Photo : ธัญญนนท์ แสงภู่
My Name is…พงษ์ศักดิ์ ดีเซล
ในชั่วโมงนี้ ถ้าจะพูดถึงคนที่ทำระบบจ่ายน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซล ที่เป็นกระแสแล้วมีคนพูดถึงอยู่บ่อยๆ ก็คงหนีไม่พ้น “พงษ์ศักดิ์ ดีเซล” เขาคือผู้ที่ทำปั๊มกับพวกหัวฉีดให้กับรถแข่งหัวๆ ตัวท็อปในตอนนี้เลยครับ ซึ่งเรื่องเทคนิคต่างๆ โมฯนู่น นี่ นั่น บอกไว้ล่วงหน้าเลย ไม่มีในคอลัมน์นี้อย่างแน่อน ชื่อก็บอกอยู่ว่า My Name is… มันถึงเวลาแล้ว ที่เราจะได้รู้จักสตอรี่ของเขากันครับ
สำหรับการถ่ายทำคอลัมน์นี้ก็เดินทางไปที่ อู่พงษ์ศักดิ์ ดีเซล ตั้งอยู่ในซอยลาดกระบัง 54 การเดินทางสะดวก ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ โดยกด Google Map ค้นหา พงษ์ศักดิ์ ดีเซล มี Location แสดงผลชัดเจน ซึ่งเมื่อมาถึง ทีมงานเลือกเวลาช่วงเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงพักเบรกการทำงานของที่ร้าน จะได้ทำงานกันได้อย่างสะดวก เพราะเกรงใจลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย ทีมงานใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ในการปฏิบัติงานในการทำคอลัมน์นี้ เพราะต้องแข่งกับเวลา ซึ่งอันที่จริง คุณพงษ์ศักดิ์ ไม่ได้เร่งรีบอะไร แต่พวกเราเร่งเอง เพราะเกรงใจ ไปเบรกงานลูกค้าหน้าร้าน เรื่องของการสัมภาษณ์ ไม่ใช่ปัญหาของคอลัมน์นี้ แต่สิ่งที่กังวลทุกครั้ง คือ ภาพถ่าย โลเกชัน การถ่ายภาพ ซึ่งก็เหมือนโชคเข้าข้างทีมงานในการทำงานที่เร่งด่วน เพราะในสถานที่ทำงานมีเครื่องมือมากมาย ทำให้ได้ภาพ “ฟีลช่าง” สมใจอยาก ซึ่งหลังจากที่ทีมงานเซตอัพเรียบร้อย ก็เริ่มต้นบทสนทนากัน ที่ว่า…
“คือจริงๆ ผมชอบศิลปะมาก ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับทางช่างยนต์เลย ในตอนนั้นได้โควตาเรียนศิลปะ แต่ผู้ใหญ่ในตอนนั้นเขาไม่อยากให้เรียน ในยุคสี่สิบปีที่แล้ว ผู้ใหญ่เขาบอกว่า วาดรูป มันไส้แห้ง มาทางสายช่าง จบมายังประกอบอาชีพได้ ซึ่งตอนศึกษาสมัยมัธยม ที่บ้านก็จะให้ไปเรียนเสริมตลอด ไปเรียนช่างมั่ง เรียนภาษาอังกฤษเสริมมั่ง คือเรียกว่าไม่มีเวลาว่างให้เล่นเลย ด้วยอายุที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ความรู้สึกมันก็ไม่ได้อยากเรียนในตอนนั้น เคยจะให้ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มด้วย ซึ่งผมเองก็มองว่า จะเรียนทำไม โตมาก็ไม่ได้ใช้ ใครจะคิดว่า เมื่อโตมาสามารถดำเนินชีวิตมาไกลถึงจุดนี้ พอคิดย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่าผู้ใหญ่เขามองการณ์ไกลไว้ให้หมดแล้ว แต่ด้วยเป็นวัยรุ่น อายุยังน้อย ก็ยังไม่ถึงวัยที่จะคิดอะไรได้แบบนี้ ซึ่งเมื่อเขาไม่สนับสนุนศิลปะ ให้ผมมาทาง วิชาชีพแทน ผมก็มองว่า ช่างเครื่องยนต์ก็เปรียบเสมือนกับศิลปะอีกแขนงหนึ่งเหมือนกัน เพราะมันต้องใช้ความละเอียดอ่อน ก็เลยเดินทางนี้ตามที่ผู้ใหญ่แนะนำ พอจบมาก็ทำงานเกี่ยวกับซ่อมเครื่องยนต์อยู่สักพัก จนเมื่อได้โอกาสเปลี่ยนงานอีกครั้ง ก็เข้าไปทำงานที่ Denso ทำเกี่ยวกับปั๊มเชื้อเพลิง ซึ่งก็ได้เก็บเกี่ยวเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานที่นี่อยู่ร่วมสิบปี ก็เกิดจุดหักเหของชีวิตขึ้นอีกครั้ง ประมาณปี 2541 เป็นช่วงฟองสบู่แตก ผมต้องเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งก็ยังพอมีดวงอยู่บ้างในการหางาน ก็ได้งานที่ทำเกี่ยวกับพวกระบบปั๊มหัวฉีด ทำงานอยูที่นี่อีกสิบปี เริ่มมีความรู้สึกอิ่มตัว ก็วางแผนอนาคตว่าอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเอง จึงออกจากงานที่ทำ แล้วตัดสินใจเปิดร้านเป็นของตัวเองในปี 2551
โดยส่วนตัวผม เป็นคนชอบลองทำอะไรใหม่ๆ ตอนที่ทำงานอยู่บริษัท ก็ต้องทำตามสเป็กที่กำหนดตลอด ซึ่งด้วยพื้นฐานความเป็นช่างที่มี ผนวกกับชอบลอง เมื่อสองอย่างนี้อยู่รวมกัน มันก็เลยทำให้ผมอยากทำอะไรที่แตกต่างจากสเป็กที่เคยชินมากกว่ายี่สิบปี พอเริ่มเปิดกิจการเป็นของตัวเอง ก็เลยอยากลองว่าสิ่งที่คิด มันจะทำให้รถแรงขึ้นกว่าเดิมได้มั้ย ซึ่งรถคันแรกที่ผมได้ทำ คือรถช่างแอ๊ด คลีนิครถยนต์ ซึ่งมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวปลายยุคปั๊มสาย ก้าวสู่คอมมอนเรล ชื่อเสียงผมเริ่มมีคนรู้จัก ก็ตั้งแต่ผมทำรถให้กับช่างแอ๊ด คลีนิครถยนต์ เลยครับ
ซึ่งพอเริ่มมีคนรู้จัก ก็มีคนสนใจทยอยกันเข้ามาให้ผมทำปั๊มหัวฉีดกันอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งรถบ้านๆ ทั่วไป ไปจนถึงรถแข่งสนาม อาทิ เอ๋ เทอร์โบ นครปฐม, เอ้ ปลาทู, โย การาจ, อู่ ช่างวัฒน์ แล้วก็มีอีกมากมายเลยครับ ที่เขาส่งมาให้ผมทำ ซึ่งแพลนในอนาคตที่ผมวางไว้ คือ ลองทำเครื่องยนต์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของอนาคตข้างหน้า”
เท่าที่ได้คุยกับพี่เขา เป็นคนตั้งใจทำงานมาก จากเด็กผู้ชายที่ชอบศิลปะ เปลี่ยนแนวคิด มองเครื่องยนต์กลไกให้เป็นเหมือนงานศิลปะ แล้วใส่รายละเอียดลงไปในงานที่ทำ งานศิลปะที่เขาได้มีส่วนร่วมสร้างขึ้นมา ก็กลายมาเป็นสถิติของรถที่วิ่งระดับชั้นนำของประเทศ ซึ่งในอนาคตก็อยากจะเห็นผลงานเครื่องยนต์จากเขามาสร้างสถิติใหม่ๆ ให้วงการครับ
ผมทำเครื่องยนต์มาก่อน แต่ที่เลือกมาทำปั๊ม เพราะคิดว่ามันท้าทาย สิ่งที่ผมบอกว่ามันท้าทาย คือ ตอนที่ทำงานบริษัท Denso ผมทำงานตามสเป็ก ตามทฤษฎี มาโดยตลอด ซึ่งมันเป็นข้อดี ที่ทำให้ผมได้ทราบว่า ถ้าลองปรับสเป็กเพิ่มมากกว่าที่ทฤษฎีกำหนด มันจะเกิดอะไรขึ้น ผลดีเป็นอย่างไร แล้วผลเสียที่จะได้รับเป็นเช่นไร
- ทุกวันนี้ทำรถให้ลูกค้า แค่ลองฟังเสียงเครื่องยนต์ ก็สามารถประเมินสถานการณ์ได้คร่าวๆ ว่าควรจะต้องปรับไปในทิศทางใด ซึ่งผมไม่ได้เก่ง แต่ผมอยู่ตรงนี้มาหลายสิบปี ฟังเสียงแบบนี้อยู่ทุกวัน มันเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้จริงๆ ครับ
- ไม่ว่าจะอายุน้อยกว่าผมหรือมากกว่าผม ถ้าผมได้รับความรู้ หรือสิ่งที่ผมขาด ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตาม ผมนับถือเขาเป็นครูหมดทุกคนครับ เพราะเขาคือผู้ที่มอบความรู้ให้กับผม ผมไม่เคยลืมบุญคุณคนครับ ถึงแม้บางทีเขาอาจจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ หรือไม่ได้คิด แต่ผมรู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาคือคนที่ให้ความรู้กับผมครับ
กัณตพัฒน์ สุขวิทย์ฐิติกร (พงษ์ศักดิ์ ดีเซล)
FB : พงษ์ศักดิ์ ดีเซล