My Name is… โอ๊ต Infinite Motorsport

 

PHOTO : Jedsda Maleenont (I’m about to snap)

My Name is… โอ๊ต Infinite Motorsport

เพียงคุยกันไม่กี่คำ ก็กลายเป็นนักเขียนไปโดยปริยาย…My Name is…เล่มนี้เป็นเรื่องของ โอ๊ต แล้วเขาเป็นใคร ทำไมต้องลงเรื่องของเขา โอ๊ต คือ หนึ่งในทีม Liberty Walk Thailand ถ้าทวนเข็มนาฬิกาย้อนหลังไปเมื่อปีที่แล้ว คงจำหนังสือพิเศษ Liberty Walk Thailand Issue กันได้ เล่มนั้น โอ๊ต เป็นคนถ่ายรูปทั้งเล่ม ชนวนเหตุทั้งหมด เริ่มต้นขึ้นที่ตรงนั้น จนกลายมาเป็นนักเขียนพิเศษให้กับทาง XO ในวันนี้ครับ

นับตั้งแต่จากนี้ ทีมงาน XO autosport ก็จะมี โอ๊ต เข้ามาเสริมทัพอีกหนึ่ง ในตำแหน่ง นักเขียนพิเศษของ XO ซึ่งคอลัมน์หลักๆ ที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบก็จะเป็น Thai Scale Tuning กับ Scoop ต่างๆ จากการเดินทางไปงานมอเตอร์สปอร์ต หรืออีเวนต์โชว์รถใหญ่ๆ จากต่างประเทศ รวมถึงแหล่งชุมนุนของเหล่ารถซิ่งในต่างประเทศตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งถ้า โอ๊ต ได้มีโอกาสไปตามสถานที่เหล่านั้น เขาจะเป็นผู้เก็บภาพและบรรยากาศ ประสบการณ์ต่างๆ มาเล่าสู่กันฟังครับ

ทีนี้ก็เข้าสู่เรื่องราวที่บอกถึงที่มาของ โอ๊ต ในการเดินทางเข้ามาสู่เส้นทางนี้ เขาเริ่มต้นมาจากอะไรกันครับ โอ๊ต เล่าว่าถามว่าผมเริ่มต้นเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตได้อย่างไร  คือทุกคนก็คงจะคล้ายๆ กัน เด็กผู้ชายที่ชอบรถ  แต่ผมไม่ได้เริ่มจากการชอบรถ ไม่ได้สนใจเรื่องรถเลย แต่ผมชอบอ่านหนังสือ จะเรียกว่าหนอนหนังสือก็ได้นะ คือตอนเด็กๆ ผมจะต้องไปบ้านเพื่อนคนหนึ่งเป็นประจำ แล้วเพื่อนคนนี้อาบน้ำนานมาก ระหว่างรอเพื่อน ผมก็นั่งอ่านหนังสือ ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นคนที่ชอบรถมาก บ้านมันมีแต่หนังสือรถ โดยเฉพาะ XO นี่มีครบเลย  ระหว่างที่ผมรอเพื่อน ก็อ่านหนังสือรถไปเรื่อยๆ พอนานๆ เข้า ก็เริ่มติดหนังสือรถ ขอยืมเพื่อนกลับไปอ่านต่อที่บ้าน  อ่านอยู่ร่วมๆ  4 ปี ก็เลยกลายเป็นคนชอบรถไปโดยปริยาย  กลายเป็นคนที่รู้ทุกอย่าง ข้อมูลแน่น แต่ไม่เคยไปงานรถซิ่งใดๆ เลย คือหาความรู้จากหนังสือเพียงอย่างเดียว

จากเด็กมัธยมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย  คราวนี้เริ่มจับรถจริง คือที่บ้านผมมี VW เต่า ของคุณตา จอดเป็นซากอยู่คันหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นรุ่นอะไร จนอาจารย์ที่มหาลัย ท่านเล่นรถ VW เต่า มาเห็นที่บ้านผม เขาก็บอกว่า รถคันนี้หายาก เป็น VW เต่า จอไข่  จากตรงนี้แหละเป็นจุดเริ่มต้นในการทำรถของผม โดยเริ่มบูรณะรถ VW คุณตา ให้กลับมาวิ่งได้อีกครั้ง ซึ่งผมเริ่มจากการทำรถคลาสสิกก่อน แน่นอนว่ารายละเอียดในการทำรถประเภทนี้เยอะมาก ต้องศึกษาให้รู้จริงก่อนลงมือทำ ของต้องตรงรุ่น ตรงปี เบิกของใหม่ สั่งอะไหล่นำเข้าจากเยอรมัน  กลายเป็นว่า ผมเริ่มต้นจับรถก็จับของยากเลย ทำรถคันนี้อยู่ 4 ปี เรียกว่าจบมหาวิทยาลัยพอดี

ซึ่งในช่วงขณะที่ผมศึกษาอยู่ ก็ใช้รถ VW Passat  ไม่ได้แต่งอะไร ใช้เป็นแค่พาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันเท่านั้น ซึ่งจุดเปลี่ยนในการเดินทางเข้าสู่รถซิ่ง มันมากจากรถคันนี้แหละ   คือผมขับรถไปประสบอุบัติเหตุ  ก็เลยอยากได้รถคันใหม่มาใช้แทน ซึ่งตัวผมเองมอง Subaru Impreza  GC8  แต่คุณพ่อผมท่านบอกว่า แค่ขับ Passat ยังคว่ำเลย  ถ้าเป็น Impreza น่าจะไม่รอด ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ ซ่อมคันเก่า แล้วเปลี่ยนเครื่องใหม่ เป็น EJ20 คอแดง ทำเป็นขับสี่  ถึงจะไม่ได้ Impreza มาทั้งคัน ก็เอามาแต่เครื่อง กับระบบขับเคลื่อนมาก็ยังดี  ซึ่งจากการที่อ่านหนังสือมาเยอะมาก ก็พอจะมีความรู้ติดตัวมากพอสมควร คือส่วนตัวเป็นคนชอบออกแบบอยู่แล้ว ก็เลยสร้างโปรเจกต์ชุดแต่งให้ Passat โดยการเคาะเหล็กขึ้นรูปขึ้นมาเองในตอนนั้น  ซึ่งเจ้ารถคันนี้ก็มีคนรู้จักมากพอสมควร เมื่อ 10 ปีที่เป็น Passat B5 เครื่อง EJ20 คอแดง จากเวอร์ชัน 4 ขับเคลื่อนสี่ล้อ จากรถคันนี้ก็ทำให้ผมรู้จักกับคนในวงกว้างมากขึ้น

ผลจากการที่อ่านหนังสือมาเยอะ ก็จะเสพย์กระแสรถแข่งในประเภทแดร็กมาก เพราะการแข่งขันในรูปแบบนี้เป็นที่นิยมมากในประเทศไทยมาทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน  ผมยังคิดเลยว่าถ้าเรียนจบ อยากจะขอไปลองขับรถแดร็กบ้าง  นี่แบบซีเรียสเลยนะ เพราะเสพย์ติดมากๆ ชนิดที่ว่า ไปดูการแข่งขันแดร็กที่สนามทุกวันเสาร์  ซึ่งผมก็เอาโปรเจกต์รถแดร็กไปคุยกับที่บ้าน ว่าอยากทำรถแข่ง ซึ่งที่บ้านก็บอกผมว่า เรียนจบ และมีงานที่ดีที่มั่นคง ก็จะให้ทำรถไปแข่งในสนาม  ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ผมทำได้ตามเงื่อนไขที่ทางบ้านวางไว้ให้สำเร็จทุกอย่าง  คุณแม่กลับไม่ให้ เพราะท่านห่วงเรื่องอุบัติเหตุ อีกอย่างผมเป็นลูกคนเดียวด้วย ยิ่งทำให้ท่านเป็นกังวลเข้าไปใหญ่  ซึ่งในช่วงนี้แหละ ผมคลุกคลีอยู่กับ พี่หนึ่ง ราชาแม็กซ์ ก็มีโอกาสได้ไปดูการแข่งขันดริฟต์  ได้ลองนั่งรถดริฟต์ดู ก็เพิ่งรู้จักกับตัวเอง ว่าชอบความสนุกแบบนี้  ตลอดเวลาที่อยู่กับแดร็กมาหลายปี ได้ลองสัมผัส ก็รู้ว่ามันยาก แล้วก็ต้องใช้เงินเยอะ  ยิ่งวินาทีน้อยลง จำนวนเงินก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น  แต่พอได้ลองดริฟต์เพียงครั้งเดียว ผมก็รู้เลยว่า นี่คือสิ่งที่ตามหามาตลอด

ก็หิ้วโปรเจกต์ดริฟต์กลับไปคุยกับที่บ้าน  ซึ่งเหตุการณ์ที่ผมทำ มันไปเหมือนกับที่คุณพ่อ เคยไปขอคุณปู่ ว่าจะออกเทป คือคุณพ่อผม ท่านเล่นกีตาร์เก่งมาก  เก่งจนกระทั่งจะได้ออกเทป กับ พี่ป้อม พี่โต๊ะ (อัสนีวสันต์) ในยุคนั้น แต่คุณปู่ท่านไม่อนุญาตให้คุณพ่อออกเทป ท่านบอกถ้าจะออกเทปก็ออกจากบ้านไปเลย  ซึ่งจากจุดนี้แหละ คุณพ่อผมเลยไปบอกกับแม่ผมว่า ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มันจะค้างคาใจไปชั่วชีวิตเหมือนกับตัวเขา  ซึ่งคุณพ่อผมเป็นคนอนุญาตให้ได้มีโอกาสเดินทางเข้าสู่วงการดริฟต์อย่างเต็มตัว  โดยท่านซื้อ Nissan 200SX ที่เป็นโปรเจกต์กำลังจะทำเป็นรถดริฟต์ให้ผมหนึ่งคัน  แต่หลังจากนี้ ไม่ว่าจะเซอร์วิส หรือจิปาถะอะไรต่างๆ ผมต้องเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเอง  ซึ่งวันแรกเอารถไปลองดริฟต์ เครื่องก็พังเลย เป็นเพราะผมยังไม่มีประสบการณ์ และทักษะ ทำไม่ถูกวิธี มันก็เป็นบทเรียนใหญ่ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม มันจึงต้องทำให้ผมทำการบ้าน เรียนรู้เพื่อที่จะขับมันให้ได้ จวบจนถึงปัจจุบันนี้ รถ 200SX ที่คุณพ่อซื้อให้คันนั้น ผมก็ยังคงใช้แข่งอยู่ในทุกวันนี้ครับ แต่ก็มีเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ ไปตามยุคตามสมัยบ้าง

ซึ่งถ้าจะให้นับการต่อยอดในการทำให้ได้รู้จักคนเยอะขึ้น ได้สังคมใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ก็คงจะเป็น VW จอไข่ กับ VW Passat ที่นำพาผมไปรู้จักผู้คนในหลากหลายอาชีพ หลากหลายแบบ ซึ่งถ้าเป็นวงการแข่งขัน ต้องยกให้ พี่หนึ่ง ราชาแม็กซ์ เลยครับ ที่เป็นผู้เปิดเนตรให้ผมได้เจอกับตัวตนที่แท้จริง  ซึ่งผมก็อยู่กับ พี่หนึ่ง  มาโดยตลอด แกมีคอนเซปต์ที่ว่าใช้เงินไม่เยอะแต่จะต้องอยู่ได้นาน  จากการที่คลุกคลีอยู่ตรงนี้ ผมก็ได้อาชีพเสริม ในการขับรถเป็นสตั๊นต์ให้กับกองถ่ายด้วย เพราะ พี่หนึ่ง แกทำมาก่อน ก็ชักชวนผมไปทำด้วย ซึ่งค่าจ้างที่ได้จากการทำสตั๊นต์ ก็เอามาลงกับการทำรถแข่งครับ  ผมก็ทำแบบนี้มาร่วมๆ 10 ปีแล้วครับ ซึ่งงานหลักของผมจริงๆ คือ สถาปนิก  เมื่อก่อนผมเคยทำประจำอยู่ที่ SCG มาร่วมๆ 4 ปี แต่สุดท้ายก็เจอตัวเองที่ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นลูกน้องคนอื่นก็เลยตัดสินใจลาออก แล้วมาเปิดบริษัทรับออกแบบเป็นของตัวเอง

อย่างที่ผมบอกว่าผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก คือหนังสือไทยที่เกี่ยวกับรถ ไม่ใช่แค่รถยนต์เพียงอย่างเดียว รถกระบะ รถมอเตอร์ไซค์ รถไรก็แล้วแต่ ผมอ่านหมด จนคิดว่าหนังสือบนแผงก็ได้สัมผัสมาทุกหัวที่เกี่ยวกับรถ จนลองมาเปิดเว็บไซต์ของต่างประเทศที่เกี่ยวกับรถดูบ้าง ก็ไปเจอะพวก Speed Hunters, Stance Nation หรือ Super Street   ก็ยอมรับว่าตกใจนะ เห็นรถจากต่างประเทศทำกันขนาดนี้เลยหรอ  ทั้งเครื่องยนต์ วิธีการทำรถต่างๆ ซึ่งผมเป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ  แต่ตอนนี้เรื่องภาษา ผมได้มาโดยไม่รู้ตัว จากการพยายามแปล ทำความเข้าใจเว็บไซต์รถจากต่างประเทศ  และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ ผมก็จะซื้อหนังสือรถของประเทศที่ผมเดินทางไปกลับมาเสมอ อ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ไม่เป็นไร  แค่อยากจะรู้การเรียบเรียงเรื่องราว มุมมองการนำเสนอรถในบ้านเขาว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะรูปถ่ายที่อยู่ในหนังสือ ซึ่งมันก็จะมีคาแรกเตอร์ในตัวที่แตกต่างกันออกไป

จากจุดนี้แหละเป็นตัวจุดประกายให้ผมอยากทำเพจเกี่ยวกับรถขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ตั้งใจ ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมก่อตั้งเพจรถที่มีคนรู้จักมากเพจหนึ่งในปัจจุบัน จากการได้ทำตรงนี้ ผมก็ได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนๆ เงาะ, นิว, โอ๊ค, พี่ตี๋ แล้วอีกหลายๆ คนมากมาย   จากการทำเพจ ผมก็ได้เริ่มต้นถ่ายรูป แล้วหัดเขียนบทความในสไตล์ของตัวเอง แต่ท้ายที่สุด พอได้ร่วมงานกับจำนวนคนเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็เริ่มมีแนวทางการทำงานที่แตกต่างกัน ผมก็เลยแยกย้าย ปลีกตัวออกมา ไม่ทำต่อ  ระหว่างนี้แหละก็มีความคิดอยากที่จะทำอู่ เพราะผมเคยคิดว่าอยากทำอู่ แล้วก็มีออฟฟิศออกแบบอยู่ในที่เดียวกัน เคยไปอู่พี่แถม TKF สมัยเด็กๆ ซึ่งยุคนั้นอู่บ้านเราคือไม่มีอะไร เป็นแค่โครงหลังคากั้นห้องเลย แต่เราเห็นว่าอู่พี่แถมออกแบบดีและใกล้เคียงกับเมืองนอกมาก ก็เลยคิดว่าถ้าเราเป็นสถาปนิก จะออกแบบอู่สวยๆ ของตัวเอง และเปิดออฟฟิศออกแบบด้วย แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นจริงได้ขนาดไหน ซึ่งจากวันที่คิดจะมีอู่จนมาถึงวันนี้ ใช้เวลาร่วมๆ 10 ปี ผมไม่เคยละทิ้งความพยายามเลย  หาช่องทางที่จะทำให้เป็นจริงได้มาโดยตลอด บังเอิญจับพลัดจับผลูได้มาเจอเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดเมือนกัน ก็เลยรวมตัวกันกับเพื่อนคิดทำอู่ขึ้นมาในชื่อ Infinite Motorsport  แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอู่แบบไหน คือเพื่อนๆ ทุกคนชอบเหมือนกัน คือ GTR อยากจะทำเครื่องยนต์ของ GTR แต่ดูแล้วเส้นทางมันเดินต่อไปยากมากๆ  และใช้เงินทุนมหาศาล ตอนนั้นเงินก็ยังไม่ค่อยมีกัน  มันก็ลงทุนเยอะ ถ้าจะทำ ก็เลยเปลี่ยนมามองเรื่องธุรกิจซื้อมาขายไป อะไรที่อยู่ในกระแสที่สุด ตอนนั้น จากการที่ผมทำการบ้านมาเยอะ ตอบเลยว่า Liberty Walk เพื่อนทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของผม   แบบเฮ้ยรถอะไรวะโป่งใหญ่ กองกับพื้น จะขับได้เหรอ แต่สวยว่ะ ซึ่งก็เลือกได้ไม่ผิดตัว  เป็นอะไรที่อยู่ในกระแสยาวนาน เพราะปกติแบรนด์ญี่ปุ่น ตัวไหนปังๆ ก็จะยึดติดโมเดลนั้นยาวๆ   นานมากกว่าจะออกโมเดลใหม่มาอัปเดต  แต่ทาง LB ปล่อยชุดแต่งออกมาปีละ 3-4 รุ่น และยังมี Version แยกย่อยอีกจำนวนมาก และแตกไลน์ไปเป็น เสื้อผ้า ของที่ระลึกอีกมาก ซึ่งมันคือ Car Culture ที่ตรงกับ Life Style ของพวกเรา 4 คน

ซึ่งผลงานรถจาก Infinite Motorsport มีรถใหม่ออกมาอัปเดตตลอด หน้าที่หลักๆ ของผม คือ หา Products ใหม่ๆ หาแนวทางใหม่ๆ อะไรอยู่ในกระแสต้องอ่านให้ออก ว่าอะไรจะมา ไม่มา  เพื่อที่จะทำรถในอู่ ทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์  คือ ถ่ายรูป เขียนเรื่อง โปรโมต ซึ่งมันตรงกับความชอบส่วนตัวของผมอยู่แล้ว พอได้ทำมันเป็นงานด้วย ยิ่งทำให้ผมมีความสุขและสนุกที่จะทำมันครับ และ ในวันหนึ่งผมก็มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับ XO autosport ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมอ่านมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงาน โดยชนวนเหตุเกิดจากการทำหนังสือเล่มพิเศษ Liberty Walk Thailand Issue ของทาง XO autosport ซึ่งส่วนตัวผมอยากทำหนังสือที่เป็น Year Book ของอู่อยู่นานแล้ว เพราะถ่ายรูปรถไว้เยอะมาก  ก็เลยร่วมทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา โดยทีม Infinite Motorsport จะเป็น ผู้รับผิดชอบในเรื่องของรูป และข้อมูลทั้งหมด จากหนังสือพิเศษเล่มนั้น ก็เป็นตัวจุดประกาย เหมือนเป็นการติดต่อคุยงาน อัปเดตกิจกรรมกันอยู่ตลอด  ซึ่งส่วนตัวผมเป็นคนเล่นโมเดลรถอยู่แล้ว  ซึ่งระยะหลังวงการโมเดลโตขึ้นมาก ซึ่งผมก็อยากจะให้วงการโมเดล ไม่ได้อยู่ในเฉพาะวงคนที่เล่นเท่านั้น ผมอยากให้คนเล่นรถ ชอบรถ ได้รู้จักคนที่เล่นรถโมเดลด้วย  ก็เลยคิดอยากทำคอลัมน์ให้รู้จักเรื่องราว รายละเอียดของรถโมเดล  ในเมื่อผมเองก็สะสม ถ่ายรูปได้ และเขียนเรื่องได้ ก็เลยเป็นจุดกำเนิดคอลัมน์ใหม่ใน XO ที่ชื่อว่า Thai Scale Tuning ขึ้นมาเป็นคอลัมน์ประจำในทุกๆ เดือน นอกเหนือจากนั้น ยังมีคอลัมน์ Special Scoop มาฝากในบางครั้ง ที่ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศ พวกงานโชว์รถต่างๆ อาทิ Tokyo Auto Salon, Sema Show, Goodwood หรือไม่ก็จะเป็นที่มีตติ้งรถต่างๆ บางทีมันเข้าถึงยาก ผมก็อยากจะเก็บประสบการณ์เหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

เห็นผลงานกันมาสักพัก สำหรับนักเขียนพิเศษของ XO ซึ่งวันนี้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขากันแล้วใช่มั้ยครับ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ได้คุยกัน บนความเชื่อที่เป็นไปไม่ได้ แล้วก็พยายามทำมันให้เป็นไปได้ ไว้คอยติดตามกันเรื่อยๆ นะครับ สนุกแน่นอน….

โอ๊ต  วรุตม์ สีหนาท  (Zentrady Oat)

“Infinite  สร้างขึ้นมาบนความเชื่อที่เป็นไปไม่ได้  ซึ่งถ้าเราไม่ลองทำ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่ามันเป็นไปไม่ได้”