“ผมซื้อรถแข่ง Toyota Altezza ของ Daigo Saito’s ในราคาที่ทุกคนบอกว่า สามารถซื้อรถที่ดีกว่านี้ ใหม่กว่านี้ได้เลยนะ แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ผมเลือกที่จะซื้อเทคโนโลยีจากรถของเค้า ซื้อความรู้จักจาก Idol ที่ผมชอบ ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้รู้จักกัน แถมยังได้วิชาตอนที่เค้าสอนขับรถคันนี้อีกด้วย ซึ่งถ้าซื้อรถใหม่ รถเจ๋งๆ ผมว่าก็เฟี้ยวนะ แต่ก็ต้องมานั่งงม ยืดเวลาที่จะไปถึงความสำเร็จออกไปอีก ผมก็เลยเลือกที่จะซื้อทางลัดไปสู่ความสำเร็ขของชีวิตให้เร็วขึ้น ซึ่งผมมองว่ามันคุ้มค่ากับราคาที่เสียไป”
STORY : T.AVIRUTH (^_^!)
PHOTO : ธัญญนนท์ แสงภู่, พงศกร พรามแม่กลอง
My Name is…Born To Be “เอส” ชนัฐพนธ์ เกิดเปี่ยม
Goodyear Formula Drift Thailand 2009 จำได้ว่าในปีนั้น มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นหลายอย่างในวงการ Drift ของประเทศไทย ทุกๆ คนได้รู้จักลีลาความบ้าคลั่งของ Mad Mike หรือจะเป็นศัพท์ติดปากที่ถูกบัญญัติขึ้นในงานนั้นอย่าง One More Time (OMT) และพร้อมกับคำอุทานว่า “ใครวะ?” ได้หลุดจากปากของผม เมื่อเห็น Cefiro ของเด็กน้อยโนเนมคนนึง ที่ไม่มีใครรู้จัก ผ่านเข้ารอบ 8 คันสุดท้ายเข้ามาในคืนวันนั้น มันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือ “พรสวรรค์” ของ เอส ชนัฐพนธ์ เกิดเปี่ยม
นับเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมภาษณ์ น้องเอส มาลง My Name is… ในเล่มนี้กันถึงที่บ้าน (ย่านพุทธบูชา) ซึ่งประเด็นหลัก! ที่นำพาไปหาจุดสนใจมันอยู่ที่ “ระยะอันสั้นๆ” ที่น้องเอส ได้เข้ามาโลดแล่นในวงการ Drift และมีโอกาสไปคว้าชัยในต่างแดน ผมว่าหลายๆ คนอยากรู้ว่าอะไรล่ะ? ที่นำพาให้เค้าไปยืนในจุดนั้นได้ ผมคิดว่าเมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้!!! หลายๆ คนคงละสายตาจากประโยคนี้ ไปมองหา “คีย์เวิร์ดสำคัญ” ที่นำพา น้องเอส ไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน ผมว่าอย่าเสียเวลาเพ่งสายตามองหามันเลย ตัวอักษรถัดไปจากนี้ คือ ชีวิตตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันของหนุ่มน้อยคนนี้…
หนุ่มน้อยเปล่งเสียงแรกออกมา มันทำให้เห็นภาพของคำว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” ได้ชัดเจนขึ้น เมื่อเค้าบอกว่า “เค้าเกิดมาในครอบครัวของนักแข่งรถ โดยคุณพ่อของผมเป็นนักแข่งแรลลี่ อยู่ในทีมเรดบูลล์รุ่นแรก แข่งรถมาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิดอีก ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ คือคุณพ่อเลิกแข่งแรลลี่ไปแล้วหลายปี จนมาในปี 2006-2009 คุณพ่อได้กลับมาแข่งรถแรลลี่อีกครั้ง จากจุดนี้แหละ ที่ทำให้ เอส ได้มีโอกาสเห็นรถแข่งจริงๆ โดยติดตามคุณพ่อไปสนามตลอด ถ้าท่านต้องไปแข่งขัน
ตัวผมเองน่ะ ขับรถเป็นตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยก่อนหน้านี้ คุณพ่อเป็นคนหัดให้พี่สาวขับ ลองขับในสวน เดินหน้า-ถอยหลังยาวๆ ซึ่งผมเองก็นั่งไปด้วยตลอด แต่คุณพ่อก็ไม่อนุญาต เพราะผมเองยังเด็กอยู่มาก ขอบ่อยๆ ตื๊ออยู่นาน จนท่านเริ่มใจอ่อน ขอลองขับ โดยที่เค้าไม่เคยสอนมาก่อน แต่ผมจำเอาจากที่คุณพ่อสอนพี่ และได้ลองนั่งไปด้วยตลอด สรุปว่าผมลองทีแรกก็ขับได้เลย เล่นเอาคุณพ่อ-คุณแม่ประหลาดใจ แต่ผมคิดว่ามันเป็น “ความอยาก” และตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จมากกว่า
ถึงจะขับรถได้แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมขับออกไปไหน ทำได้แค่ขับเดินหน้า-ถอยหลัง อยู่ในสวนนั่นแหละ ทำแบบนั้นอยู่ประมาณครึ่งปี จนกระทั่งได้ออกมาขับนอกสวน แต่ใกล้ๆ บ้าน ก็รู้สึกดีใจ ตอนนั้นผมอยู่แค่ ป.3 เอง ขาก็ยังไม่ถีง คุณพ่อก็ไปซื้อเบาะรองก้นกับเบาะดันหลังมาให้ เปรียบเสมือนคุณพ่อเริ่มจะสนับสนุนให้ผมขับรถอย่างจริงจังแล้ว และที่สำคัญ!! รถที่ผมใช้ขับ คือรถออฟโรด คันสูงๆ นะครับ ตัวผมก็เล็กนิดเดียว มองแทบจะไม่เห็นคนขับ เหมือนกับรถวิ่งได้เองเลย บางครั้งก็เอา Lancer Evo รถซิ่งคุณพ่อ มาลองขับเล่นในบ้าน เดินหน้า-ถอยหลัง ลองเหยียบคลัตช์ เปลี่ยนเกียร์ ให้คล่องมือ
ก็มาสู่ยุคที่คุณพ่อกลับมาเล่นรถแรลลี่อีกครั้ง ในปี 2006-2009 อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น ผมก็ตามไปสนามแข่งตลอด เพราะชอบ และอยากขับรถแข่ง ตอนนั้นจำได้ว่าเรียนอยู่ไม่เกินมัธยมปีที่ 2 มีรุ่นพี่คนนึงก็เป็นนักแข่งรถที่อายุน้อยเช่นกัน ก็เลยอยากจะเป็นอย่างพี่เค้า คือมีคุณพ่อ และ พี่โอฬาร สานศิริรักษ์ เป็นแบบอย่าง ก็เลยตื๊อร้องขอขับรถแข่ง แต่ยังไงๆ คุณพ่อท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่าแข่งรูปแบบนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยง ก็เลยไม่อยากให้แข่งรถในรูปแบบนี้ ซึ่งมันเป็นช่วงเดียวกับพี่สาวผมเค้าอยากขับรถแข่งเหมือนกัน เผอิญว่าเพื่อนคุณพ่อรู้จักกับ คุณง้วน สาระแน (กฤษฎา ตั่งเวชกุล) ก็เลยเลือกวันที่เค้าซ้อม Drift กันที่สนาม หลังห้างซีคอนสแควร์ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นการขับรถในรูปแบบนี้ และก็ในวันนั้นเอง ผมก็ได้รู้จัก อาหนึ่ง ราชาแม็ก ด้วยอีกเช่นกัน
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณพ่อวางไว้ คือให้ “อาหนึ่ง ราชาแม็ก” เป็นครูฝึกสอนพี่สาว โดยคุณพ่อซื้อรถให้กับพี่สาวเป็น Cefiro A31 เพื่อมาทำการ Drift โดยเฉพาะ ผมเองก็ได้แต่มอง เพราะยังไม่ใช่เวลาของผม แต่ในใจก็แอบคิดเหมือนกันว่า “เราเองก็ขับได้แต่ทำไมไม่ให้เราลองบ้าง” จนในวันซ้อมครั้งแรก ที่จะไปเรียนกับอาหนึ่ง ราชาแม็ก ผมจำได้แม่นเลย เพราะว่าตรงกับวันแข่งกีฬาสีของโรงเรียน และตัวผมเองก็เป็นนักกีฬาวิ่งด้วย ซึ่งในหัวตอนนั้นผมคิดแค่เรื่องรถเรื่องเดียวก็เลยตัดสินใจ!! ให้เพื่อนลงไปวิ่งแข่งแทน ส่วนผมหนีโรงเรียนออกมา เพื่อรีบเดินทางมาสนาม มาดูพี่สาวซ้อมรถ และก็อ้อนวอนคุณพ่อ ขอลงไปขับบ้าง เพราะอยากขับมาก ซึ่งมันคุ้มค่ากับการตัดสินใจหลายๆ อย่างในวันนั้น โดดเรียน หนีแข่งกีฬา และคุณพ่อที่ให้โอกาสได้ลองขับในวันนั้น ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เคยขับรถซิ่ง เครื่องแรงๆ ใช้กำลังเต็มพิกัดมาก่อนเลย ในครั้งแรกที่ลอง อาหนึ่ง บอกเริ่มจากฝึกขั้นพื้นฐานก่อนเป็นอย่างแรก คือการทำรถหมุนเป็นวงกลม หรือที่เราเรียกติดปากว่า “โดนัท” ผมลองทำอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ทำได้ พร้อมกับทำขับเป็นเลข 8 ได้ในอีกไม่นานหลังจากนั้น ซึ่ง อาหนึ่ง เห็นว่าผมเรียนรู้ได้เร็ว และจับรถแป๊บเดียวก็ขับได้แล้ว ก็เลยบอกกับคุณพ่อให้สนับสนุนผม เพราะดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์มาทางด้านนี้แล้วหละ
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น มันทำให้ผมได้ลงมาขับ Drift อย่างเต็มตัว โดยทุกครั้งที่ไปซ้อม ผมและพี่สาวจะผลัดกันคนละชั่วโมง ยิ่งขับยิ่งชอบ ก็เลยทำข้อตกลงกับคุณแม่ด้วยเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผมคือ “ถ้าเทอมนี้ผมสอบได้เกรดเฉลี่ย 3 .0 ขึ้นไป อยากให้คุณแม่ซื้อรถแข่ง Cefiro ให้หน่อย คุณแม่ก็รีบตอบตกลงทันที เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผมสอบได้เกรดเฉลี่ย 1 กว่าๆ มาตลอด หลังจากที่ผมได้ยึดถือข้อตกลงเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ทำการบ้านทุกวัน ไม่เคยขาด ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แบบว่าตั้งใจสุดๆ ผลสอบออกมา ผมสอบได้เกรดเฉลี่ย 3 พอดิบพอดี คุณแม่เห็นถึงกับตกใจ!! รีบไปซื้อรถมาให้ผมเลยตามสัญญา
ก็เลยเป็นดิวของผมกับคุณแม่ คือถ้าจะทำอะไรก็ต้องเอาผลการเรียนมาแลก เป็นอะไรประมาณนั้นมาตลอด ซึ่งมันก็ตรงกับปี 2009 ช่วงๆ ต้นปี ที่ผมได้รถมา ก็ทำการฝึกซ้อมตลอด และมีโอกาสได้ลงแข่งตอนช่วงปลายปี ในรายการใหญ่ที่ใครๆ ก็อยากมา Goodyear Formula Drift Thailand 2009 เป็นการรวมตัวของขุนพล Drift ทั่วประเทศ และเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีนักแข่ง Drift จากต่างประเทศมาร่วมชิงชัยด้วยในครั้งนี้ ซึ่งผมก็ตั้งใจขับให้ดีที่สุด จากเด็กน้อยอายุ 16 ปี ที่ไม่มีใครรู้จัก ชีวิตก็เปลี่ยนในช่วงข้ามคืน เมื่อติดเข้ารอบชิง 8 คันสุดท้าย!!!
พอเริ่มต้นปี 2010 ผมก็ได้เข้าร่วมทีมกับ Goodyear แล้วก็มีโอกาสไปแข่งที่ประเทศมาเลเซีย ผมก็ไม่คาดคิด ในช่วงระยะเวลาสั้นๆของตัวเองจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ได้มีโอกาสแข่งกับนักแข่งดังๆ อาทิ Mad Mike หรือใครต่อใครอีกหลายคน ในรอบแรกเสมอ ประสบการณ์จากการแข่งขันของผมก็เพิ่งจะเริ่มต้น จะบอกว่าไม่หวั่น หรือไม่ท้อ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ผมบอกกับ คุณพ่อว่า เจอแบบนี้ตั้งแต่แรกตลอดเลย ท้อมาก คุณพ่อบอกว่า “เจอแบบนี้น่ะดีแล้ว มันจะทำให้เราแข็ง ดีกว่าเราเจอคนที่ไม่เก่งแล้วเอาชนะเค้าได้ มันไม่ภูมิใจ” ซึ่งจากประสบการณ์ตรงนี้ที่ได้สัมผัส ขับกับคนเก่งๆ มา พอกลับมาแข่งในเมืองไทย เรารู้ตัวทันทีว่า เอาสิ่งที่เราท้อเมื่อเจอกะคนเขี้ยวๆ มันเป็นแรงผลักดันให้ฝีมือเราพัฒนาขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว
มีอยู่แมตช์นึงที่ทำให้เราคิดพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น คือ ได้วิ่ง One More Time กับ พี่นนท์ Overdrive คือในช่วงนั้นพี่เค้าเป็น Drift God มันก็ทำให้ผมคิดว่า เราก็เพิ่งเริ่มและได้มีโอกาสวิ่งกับพี่เค้า แถมวิ่งเสมอได้ OMR ด้วย ซึ่งถ้าเราพยายามมากกว่านี้ก็น่าจะเป็น Drift God ได้เหมือนพี่เค้า หลังจากที่วิ่งกับพี่นนท์ ในวันนั้น ก็เก็บข้อมูลมาศึกษา เราเสียเปรียบที่ตรงไหน รถ 4 ประตู ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกับรถ 2 ประตูอย่างไร? เราบกพร่องจากช่วงไหน ซึ่งทั้งหมดที่ผมคิดวิเคราะห์ และไตร่ตรองก็ศึกษามาด้วยตัวเองตลอด อาทิ ผมขับรถ 4 ประตู ก็จะเลือกหาคนที่ใช้รถ 4 ประตู อย่าง Mr. Nomura Ken ผมก็หามุมกล้องทุกมุมที่มี ทั้งในรถและนอกรถ มาศึกษา ดูเค้าเข้าแบบไหน สะบัดรถอย่างไร ออกโค้งแบบไหน ถึงจะเร็วขึ้น หรือถ้าวันไหนที่ผมไปแข่งแล้วแพ้กลับมา ก็จะกลับมาบ้านเพื่อศึกษา ดูมุมกล้อง ออนบอร์ดต่างๆ ทุกจุด เพื่อแก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง คือ “ถ้าปราศจากข้อบกพร่อง มันก็จะเหลือแต่สิ่งดีๆ ทำอะไรมันก็ไม่ลำบาก”
เรื่องของการเซ็ตอัพรถแข่ง ก็ทำกันเองกับช่างที่ทำรถแรลลี่ของคุณพ่อ ทำกันเองในครอบครัว แรกๆ ก็งง เซ็ตอัพ รถแข็งทื่อเป็นกระดานเลย ฟรีทิ้งกระจาย ผมก็เลยลองไปเปิด YouTube ศึกษารถที่เค้าวิ่งดีๆ เซ็ตกันแบบไหน น้ำหนักตัวรถมีผลอย่างไร ทางบ้านมีแค่พื้นฐานทำรถแรลลี่ ที่เหลือก็ค่อยๆ ปรับกันไป
ส่วนผลงานล่าสุดที่ผ่านมา Achilles Formula Drift Malaysia 2013 การแข่งขันในแมตช์นี้ไม่มีความพร้อมเลย เปลี่ยนรถมาเป็น 200 SX ก็ยังไม่ดีพร้อม คือว่ากะจะทำมาเป็นรถสำรอง ทำสี โรลบาร์ เสร็จ ก็เหลือเวลาไม่ถึง 20 วัน เครื่องยังไม่วาง ยังไม่ทำอะไรเลย เร่งสุดๆ ทำทั้งวันทั้งคืน จนวันที่ส่งรถขึ้นตู้ รถก็ยังไม่เสร็จอะไรเลย แค่ประกอบให้เป็นคัน อย่างช่วงล่างก็ยกมาตรฐานของรถแข่งอีกคันมาใส่ ครั้งนี้ไม่ได้หวังอะไรเลย เพราะรู้ตัวเองว่าไม่พร้อม ซึ่งมันก็มีอุปสรรคตามาจริงๆ ในความพร้อม คือรันแรกแตะแทร็ก โค้งแรกก็เกียร์แตกก่อนเลย กว่าจะยกเปลี่ยนลูกใหม่เสร็จก็เหลือเวลาซ้อมได้อีกเพียง 2-3 รอบ แต่ก็ใช่ว่าดี เข้าเกียร์ 2, 3, 4 เด้งหลุดตลอด เหมือนกับไม่ได้ซ้อมเลย
พอมาวันรุ่งขึ้นเกียร์ลูกใหม่ที่ใส่แล้วเด้งหลุด เกิดแตกอีก ไม่เหลือที่สำรองแล้วด้วย ก็แก้ไขด้วยการเจียร์เฟืองเกียร์ 3 ทิ้ง เปลี่ยนเฟืองท้ายใหม่ที่วิ่งได้สัก 2 เกียร์ ลงไปวิ่งประคองไว้ก่อน ก็ยังไม่ถึงกับเข้าตาจน โชคดีที่เพื่อนร่วมทีมมีเกียร์สำรองอีกลูก ก็เลยขอซื้อเค้ามาใส่ แล้วก็ควอลิฟายเลย โดยรันแรกชาร์จออกไปแล้วเกียร์เด้ง ก็เลยประคองไว้ได้แค่เกียร์ 2 พอรันที่ 2 มีการเซ็ตอัพใหม่ ในรันนี้ผมวิ่งได้เต็ม แต่ก็คะแนนไม่สูง เพราะติดขับในสไตล์ D1 ซึ่ง Formula Drift เค้าจะตรงข้ามกับ D1 ทั้งหมด เผอิญโชคยังเข้าข้างตรงที่เค้ามีช่วงให้ซ้อม ผมก็ซ้อมอย่างบ้าคลั่ง จับจุดของรถให้ได้ ก็เลยประสบความสำเร็จ คว้าชัยในสนามนี้มาครอง
ณ วันนี้ผมประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องบอกว่า ครอบครัวมาเป็นอันดับแรก ที่คอยสนับสนุนมาตลอด และถัดมาก็เป็นผู้ที่เข้ามาสนับสนุนผม ซึ่งถ้าลำพังมีแต่จ่ายกับจ่ายสถานเดียว ก็เหนื่อยอยู่ แต่ทุกคนที่เข้ามาเล่น ก็เล่นด้วยใจรักกันทั้งนั้น คืออย่างตัวผมเองนะ มองว่าแข่งรถก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และต้องก้าวไปยืนตรงนั้นให้ได้ แต่ถ้ารักจะแข่งรถแล้วไม่มีเป้าหมาย มันก็จะไม่มีแรงผลักดันตัวเองให้ไปข้างหน้า และเป้าหมายในอนาคตตั้งแต่ผมรู้จัก Drift มี 2 อย่าง คือ ไปเป็นนักแข่ง D1 ที่ญี่ปุ่น กับเป็นนักแข่ง Formula Drift ที่อเมริกา แต่ท้ายที่สุดก็อยากไปให้ถึงนักแข่ง Formula Drift เพราะผมชอบสไตล์ในการขับของเค้า มันดิบๆ โหดๆ เลาะขอบกำแพง มันดูท้าทายดี ซึ่ง ณ ตอนนี้ ผมเองก็ได้ License ในการเป็นนักแข่งรถ D1 ที่ญี่ปุ่นแล้ว คือสามารถไปแข่งกับเค้าได้ทุกปี แต่ส่วน Formula Drift ผมต้องเก็บคะแนนให้ติด 1 ใน 3 ของประจำปี โดยผู้สนับสนุน West Lake Tyres ได้มาเริ่มเซ็นสัญญากันในสนามที่ 2 จึงทำให้ไม่ได้วิ่งในสนามแรก หลังจากนี้ก็คงเหลืออีกแค่สนามเดียว ปีนี้ก็คงได้แต่ศึกษา เก็บข้อมูลเตรียมความพร้อมไปก่อน ตอนนี้อยู่อันดับที่ 8 ตามเค้าอยู่อีก 70-80 คะแนน มันก็ไม่ใช่เรื่อง่ายๆ ชนะที่ 1 ก็ได้เพิ่มมาอีกแค่ 100 คะแนน แถมนักแข่งแต่ละคนที่อยู่ในรายการนี้ล้วนชื่อชั้น “ระดับโลก” ทั้งนั้น ทำได้แค่เก็บประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ผมเองค่อนข้างซีเรียสกับการวางแผนชีวิต ซึ่งในแต่ละปี จะมีการวางจุดความสำเร็จไว้ตลอด เอาแค่ช่วงเวลาระยะสั้นๆ แล้วไปให้ถึง
ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้จนถึงอีก 3 ปีข้างหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะไปแข่งที่อเมริกาให้ได้ แต่ทีนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือเพียงอย่างเดียวแล้ว เรื่องสปอนเซอร์ ผู้สนับสนุนต่างๆ ก็ต้องมีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าวิ่งที่อเมริกา 1 สนาม จะมีค่าใช้จ่ายเท่ากับวิ่งที่ญี่ปุ่นได้ 2 สนาม ซึ่งทางผู้สนับสนุน West Lake Tyres ได้บอกว่า ถ้าสนามหน้าได้แชมป์อีก จะทำเรื่องส่งไปให้ เพราะก่อนที่เค้าจะเข้าสนับสนุนผม ได้มีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว และเค้าก็รู้ว่าฝันของผมจะไปอยู่ ณ จุดไหน
ณ วันนี้ ตอนนี้ ถ้ามีใครมาถามผมพร้อมไปมั้ย ผมตอบได้เลยว่า ไม่!! คือผมมองตัวเองตอนนี้กับนักแข่งที่อเมริกา “ผมยังสู้เค้าไม่ได้เลย” คือถ้าจะไปแข่งกับเค้าจริงๆ ผมต้องแน่นกว่านี้ คือผมมองว่า “ถ้าสปอนเซอร์มาสนับสนุนผมไปแข่ง แล้วไม่มีผลงานอะไรเลย ผมมองว่ามันไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่สักแต่ว่าไปแล้วไม่มีความพร้อม มันก็เท่านั้น เปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ!!!”
นี่คือคำพูดที่ออกมาจากปาก “เอส ชนัฐพนธ์ เกิดเปี่ยม” เด็กมหาวิทยาลัย ปี 1 ที่ก้าวตามฝันทีละนิด ทีละนิด ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมันเป็นแรงผลักดันในการต่อยอดให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพราะเมื่อคุณทำสำเร็จ ก็จะมีกำลังใจในการที่จะก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนวันนึงที่คุณหันกลับไปมองที่ฝันแรก คุณก็จะภูมิใจในสิ่งที่ตั้งไว้ ดั่งคำที่ว่า “ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง” เพียงแค่เราซอยฝันออกเป็นส่วนๆ แล้วค่อยๆ ขยับไป จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปครับ…
“ผมมี Daigo Saito’s เป็น Idol”
“ชอบวิ่งกับคนเก่งๆ แพ้เพื่อให้เราได้รู้”
“พรสวรรค์มีกันทุกคน… แต่อยู่ที่จะหากันเจอแล้วหรือยัง?”