XO AUTOSPORT No252
My Name is…เอก SOUL TRUCK
อะไรที่ดีจากผม ถ้าเก็บนำไปใช้ได้ เก็บเอาไปครับ ส่วนที่ไม่ดี อย่าเอาไปครับ ทิ้งไว้ที่ผมเหมือนเดิมดีกว่าครับ
เพียงคลิปสั้นๆ ไม่กี่วินาที บนโซเชียลมีเดีย กับความเชื่อที่ว่า “ความจริงคือสิ่งไม่ตาย” ทำให้ชื่อของ เอก Soul Truck กลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ถ้าคนสายกระบะเค้ารู้จักกันดี แต่เมื่อเรื่องราวมันถูกแพร่ขยายในวงกว้าง ผมว่ามีอีกหลายคนอยากจะรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน…
ก่อนจะรู้จักกับ คุณเอกชัย ปัญญายิ่ง (เอก Soul Truck) ผมขอแนะนำให้รู้จักกับสถานที่ในการถ่ายทำครั้งนี้ก่อนครับ ร้านนี้มีชื่อว่า Vinyl & Toys ตั้งอยู่แถวๆ เลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ก็ต้องขอบอกว่าสายนักสะสม อาทิ ของเล่น หุ่นยนต์ โมเดลรถ หรือแม้กระทั่งแผ่นเสียง ใครได้เข้าไปสัมผัส กรี๊ดกร๊าด แต๋วแตก แน่นอนครับ หรือจะแวะไปดื่มกาแฟ นั่งกินอาหาร ก็เงียบสงบ แล้วเป็นกันเองครับ
“เดี๋ยวนี้ความลับมันไม่ค่อยมีแล้ว…ความลับในที่นี้ หมายถึงว่า
เดี๋ยวนี้จะถ่ายรถสักคัน ยังถ่ายไม่ทันจบ รูปรถก็เผยแพร่ลงโซเชียลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งมันต่างจากเมื่อก่อน ที่ต้องมาลุ้นทุกเดือนว่ารถอะไรจะขึ้นปก แล้วรถในเล่มจะมีรถอะไรบ้าง
ซึ่งอาการรอคอย รอลุ้นแบบนี้ มันไม่มีอีกแล้ว
ความลับเลยไม่มีอีกแล้ว กลายมาเป็นความเร็วแทน
ใครอัปโหลดก่อน ก็หิ้วยอด Like ไป”
ก็มาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ สำหรับ My Name is… ในครั้งนี้ ก็ต้องขอบอกหลักเกณฑ์ในการเลือกแขกรับเชิญในคอลัมน์นี้ก่อนนะครับ จะประกอบด้วย 3 หัวข้อหลักในการพิจารณา อันแรก คือ คนสำคัญในวงการรถ ลำดับถัดมา คนที่กำลังเป็นจุดสนใจ ณ ตอนนั้น และลำดับสุดท้ายคือลูกค้า ครับ โดยวัตถุประสงค์ในการสร้างคอลัมน์นี้ขึ้นมาก็เพื่อแนะนำให้รู้จักว่าเค้าเป็นใคร แล้วกำลังทำอะไรอยู่ อนาคต เค้ามีเป้าหมายอย่างไรครับ
เมื่อทีมงานและคุณเอก Soul Truck มาถึงก็จัดแจงเตรียมสถานที่ มองหามุมเหมาะเพื่อนั่งคุยกัน อยากจะบอกว่า คุยกันเรื่องอื่นๆ มากกว่าเรื่องงานอีกครับ แถมแอบเกรงใจ คุณเอก ที่จัดการเรื่องเครื่องดื่มระหว่างนั่งคุยกันอีก ขอบคุณมากครับ ก็ต้องบอกว่าการคุยครั้งนี้ เหมือน “สื่อ” คุยกับ “สื่อ” มีทัศนคติมองมุมต่างคล้ายๆ กัน ผมจึงเริ่มหยิบเครื่องบันทึกมากดเรคคอร์ดอีกครั้ง เมื่อคุณเอก แนะนำตัวเอง “ผม เอก Soul Truck” หรือ เอกชัย ปัญญายิ่ง ด้วยนิสัยส่วนตัวของผมเป็นคนชอบรถอยู่แล้ว ซึ่ง ณ ปัจจุบัน คนจะรู้จักผมในฝั่งสายดีเซล แต่จริงๆ แล้ว ผมเริ่มต้นมากับรถฝั่งเบนซินครับ ซึ่งตอนเรียนจบการจัดการ วุฒิการศึกษาชั้นปริญาตรี จากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต รุ่น 1 ผมก็ได้แต่มองเพื่อนๆ ที่เค้ามีรถขับกัน ตอนนั้นผมยังไม่พร้อมที่จะมีรถ แต่ก็คิดเสมอว่า ถ้ามี ผมจะแต่งรถของผมให้ออกมาเป็นแบบใด ในช่วงขณะที่ผมกำลังศึกษา เผอิญเพื่อนของผมเค้าทำงาน นิตยสารรถชั้นนำในยุคนั้น ด้วยความชอบรถ ผมก็คุยกับเค้า แต่สิ่งที่ผมได้รับ คือความรู้สึกเหมือนเค้าไม่ค่อยอยากคุยกับผมเท่าไหร่ หรือผมเองไม่มีรถ? ผมคิดแบบนั้นนะ ก็เลยเก็บความรู้สึกนั้นมาสร้างแรงดันให้ชีวิต คิดว่าวันนึงต้องมีรถให้ได้ จนเมื่อผมสำเร็จการศึกษา ก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานเกี่ยวกับรถยนต์ แต่เป็นในส่วนการตลาด ของบริษัทมหาจักรออโต้พาร์ท เป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ พวกข้อเหวี่ยง ลูกสูบ ให้กับบริษัทรถ จากการที่เริ่มต้นทำงานที่นี่ก็มีโอกาสได้ซื้อรถยนต์คันแรกให้กับตัวเอง เรื่องของการตกแต่งไม่ห่วง “ยับเลย” ในหัวที่เคยคิดว่าต้องเป็นแบบไหน ก็จัดการเสกมาให้อยู่ในรถดั่งใจต้องการ ในช่วงที่ทำงานที่แรก ก็แต่งรถมันส์มาก แล้วด้วยอุปนิสัยส่วนตัว ชอบซื้อหนังสือรถแต่งมาอ่านเป็นประจำอยู่แล้ว ในยุคโทรศัพท์ทันสมัยก็ Nokia 3310 ไม่มี iPhone อะไรแบบนี้ โซเชียลมีเดียไม่ต้องพูดถึง เพราะมันไม่มี จะมีก็แต่หนังสือรถนี่แหละ เดือนนึงออกที ลุ้นน่าดูว่ามีรถอะไรลงมั่ง อย่าง XO ผมก็ดูอยู่เป็นประจำ เพราะต้องอัปเดต ดูแนวทางการแต่งเป็นอย่างไร รถที่แต่งมาแต่ละคันมันก็มีเลเวลการแต่งที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมก็ศึกษาจากตรงนี้ ถ้าจะทำแบบนี้ ผมจะไหวขนาดไหน ก็อะไรประมาณนี้
“ในยุคที่เป็นแมกกาซีน เสน่ห์มันคือตัวหนังสือ เราเสพย์ตัวหนังสือ
เพราะการอ่านจะทำให้คนจำ แต่ ณ ปัจจุบันไม่ใช่แบบนี้
มันเหมือนเลื่อนดูๆ ผ่านแล้วก็ผ่านเลย ผมว่ามันไม่ค่อยมีเสน่ห์”
ทำงานมาได้สักระยะ ก็คิดว่าตรงนี้มันยังไม่ใช่ตัวตนที่อยากจะเป็น มีอยู่วันนึงเปิดเจอในหนังสือสมัครงาน ทางนิตยสาร ออโต้ ออปชั่น เค้าเปิดรับพนักงาน ผมก็ไปสมัครเลยนะ เพราะอยากทำมาก คิดว่านี่แหละคือตัวตนที่อยากจะเป็น ผมสมัครไป 3 ครั้ง กว่าเค้าจะเรียกผมเข้าไปสัมภาษณ์ ผมคิดว่าเขาก็คงงงกับผมเหมือนกัน ซึ่งที่ ออโต้ ออปชั่น เค้าอยู่แถวปิ่นเกล้า แต่บ้านผมนี่สิ อยู่หนองจอก มันคนละฝั่งเมืองกันเลย แต่ในที่สุดผมก็กลายเป็น “เอก ออโต้ ออปชั่น” ได้ทำงานสมใจ ก็ใช้เจ้าโตโยต้าสามห่วง ตัวซิ่งของผมเนี่ยแหละ ขับใช้ไปทำงานทุกวัน
ผมทำงานได้ 2-3 ปี ในช่วงนั้น เพื่อนร่วมงานงาน หรือรุ่นพี่ ก็ได้แตกแขนงออกไป หนังสือของตัวเองบ้าง จนเหลือผมนี่แหละเป็นรุ่นสุดท้าย ซึ่งมันก็เป็นช่วงของเศรษฐกิจที่ต้องดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้น ผมก็คิดว่า มันถึงเวลาของผมแล้วสินะ ที่ต้องออกไปเดินด้วยตัวเอง แต่ยังคงชอบรักในงานด้านนี้อยู่ ก็ต้องขอบอกว่าในช่วงที่ผมยังทำงานอยู่ที่หนังสือรถ จังหวะชีวิตของผมโชคดี ได้มีโอกาสไปรู้จักกับพี่ท่านนึง ที่เค้าเป็นฝ่ายมาร์เก็ตติ้งอยู่ที่บริษัท ปตท. ซึ่งเค้าแนะนำผมให้รู้จักทางกับช่อง 5 เผอิญเค้าทำรายการ PTT Auto Car ทางช่อง 11 ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ซึ่งจากจุดนี้แหละ ผมจึงมีโอกาสเข้ารับบทบาทพิธีกรในรายการ เป็นอีกหนึ่งบทบาทของชีวิตที่ได้ก่อตัวขึ้นมา เพื่อเป็นประสบการณ์ในการก้าวต่อไป
จนวันนึงผมยุติบทบาท ชื่อ เอก ออโต้ ออปชั่นลง แต่ยังคงเดินสายงานพิธีการอยู่ รุ่นพี่ท่านนึงเค้าทราบก็ชักชวนผมไปเป็น บรรณาธิการ นิตยสารรถ BKK ก็ถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ผมได้งานพิธีกรเพิ่มอีก คือ รายการ มอเตอร์กูรู ทางช่อง 11 ทำไปสักพักก็มีงานพิธีกรอีกรายการ มอเตอร์ ออนทัวร์ เป็นรายการท่องเที่ยวกึ่งมอเตอร์สปอร์ต ผมก็รับหมดนะ ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานของชีวิต ยิ่งทำเยอะ ก็ยิ่งได้ความรู้เยอะ เป็นคนนึงที่เดิสายมีเดียทางด้านยานยนต์อย่างเต็มตัวเลยในตอนนั้น
“คุณลองคิดดูนะครับ ถ้ารถของคุณได้ลงแมกกาซีน แล้วมีคนยอมจ่ายเงิน
เต็มใจที่จะซื้อแมกกาซีนเล่มนั้นไป ดูรถของคุณ ถ้าผมเป็นเจ้าของรถคงภูมิใจมาก
ซึ่งมันต่างจากปัจจุบันนะ ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อดู
ผมก็เลยไม่รู้ว่า เรากำลังยัดเยียดให้เค้าดูหรือเปล่า?”
หลังจากทำได้สัก 2 ปี ก็เข้าสู่ยุคของเหตุบ้านการเมือง เรื่องของพิธีกร รายการทีวีก็เฟดๆ ลง แล้วก็มีนายทุนท่านนึง มีโปรเจกต์อยากทำนิตยสารรถ เลยชักชวนผมไปร่วมโครงการกับเค้า ผมก็ตัดสินใจไปร่วมงานกับเค้าในตอนนั้น โดยรับบทบาทเป็นบรรณาธิการบริหาร ซึ่งทำอยู่ได้สักระยะ ก็คิดว่า ความคิดเห็นในบางมุมของการเป็นสื่อ มันถูกจำกัดด้วยบางอย่าง ซึ่งมันทำให้การทำงานมันค่อนข้างลำบาก และไม่หลากหลายในการนำเสนอสู่ท่านผู้อ่าน มันขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวผมที่จะทำมัน ผมก็เลยลดบทบาท จากการเป็นบรรณาธิการบริหาร ถอยตัวออกมาไม่เดินต่อ มันเป็นช่วงจุดหักเหของผมเลยนะ เผอิญไปตรงกับยุคคอมมอนเรลที่กำลังได้รับความนิยมมาก ณ ตอนนั้นมี่รุ่นพี่ท่านนึงเป็นเจ้าของนิตยสาร และก็จัดรายการแข่งขันด้วย เค้าให้โอกาสกับผม ด้วยการไปร่วมงานพิธีกรสนามแข่งขัน เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์ทางด้านพิธีกรรายการทีวีมาก่อน ผมก็ตอบรับคำเชิญของพี่เค้าด้วยการไปร่วมเป็นพิธีกรสนาม ในรายการแข่งขันดีเซล บอกตามตรง ไม่เคยรู้จักทางด้านดีเซลมาก่อนเลย นับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์นี้ หลังจากนั้นก็มี พี่โจ ไฮซีเทน ชักชวนผมไปร่วมเป็นพิธีกรด้วยอีกหนึ่งรายการ ซึ่งตัวผมเองก็ยังใหม่กับตรงนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ของพิธีกร ผมสามารถชี้นำคำถาม โดยที่ผมไม่รู้ แล้วเค้าก็ตอบมาด้วยความจริง จากตรงนั้น มันก็ทำให้ผมได้ซึมซับ เรียนรู้ ได้รู้จักกับนักแข่ง ทีมช่าง ในวงการดีเซลหลายๆ ท่าน
ซึ่งพอผมมาทำในจุดนี้ ก็ย้อนคิดไปว่า ในยุคตอนที่ผมทำนิตยสารในกลุ่มรถเบนซิน จะสังเกตเห็นว่าในยุคนั้น ก็จะมี VCD หรือ DVD แถมมากับตัวนิตยสาร แล้วทำไมกลุ่มดีเซล ถึงไม่มีอะไรแบบนี้บ้าง ก็เลยคิดว่าสายดีเซลควรมีอะไรในลักษณะนี้บ้าง ผมก็เลยเติมเต็มสายดีเซลในตรงจุดนี้ด้วยการทำแมกกาซีน ออกพร้อมแผ่น DVD ที่มีแต่รถกระบะอย่างเดียวออกมา จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Soul Truck Magazine มาจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ครับ เป็นการเดินทางเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว สำหรับแมกกาซีนรถกระบะ ที่มีแผ่น DVD เป็นเจ้าแรก มาในยุคหลังโลกยุคดิจิทัลเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาพเคลื่อนไหวที่เคยอยู่ใน DVD ก็ถูกเปลี่ยนเป็นระบบการสแกน QR Code เพื่อเข้ารับชมแทนครับ
“คำว่า “สื่อ” สำหรับตัวผม มันอยู่ที่จรรยาบรรณตัวเราครับ
ว่าจะเลือกเป็น “สื่อที่ดี” หรือ “สื่อที่เลว” เราจะเดินต่อไปอย่างไร
ให้เค้าเคารพ และมีความคิดว่า “สื่อ” ยังคงมีความสำคัญกับพวกเค้าอยู่”
หลังจากนี้ต่อไปในอนาคต ในฐานะที่ผมก็เป็นสื่อคนนึง ที่เกิดมาจากแมกกาซีน ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงทำอยู่ ผมบอกกับทุกคนที่รู้จักว่า มนต์เสน่ห์ของคนเล่นรถ หรือแต่งรถเนี่ย เมื่อแต่งมาถึงที่สุดแล้ว ก็อยากมีโอกาสได้ลงแมกกาซีนเก็บไว้สักครั้ง ผมมองว่ามันคือความภาคภูมิใจนะ ขั้นตอนแต่ละขั้น กว่าจะมาเป็นรูปรถสวยลงในแมกกาซีนได้แต่ละฉบับ มันไม่ได้เหมือนกับ ถ่ายรูป ปรับรูปในโปรแกรม แล้วอัปโหล ขึ้นโซเชียลก็จบแล้ว แต่ถ้ามาทำเป็นแมกกาซีนล่ะ ค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ การจัดหน้า และอีกหลากหลายอย่างมากมาย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในการที่จะเป็นแมกกาซีน 1 เล่ม ต้นทุนมันมหาศาล ผมว่ามันคือความขลังนะ เล่นรถมาทั้งที ก็น่าจะมีรูปรถที่ตัวเองรักอยู่ในหนังสือ หรือตัดเก็บใส่กรอบไว้เป็นที่ระลึก วันใดคิดถึง หยิบมาดู เปิดอ่าน ก็ยังยิ้มได้เสมอ”
ได้รู้จักตัวตนของ คุณเอก Soul Truck กันไปแล้วนะครับ ว่าเค้าเป็นใคร มาจากไหน ของแบบนี้ มันอยู่ที่การสั่งสมประสบการณ์ครับ ถ้าคุณเป็นคนดี และรักที่จะทำความดี มันไม่จำเป็นจะต้องไปโปรโมตด้วยตัวเองหรอกครับ เพราะคนที่เค้าเห็นว่าคุณเป็นคนดี เค้าก็จะไปบอกต่อกันเองครับ…