XO AUTOSPORT No243
Story : T.Aviruth (^_^!)
Photo : ธัญญนนท์ แสงภู่
เป็นคนแรกใน My Name is… ที่เริ่มต้นไม่เหมือนใคร ได้คุยกันนิดเดียวก็รู้สึกว่าเค้าไม่ธรรมดาแน่นอน ยิ่งคำแรกที่เค้าเอ่ยว่า ผมไม่ได้หลงใหลรถยนต์มาตั้งแต่แรก ผมเริ่มต้นชอบเสียงของเครื่องยนต์ในรอบสูงๆ พอได้ฟังคำนี้แหละ ความรู้สึกมันบอกเลยว่า คนนี้แหละ มีความมันส์เริ่มต้นรับศักราชอย่างแน่นอน
ได้ยินชื่อมาก็นาน แต่ไม่เคยไปเยือนอู่บางมด เรซซิ่ง เลยสักที เลยทำการบ้านในการเดินทางก็ได้ความว่า สถานที่ตั้งอยู่ถนนพระราม 2 ซอย 33 หรือซอยวัดยายร่ม นี่แหละ หลักการจำก็ง่ายๆ คือเมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยมา ขับไปเรื่อยๆ ตามทาง พร้อมกับนับสะพานจนครบ 9 สะพานนะครับ เมื่อครบแล้ว คุณจะมาเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้าย แล้วขับไปอีกสองสะพานตามทาง แล้วสังเกตป้ายซ้ายมือครับ BANGMOD RACING เห็นชัดเจนเลย
ผมจะเล่าบรรยากาศอู่ครั้งแรกที่ได้ไปเยี่ยมเยียนนะครับ สำหรับท่านที่ไปบ่อย ข้ามไปอ่านอีกย่อหน้านึงได้เลยครับ สำหรับท่านที่ไม่เคยไปนะครับ เมื่อเข้ามาที่อู่แล้ว เรื่องความโอ่โถงกว้างขวาง รองรับได้เป็นสิบๆ คันครับ แต่ว่าผมไปวันนั้น อู่ดูแคบไปทันทีเลย เมื่อเหล่าบรรดาตัวแรงที่เรารู้จัก เคยเห็นตามสนาม จอดเรียงรายรอรับการโมดิฟายอยู่มากพอสมควร เมื่อผมไปถึง “คุณวิศิษย์ ตันเปาว์” เจ้าสำนัก บางมด เรซซิ่ง ได้ออกมาต้อนรับ เชิญเข้าไปด้านใน นั่นแหละเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องครั้งแรก ก็สะดุ้งโหยงเลย คุณลองนึกภาพเวลาคุณเดินเข้าร้านสะดวกซื้อนะ แต่ละชั้นก็มีขนม ของใช้ วางโชว์ให้คุณเลือกมากมาย นี่ก็เหมือนกัน แต่ต่างกันที่สินค้า ที่นี่มีแต่ของแต่งเสริมสมรรถนะเกี่ยวกับเครื่องยนต์ทั้งหมด และที่สำคัญ ผมอยากจะบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาช็อปปิ้งเหมือนร้านสะดวกซื้ออยู่ตลอดเวลาครับ และสิ่งนึงที่ผมเห็นคือ นอกจากคนไทยแล้ว ลูกค้าต่างชาติก็มีด้วยครับ
หลังจากด้อมๆ มองๆ อยู่พักใหญ่ คุณวิศิษย์ ก็พาไปทัวร์โรงงานที่สร้างของแต่งเหล่านี้ พร้อมกับชวนผมและทีมงานเข้าไปนั่งคุยกันด้านใน โดยผมก็ยังคงใช้คำถามเดียวเหมือนกับทุกคนที่ผ่านคอลัมน์ My Name is… โดยถาม คุณวิศิษย์ ว่าจุดเริ่มต้นกับรถซิ่ง มันเริ่มต้นขึ้นตอนไหน “รถซิ่งกับผมเหรอครับ? มันไม่ใช่รักแรกพบ ผมชอบและหลงใหลเครื่องยนต์มาตั้งแรก เวลาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ในรอบสูงๆ นี่แหละมันคือความชอบของผม ด้วยที่ว่าธุรกิจของบ้านผมคือการทำสวนส้ม ก็ต้องใช้เรือนี่แหละเป็นพาหนะ ผมเลยเห็นเครื่องเรือและได้ยินเสียงมันมาตั้งแต่เด็ก มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความชอบ เพราะต้องอยู่กับเรือตลอด เป็นพาหนะเดียวในการเดินทางไปทำสวน และในตอนนั้นผมก็เห็นพวกรุ่นพี่เค้าก็แต่งเครื่องเรือกันสวยๆ แต่ที่สำคัญ เครื่องแต่งกันสุดมาก เวลาได้ยินเสียงแคมชาฟต์มันเดินกระพือนะ ผมมีความสุข มันเป็นความชอบมาตั้งแต่เด็กๆ เลย
“ฝันเล็กๆ จาก Blow Off Valve ของ HKS เค้าผลิตมาได้อย่างไร
แล้วถ้าวันนึงผมผลิตมาขายบ้างก็คงจะดี”
พอผมเรียนจบประถม 6 ก็เกเร เลยไม่ยอมเรียนต่อ ที่บ้านผมโมโหมาก แต่ในตอนนั้นผมคิดแค่ว่า ชาวสวนก็คือชาวสวน ชีวิตก็ต้องอยู่แต่ตรงนี้แหละ มีครอบครัว ทำสวนต่อไป ก็คงจะเป็นได้แค่นี้แหละ ก็เลยตัดสินใจแบบนี้ คือทำสวนส้ม แล้วก็เล่นเรือไปด้วย จำได้ว่าครั้งแรกที่เริ่มจับเครื่องยนต์เรือ โดนคุณพ่อดุจนร้องไห้เลย แต่ผมก็ไม่ย่อท้อนะ เพราะมันเป็นความชอบ ก็เริ่มต้นประกอบเครื่องเอง โดยไม่มีความรู้อะไรเลย ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ซึ่งผมบอกเลยว่าเรือที่บ้านผมทุกลำ สตาร์ตติดยากมาก แล้วเดินไปไม่มีสมประกอบสักลำ นั่นก็มาจากความซนของผม บวกกับการไม่มีความรู้พื้นฐานของการทำเครื่องยนต์ ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ด้วยตัวจนชำนาญ แล้วเข้าใจในระบบการทำงานของเครื่องยนต์
ทำอยู่ประมาณ 5 ปี วันนึงชีวิตเปลี่ยน เพราะความไม่แน่นอน ส้มไม่ได้ผลผลิตอย่างที่ต้องการ ก็เลยต้องย้ายถิ่นไปทำสวนส้มต่อประมาณร้อยกว่าไร่ที่รังสิต ในช่วงนี้แหละคือช่วงชีวิตได้สัมผัสรถยนต์ เพราะต้องใช้รถเป็นพาหนะทุกวัน จากชีวิตแต่งเรือ ก็ผันกลายมาเป็นการแต่งรถ ความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาจากการทำเครื่องเรือ ก็เริ่มถ่ายทอดลงสู่เครื่องยนต์ของรถ เฮดเดอร์ แต่งปั๊ม ทำนู่น นี่ นั่นไปเรื่อย อาชีพทำสวนค่อนข้างมีเวลาว่าง ตกเย็นก็รวมกลุ่มกับเพื่อนแชร์ไอเดียกัน คุยแต่เรื่องการทำรถนั่นแหละ เอาจากหลักความเป็นจริง ไม่ใช่จำเค้ามาแล้วทำ เพราะผมชอบค้นคว้า ลองผิดลองถูกเองมาตลอด จนเวลามันหมุนเปลี่ยนไป เครื่องยนต์ดีเซลกลายมาเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ผมก็ได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ 1G-GTE ทวินเทอร์โบเป็นครั้งแรก ก็เอาประสบการณ์จากที่เคยใช้เครื่องดีเซลมาทำเครื่องตัวนี้ เปลี่ยนเทอร์โบ 06 มาใส่ แล้วก็ลองไปวิ่งตามที่เค้าอัดรถเล่นกันในตอนนั้น ก็จะเป็นที่บางใหญ่ รวมถึงไปลงแข่งในสนามนครชัยศรีบ้าง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตรถซิ่งแบบเต็มตัว
ในยุคนั้น พี่อ๊อด โรตารี่ แล้วก็ อู่ JUN ที่ดังมาก เป็นยุคที่รถสปอร์ตเริ่มมีบทบาทในรถซิ่งประเทศไทย แต่ผมก็ไม่มีโอกาสหรอกนะ ก็ยังใช้กระบะ 1G-GTE เหมือนเดิมนี่แหละ จนในช่วงปี 2540 ธุรกิจไม่ดี ก็เลยต้องเอาส้มใส่รถกระบะมาจอดขายริมถนนข้างทางเลย ก็ทำสวนไปด้วย ขายผลไม้ไปด้วยพร้อมกัน ขายดีอยู่ 2 ปีแรก พอเข้าสู่ปีที่ 3 ธุรกิจเริ่มซบเซา ก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ มีอยู่วันนึงก็มานั่งคิดทบทวนว่า ชีวิตเราต้องการแบบนี้เหรอ ชอบรถซิ่ง แต่ต้องกลายมาเป็นพ่อค้าขายผลไม้ข้างทาง มันจะเป็นแบบนี้จริงๆใช่มั้ย? ก็แวบความคิดที่ว่า อะไหล่ซิ่งเก่าๆ ที่เคยมี มาลองวางขายควบคู่กับผลไม้ไปด้วย อย่างน้อยก็ได้อยู่กับอะไรที่ชอบ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนี้ก็เริ่มเอาอะไหล่ใส่ตะกร้ามาวางขายดู ผ่านไปประมาณ 6 เดือน ขายเทอร์โบได้ลูกแรก ซึ่งเทอร์โบลูกนี้ก็เป็นเงินก้อนแรกที่ซื้อมันมา ใจจริงก็ไม่อยากจะขาย แต่ทว่า ถ้าไม่ขาย เราก็เอาไปต่อยอดอย่างอื่นไม่ได้ หลังจากตรงนี้แหละก็เริ่มตระเวนออกซื้ออะไหล่มาขายเรื่อยๆ มันก็พอได้นะ ขายมาสักพักก็เจอปัญหาอยู่อย่างนึง คือของที่เคยซื้อส่งให้ลูกค้า พอจะไปซื้ออีกมันไม่มี เพราะมันเป็นอะไหล่มือสอง มันก็ยังไม่แสดงให้เห็นชัดเจนในความเป็นตัวตนของผม ซึ่งที่บ้านแฟนผมเป็นโรงหล่อ ก็ลองมาคิดดูว่าจะสร้างประโยชน์อะไรเพิ่มเติมจากที่นี่ได้บ้าง สรุปธุรกิจแรกที่เป็นของผมเองก็คือการทำ กรอบข้างอินเตอร์คูลเลอร์ขึ้นมา เพื่อจะนำมาประกอบเข้ากับอินเตอ์รคูลเลอร์ของรถสิบล้อ ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ทำให้ผมประสบความสำเร็จ มีลูกค้าสั่งเยอะมาก ทั้งคนไทยหรือชาวต่างชาติก็เริ่มเข้ามาหาสั่งซื้อของกับผม แต่ผมก็ยังคงขายของอยู่ข้างถนนที่เดิมนะ บริเวณซอยวัดพุทธบูชา ถนนพระราม 2
“Souped Up 2007 เปลี่ยนชีวิตของผมเพียงชั่วข้ามคืน”
นอกจากนั้นตามสถานที่ที่มีแข่งรถ ผมก็ไปเปิดท้ายขายอะไหล่กับเค้าด้วยเหมือนกัน หรือแม้แต่ตลาดคลองถมหน้าอาคารศรีวรจักร คืนวันเสาร์ ผมก็ไปขายอยู่ที่นั่น ส่วนวันอาทิตย์ก็ไปเปิดท้ายขายที่ตลาดบางแก้ว ส่วนวันพฤหัสฯ ก็ไปขายที่ตลาดบางปู ซึ่งมันเป็นยุคแรกที่เค้าฮิตเปิดท้ายขายของ ที่นิยมใช้ชื่อว่า “ตลาดคนเคยรวย” ผมเองก็ตระเวนขายของไปเรื่อยๆ แม้แต่สนาม 700 ปีที่ เชียงใหม่ ผมก็ไปนะ เพราะตอนนั้นยังไม่มีโรงงานเหมือนในทุกวันนี้
ผมต้องบอกว่า มันเป็นโชคชะตามากกว่า พอดีมีช่างเค้ามาทำเฮดเดอร์ ซึ่งต้องใช้วิธีการดัดทราย มันค่อนข้างใช้เวลา พูดง่ายๆ คือไม่ทันกิน ก็เลยไปหาเครื่องจักรที่เป็นเครื่องดัดแบบไร้รอยคอดมาเพื่อใช้งาน จำได้ว่าเครื่องจักรตัวนี้ราคาเกือบ 2 ล้านบาท แต่ผมไม่ตังค์ขนาดนั้นหรอก ก็เลยไปคุยกับเจ้าของโรงงานเกี่ยวกับปัญหาที่เจอในการทำงาน อยู่ดีๆ เจ้าของโรงงานที่ไม่เคยรู้จักกันเลย เค้าให้เครื่องดัดแบบไร้รอยคอดผมมา เค้าให้ผมผ่อนชำระเครื่องตัวนี้ และก็ย้ำว่าไม่เคยให้ใครผ่อนมาก่อน แต่ชอบที่ตัวผมที่มีความกล้าในการเข้ามาคุย มีความตั้งใจในการทำงาน ซึ่งในตอนนั้นผมหาเงินได้ประมาณเดือนละหกหมื่นกว่าๆ แต่ต้องผ่อนเครื่องเดือนละแสนกว่าบาท ซึ่งเมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องคว้าไว้ สรุปได้เครื่องมา 1 ตัว แต่ไม่มีความรู้ในการทำงานของเครื่องจักรตัวนี้เลย แต่ผมต้องหาเงินเดือนละแสนกว่าบาทเพื่อจ่ายค่าเครื่อง แต่เครื่องก็ตั้งอยู่เฉยๆ ทำงานไม่ได้ เพราะผมไม่มีความรู้ในเรื่องระบบของมัน ผมวางเครื่องมูลค่า 2 ล้านบาทไว้เฉยๆ อยู่ 2 ปี จนผ่อนค่าเครื่องหมด ก็ยังใช้ไม่เป็น ไม่มีเทคนิคในการทำ จนสุดท้ายก็ได้เจอกับเพื่อนๆ ที่มาช่วยกันปรับตั้งเครื่อง จนในที่สุดก็หากันจนเจอ สามารถทำชิ้นงานได้สำเร็จ แต่กว่าจะปรับตั้งได้ มันเป็นเรื่องของเทคนิคล้วนๆเลย
ซึ่ง ณ ปัจจุบันที่โรงงานแห่งนี้ก็เป็นที่ของบรรพบุรษยกให้ผมสืบทอดต่อ ก็เริ่มทำโรงงานตั้งแต่เล็กๆ ค่อยๆ ขยายปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพราะเงินทุนบวกกำไรที่ได้มา ก็จะไปลงกับอุปกรณ์ เครื่องมือเป็นส่วนใหญ่
จากแรงบันดาลใจ Blow Off Valve ของ HKS รุ่นเก่าจากเซียงกง เห็นงานเค้าแล้วสงสัยว่าเค้าสร้างงานแบบนี้ได้อย่างไร ก็มีฝันเล็กๆ ว่าถ้ามีโอกาสผลิตของแบบนี้ออกมาขายได้ มันก็คงจะดี จนในวันนี้ผมมีอะไหล่ที่เป็นแบรนด์ BRD ซึ่งเป็นของผมเอง โดยเริ่มจากชิ้นที่หนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ จนมีหลากหลายแบบให้เลือกมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
“ผมจบ ป.6 พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นหรอก ได้แค่ Yes No OK แล้วก็ยิ้ม จากตรงนั้นแหละ
ผมคิดว่าถ้าจะต่อยอดทางธุรกิจ ผมคงต้องหัดภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพื่อไว้คุยกับลูกค้า
จนทำให้ผมพัฒนารูปแบบธุรกิจมาเป็น BRD เหมือนในตอนนี้ครับ”
แล้ววันนึงช่วงปลายปี 2007 ก็เปลี่ยนชีวิตผมในชั่วข้ามคืน ผมไม่เคยรู้จัก Souped Up หรอกนะ ว่าคืออะไร ได้แต่วิ่งอยู่นอกสนาม จนได้ยินคนพูดว่ามีงานแดร็กที่เป็นงานใหญ่ ฟังแล้วก็รู้สึกท้าทาย น่าตื่นเต้น ก็เลยทำรถแข่งเป็น Mitsubishi Evolution ขึ้นมาคันนึง เพื่อเอาไปวิ่ง Souped Up ปี 2007 ซึ่งเจ้า EVO เนี่ย ผมก็ไม่ค่อยรู้เทคนิคอะไรเท่าไหร่ ก็ได้ อาจารย์อ๊อด เป็นผู้สอน ช่วยแนะนำเทคนิคในการประกอบเครื่องยนต์ให้ ซึ่งรถมันก็แรงดีนะ แต่ผมก็คิดแค่ว่าเอาแค่ร่วมสนุกก็พอ พอรู้ว่ารถที่วิ่งในงานนี้มีแต่ของจริง แรงๆ ทุกลำ จำได้เลยว่าไปถึงสนาม ผมไม่รู้เรื่องเลย วิธีการออกตัวใช้รอบเท่าไร ดูสัญญาณไฟเป็นแบบไหน เพราะวิ่งแต่ข้างนอก มันไม่มีอะไรแบบนี้ ก็ลองมาซ้อมจับจากความรู้สึกของตัวเองดู ก็พอเข้าใจว่าจะต้องอะไรก่อนหน้าหลัง รันแรก ผลควอลิฟายออกมาเป็นอันดับหนึ่งในรุ่น SUPER 4 4WD ทุกคนที่วิ่งหรือตัวแรงๆ ในรุ่นทุกคนงงว่ารถคันนี้คือใคร ไม่มีใครรู้จัก มาแบบบ้านๆ ชื่อ บางมด เรซซิ่ง ไทยๆ เลย เวลาเค้าเรียกควอลิฟาย ผมก็มาคนแรกๆ เสมอ เพราะผมคิดแค่ว่ามาร่วมสนุก ไม่มีความกดดันอะไร ก็แค่ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง จนจบควอลิฟายในวันนั้น ผมเข้ามารอบมาด้วยอันดับท้ายๆ เกือบตกรอบเหมือนกัน ซึ่งพอในวันจริง บูสต์ที่ใช้วิ่งอยู่แค่บาร์เจ็ด จะปรับทำยังไงก็อัดบูสต์เพิ่มไม่ได้ จนเพื่อนผมที่เป็นจูนเนอร์มาดูรถให้ เค้าถามว่ารถผมจูนอยู่เท่าไหร่ ผมก็บอก 2 บาร์ต้นๆ เพื่อนผมเค้าก็เช็กอีกที สรุปว่า เค้าโยนโปรแกรมมาให้ไม่ตรง ก็เลยไปโยนโปรแกรมใหม่มาให้ แล้วก็จูนเกลี่ยๆ ปรับบูสต์ให้ใหม่ แล้วผมก็เอารถไปลอง ความรู้สึกที่ได้มา มันคือรถคนละคันกับเมื่อวานเลย บอกตรงๆ นะ น้ำตาไหลในหมวกกันน็อกเลย คิดว่าวันนี้มันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ รันแรก 10.6 วินาที นับเป็นเวลาที่ดีที่สุดของ EVO ในตอนนั้นเลย ได้ตำแหน่งอันดับ 2 แชมป์ในปีนั้นเป็นของ พี่ทวี
จบงานในปี 2007 อู่ผมหนาแน่นไปด้วย EVO ทันที ชีวิตเปลี่ยนเลย มีคนรู้จักชื่อ อู่บางมด เรซซิ่ง อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ผมได้ลูกค้าต่างชาติ เป็นชาวมาเลเซีย ดูไบ ทันทีเลย ผมก็งงว่าไปรู้จักมาจากไหน แต่เค้ามาหาที่อู่เลย ก็อย่างที่บอก ผมจบแค่ ป.6 พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นหรอก ได้แค่ Yes No OK แล้วก็ยิ้มเท่านั้น จากตรงนั้นแหละ ผมคิดว่าถ้าจะต่อยอดทางธุรกิจ ผมคงต้องหัดภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพื่อไว้คุยกับลูกค้า จนทำให้ผมพัฒนารูปแบบธุรกิจมาเป็น BRD จนถึงทุกวันนี้ครับ อนาคตผมไม่มีหยุดนิ่งอย่างแน่นนอน ผมวางเจนฯถัดมาสานต่อธุรกิจไว้เรียบร้อยแล้วครับ มีการพัฒนาเครื่องยนต์จากรถรุ่นใหม่ๆ ออกมา อย่างล่าสุดตอนนี้ก็คงจะเป็น Honda Brio ตอนออกมาใหม่ๆ ทุกคนก็มองว่ามันวิ่งไม่ได้หรอก มันดูแล้วห่างไกลความจริงมาก รถเดิมๆ วิ่งกัน 18 วินาที แต่ว่าตอนนี้ก็สามารถทำให้เวลามันลงมาได้เร็วถึง 10.3 วินาทีแล้ว ซึ่งมันก็เร็วที่สุดในประเทศแล้วในตอนนี้ ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นความโชคดีของผม ที่พยายามคิดค้นอะไหล่มาใส่เครื่องยนต์ ซึ่งอะไหล่ชิ้นไหนไม่มี ผมก็คิดค้นแล้วก็สร้างขึ้นมา เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับเครื่อยนต์ มันก็เลยเป็นการแตกไลน์ของสินค้า และต่อยอดธุรกิจของผมอีกด้วยครับ แต่ใช่ว่าผลิตมาแล้วจะจำหน่ายทันที ผมต้องทดสอบจนสำเร็จได้ตามแบบที่ผมต้องการก่อนทุกชิ้น จึงจะทำออกมาเพื่อจำหน่ายครับ”
ตัวอย่างของคนสู้ชีวิต ชีวิตชาวสวนส้ม บางทีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวสวนตลอดไปก็ได้ครับ ขอแค่คิดอย่างมีสติ แล้วสนุกกับสิ่งที่ทำครับ วันนึงท่านที่กำลังอ่านคอลัมน์นี้ อาจจะมาเป็นแขกรับเชิญของผมก็เป็นได้ครับ…