตที่เคยขึ้นไปสูงสุด ยังต้องลงมาต่ำสุดได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่จะยืนยาวเท่าความผันเปลี่ยน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวันดีๆ ที่เป็นของเราเกิดขึ้นทุกวัน ก่อนจะทำไร คิดให้ถี่ถ้วน เรื่องดีๆ มันเกิดขึ้น ใครๆ ก็แฮปปี้  แต่ถ้ามันไม่ใช่วันของเราบ้างล่ะ คุณจะหาทางออกให้กับตัวด้วยวิธีไหนครับ
ธงชาติ ดำรงประเสริฐ