RWB Thailand Part 2 : MY NAME IS… ชิน RWB THAILAND…

XO AUTOSPORT No.197

STORY : T.Aviruth (^_^!)

คนไทยถ้าตั้งใจทำอะไร  ย่อมไม่แพ้ชาติใดในโลก!!  อันนี้เป็นเรื่องจริง  เพราะชายหนุ่มที่ย่างก้าวมาเป็นแขกรับเชิญในครั้งนี้  ผมว่าหลายคนอยากรู้จัก  เค้านำภาพความฝันจากแมกกาซีนรถต่างประเทศ  เสกออกมาให้เป็นเรื่องจริง!!  แล้วสานต่อให้เป็นรูปธรรม นำเทรนด์ โป่งยักษ์ ล้อลึกประดุจกะละมัง ยัดไว้ใน “เจ้าชายกบ” จนได้สมญานามว่า RAUH – WELT BEGRIFF THAILAND

                คนพิเศษของผมในเล่มนี้ชื่อ “ชิน”  ชินวัฒน์ กนิษฐ์พงศ์  ส่วนตัวผมเองยังไม่ชินกับเค้า  ก็เลยเท้าความกันเล็กน้อย  ย้อนรอยไปสัก 2 ปี เราเคยเจอกันตอนถ่าย RWB  2 คันแรกในเมืองไทย!! เพื่อเติมความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกนิดว่า ครั้งหนึ่งเราเคยพบกันมาแล้วนะ หลังจากได้คุยกันผ่านทางโมบายโฟน 2-3 ครั้ง ก็นัดหมายยกทีมไปถ่ายสัมภาษณ์ที่ RWB THAILAND โดยให้ โปเต้ มือฉมัง เป็นคนลั่นชัตเตอร์ปิดจ๊อบ!! ก่อนเปลี่ยนวิชาชีพ กลับสู่วิถีชีวิตในถิ่นฐานที่เลือก                 RWB THAILAND ในวันนัดหมาย   สายตาผมกวาดไปรอบๆ ผมคิดว่าหลายคนคงอยากเห็น เพราะทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามันเป็น Garage Life ในฝัน เหมือนสวรรค์ของคนรักรถทุกคนที่อยากจะมี  ที่นี่เป็นเสมือน Private Shop ไม่ใช่ใครๆ จะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาดูได้  เพราะในช่วงเวลาทำงาน แมคคานิคต้องการสมาธิสูงในการดูแลรถให้ลูกค้า  จึงต้องการความเป็นส่วนตัวในการทำงานสูงมาก เพราะทุกอย่างต้อง 100%  พลาดไม่ได้  ซึ่งทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆ ครับ พี่ชินมีคำตอบให้…

                งานของผมเริ่มขึ้นตรงที่พี่ชินพูดว่า “รถน่ะเหรอ  ผมชอบขับมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ  สมัยนั้นไม่ค่อยรู้หรอกว่าชอบรถยี่ห้ออะไร  ไม่รู้จักด้วยซ้ำ รู้อย่างเดียวว่าขับแล้วสนุก  มันเพลินไปเรื่อยๆ ผมป็นคนไม่ดื่ม  ก็เลยสนุกกับการขับรถไปรับเพื่อน ไปเที่ยวไหนต่อไหน ตามสไตล์วัยรุ่น  แต่ไม่ได้คิดจะแต่งอะไร จนผมจบมัธยมปีที่ 3  ก็ไปศึกษาต่อที่แคลิฟอร์เนีย  จำได้ว่าปี 1987  ทีนี้แหละเหมือนเบิกเนตรเลยนะ เห็นรถหลากหลายมากมาย  ซึ่งสมัยนั้นในบ้านเราก็เห็นแต่รถญี่ปุ่น จะหล่อสุดในยุคผมก็คงเป็นแค่  BMW E30  แต่พอมาที่นี่ตะลึง รถอเมริกัน รถเยอรมัน อิตาลี  เยอะแยะไปหมด                 ซึ่งปัจจุบันนี้มองย้อนกลับลงไป ผมก็จะเห็นว่ารถในยุคที่ผมโตขึ้นมานั้นสนุกมาก มันไม่มีความยุ่งยากเหมือนกับรถในยุคนี้ มันเป็นยุคที่มีแค่ ตัวคน กะ ตัวรถ  ไม่มีอิเล็กทรอนิกส์มายุ่งมาก  จำได้ว่า ช่วงนั้นผมอยู่กับเพื่อนๆ ที่เล่น VW กับ BMW แล้วก็มี PORSCHE ด้วย  ตอนนั้นรู้สึก 944 TURBO เจ๋งสุด  ผมมองว่ามันเป็นการพัฒนารถสปอร์ตช่วงแรกๆ ก็ว่าได้  ก่อนที่ยุคอิเล็กทรอนิกส์จะเข้ามาครอบงำแบบเต็มตัวเหมือนปัจจุบัน   คำว่า Airbag กับ ABS ผมรู้จักในยุคนี้แหละ รถใครมีในตอนนั้น เห็นแล้วโคตรตื่นเต้นเลย

ในช่วงแรกที่ไปเรียนต่อแคลิฟอร์เนียร์ ก็ไม่มีรถใช้  ส่วนใหญ่ไปกับเพื่อนๆ เป็นกลุ่มที่เล่น Golf GTi  เราก็นั่งไปกับพวกเค้าตลอด เพื่อนผมเหล่านี้ขับรถเก่ง เรานั่งไปด้วยตลอดก็ได้ซึมซับมาเรื่อยๆ  ส่วนเพื่อนอีกกลุ่มก็จะเป็นฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะคนที่ผมจำได้แม่นคือเค้าเป็นชาวไต้หวัน ขับ PORSCHE  เค้าชอบออกไปอัดรถบนถนนกัน  มามองตอนนี้มันก็เสี่ยงนะ  แต่ตอนนั้นความเป็นวัยรุ่น ใครเตือนอะไรก็ไม่ค่อยฟังอยู่แล้ว  อยากลอง อยากสนุก ไม่กลัวอะไร ก็ไปกับเค้าตลอด  อยู่ที่นั่นผมมีเพื่อนมากมายที่เล่นรถ  อาทิ พวกอเมริกัน เค้าก็จะเล่น Muscle แต่ถ้าเป็นเอเชีย มีสตางค์หน่อย ก็จะเล่น Porsche ส่วนเพื่อนกลุ่มญี่ปุ่น ก็จะเป็นพวก Supra  คือพอไปกะเพื่อนบ่อยๆ นานๆ เข้า ก็เริ่มอยากจะมีรถเป็นของตัวเองแล้ว  น่าจะประมาณ 3 ปี หลังจากที่ย้ายมาเรียนต่อที่นี่ ผมก็มีรถเป็นของตัวเอง คือซื้อต่อเพื่อนสนิท คนที่ขับ Porsche 944 Turbo S  เป็นรถปี 1988 ชาวไต้หวันนั่นแหละ   เค้าขายให้เพราะว่าเค้าเป็นรุ่นพี่ผม และเรียนจบแล้ว ก็ต้องกลับไต้หวัน  ซึ่งต้องกลับไปเกณฑ์ทหาร  ผมก็เลยซื้อต่อรถคันนั้นมาในราคาแปดแสนกว่าบาท ในปี 1991  และมันเป็นรถที่ผมนั่งกับเค้ามาตลอด  มันก็รู้สึกผูกพัน  และในที่สุดเมื่อได้มาเป็นของตัวเอง มันเรียกว่า “เนื้อคู่” เลยล่ะ

                ที่ผมชอบ 944 Turbo S ก็ตรงที่มันเป็นรถที่ขับง่าย  เค้าพัฒนามาหมดแล้ว  ซึ่งต่างจาก 930 Turbo ยอมรับว่าสวย  แต่ขับยากกว่า  ซึ่งในยุคนั้นใครที่เล่น Porsche ก็ยอมรับว่า เค้าพัฒนามาเป็นเครื่องยนต์วางหน้า และก็ขับได้ดีด้วย  แต่เมื่อหลังจาก 944 ก็มาเป็น 968  และดูเหมือนว่าทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ไม่มีการพัฒนาต่อของเจ้าชายกบ และราคาก็ถูกลงเรื่อยๆ  ในขณะที่ราคาของ 911 มันคงที่มาตลอด รูปลักษณ์ก็บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างชัดเจน  เจ้า 944 Turbo S คันที่ผมซื้อมา ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นรถเก็บ  ดูแลรักษาเก็บมาอย่างดี  ตั้งใจไว้ว่ากลับเมืองไทย จะนำกลับมาด้วย  พอผมย้ายไปศึกษาต่อปริญญาโทที่วอชิงตัน ผมก็เอาไปด้วยนะ  เรียกว่าไปไหนไปด้วย แต่ไม่ค่อยได้ขับใช้งาน  เพราะอากาศไม่ดี มีหิมะ เลยไม่อยากให้รถช้ำ ผมก็ใช้รถทั่วไปในการเดินทางไปไหนมาไหนแทน                 และในปี 1999 ก่อนยุคมิลเลนเนียม ผมตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย แต่รถคันนั้นไม่ได้เอากลับมาด้วย  ผมมีความจำเป็นต้องขาย เพราะเรื่องเศรษฐกิจด้วย แล้วน้องสาว 2 คนผมขึ้นไปเรียนต่อด้วย ค่าเงินบาทลอยตัวไปตั้งห้าสิบกว่าบาท ผมก็เลยต้องตัดใจช่วยเหลือทางบ้าน ด้วยการขายรถไป  หวังไว้ว่าเดี๋ยวซื้อใหม่ได้  รถคันนี้ผมทำเยอะมาก เพื่อให้สภาพใหม่เหมือนรถออกห้าง  ตอนที่ผมขาย มันเป็นช่วงที่เค้ากำลังฮิตเอาบอดี้นี้มาทำเป็นรถสนาม  แค่ลงประกาศขาย มีฝรั่งบินจากต่างรัฐมาขับกลับไปเลย  ตอนนั้นก็อึ้งเหมือนกันนะ  นึกว่าแค่บินมาดูเฉยๆ แล้วกลับไปตัดสินใจ  ที่ไหนได้ เค้าหอบเงินสดขึ้นเครื่องมาจากเท็กซัส ดูรถแป๊บเดียว วางสตางค์ แล้วขับกลับเลย

                ตลอดระยะเวลาที่ชอบ Porsche มา  บอกตามตรงตัว 911 มันอยู่ในใจตลอด ด้วยรูปลักษณ์ที่มันชัดเจน แต่ที่เอา 944 มาก็เพราะว่ามันขับดี  ในยุคนั้นยังไม่อินกับรถเก่าๆ แต่ที่มันติดอยู่ในใจก็ตรงที่ 911 Turbo Wide Body ผมชอบโป่งใหญ่ๆ ล้อลึกๆ เนี่ยชอบมาก! มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว   ตั้งแต่ผมกลับมาอยู่เมืองไทย ทำงานปกติ รถก็ใช้ทั่วไป นิ่งๆ ก่อน เพราะรถที่เมืองไทยแพงมาก  แต่คนเคยเล่นนะ ยังไงก็เลิกไม่ได้  มันมีเรื่องติดข้างในใจตลอดในรูปลักษณ์ของโป่งใหญ่ ล้อลึก ใน Porsche 911 ก็เลยตัดสินใจไปดูที่ AAS  คือรถเก่าน่ะชอบอยู่แล้ว หรือซื้อรถใหม่เลย  แต่รถเก่าที่ไปดูคือ 993 Twin Turbo  สเป็กรุ่นนี้ก็มันส์อยู่นะ ขับ 4 เครื่องเทอร์โบ  สี่ร้อยกว่าม้า แต่ราคามันไม่ตกเลย ซึ่ง ณ ปัจจุบันตอนนี้ ราคามันก็ยังสูงอยู่เช่นเดิม เรียกว่าราคาเสถียรมาก  ซึ่งในช่วงที่ระหว่างรอตัดสินใจ 996 C4S ก็เพิ่งออก  สเป็กมันขับ 4 ช่วงล่างตัวเทอร์โบ มีโป่งใหญ่เหมือนกัน  ซึ่งราคามันต่างกับรถเก่า 6 ปีมาแล้วนิดเดียว ปรึกษากันแบบรอบด้าน เค้าเชียร์รถใหม่กันหมด เพราะรถเก่า วารันตีไม่มี เอามายังไงก็โดนแน่ ก็เลยตัดสินใจซื้อรถใหม่ 996 C4S  ขับสนุกมาก เพราะตัวช่วยมันเยอะ                 ลั้ลลาไม่คิดไรมาได้ 7 ปี  “ผีรถเก่า” ก็เข้าสิงอีกครั้ง เป็นเพราะยังไปไม่ถึงในสิ่งที่ต้องการ!!  คือเมื่อไหร่ที่ได้มาครอง มันก็จบ  ทีนี้ก็เริ่มหาข้อมูลจริงจัง ตั้งใจว่าพอมาเป็รถเก่า  ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเทอร์โบแล้ว เพราะท้ายที่สุดก็ต้องเอามาทำใหม่อยู่ดี   แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะจุดยืนเรามีว่า ต้องเอามาใส่โป่งใหญ่ๆ ล้อลึกๆ คือถ้าเอารถมาก็ต้องไปซื้อโป่ง RSR มาทำสีแล้วจัดทรงให้เข้ากับรถ แล้วมันจะจบมั้ย? ใครจะทำให้ แล้วงานที่ได้จะออกมาเป็นอย่างที่เราตั้งใจไว้หรือเปล่า? ผมคิดหนักมาก เพราะต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อแลกกับความอยากที่จะให้เป็น!!  คือในช่วงที่ผมคิด ตั้งคำถามตลอดเวลา ผมก็หาข้อมูลควบคู่เพื่อต้องการคนที่จะมาตอบคำถามเหล่านี้ให้กับผมได้   อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดคือ ผมชอบความเรียบร้อย และประณีตในการทำรถ ซึ่งชุดโป่งที่ผมจะสั่งมาใส่ ส่วนใหญ่ก็ทำมาเพื่อรถแข่งทั้งนั้น งานมันไม่เรียบร้อย เพราะทีมแข่งแค่เอามาใส่ๆ วิ่งแข่งได้  ชนก็ถอดทิ้ง แต่ของผมไม่ต้องการแบบนั้น  มันจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น

ก็เข้ามาสู่ยุคเริ่มต้นที่ผมได้ลองศึกษากับ RWB มากขึ้น  ก่อนหน้านี้เห็นรถของค่ายนี้มาตลอด  คือหลังจากที่ผมกลับจากอเมริกามา ก็ได้ไปซื้อแมกกาซีนรถญี่ปุ่นที่โตเกียวโดบุ๊คส์ มาดูตลอด ก็เจอรถ Porsche RWB นี่แหละที่เข้าตาที่สุด  ตรงคอนเซ็ปต์ที่ผมวางไว้  คือเค้ากล้าเปลี่ยนแปลงบุคลิกของรถ แล้วมันออกมาดูเจ๋งดี  และดูมีสไตล์เป็นของตัวเอง  และในที่สุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องไปดูของจริงสักที  ซึ่งตอนนั้นที่ตัดสินใจ รถที่จะเอามาทำก็ยังไม่มี ของแต่งก็ไม่กล้าสั่ง  เพราะไม่รู้จะไปในทิศทางไหน  กะว่าลองไปดูที่ RWB ก่อน

                ปี 2011 ผมเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อไปหา Mr. Nakai-San เจ้าของ RWB  ตั้งใจจะไปหาพร้อมหอบโจทย์ที่ค้างคาใจ เพื่อไปคลี่คลายที่นั่น  ผม  Email คุยผ่าน Partner ของเค้าตลอด เพราะ  Mr.Nakai-San เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษ ถึงพูดได้ก็น้อยมาก ผมก็เลยต้องนัดผ่านทาง Partner ว่าเข้าไปหาที่ญี่ปุ่น  ผมก็ไปทำวีซ่า เตรียมไปญี่ปุ่นเลย  พอทำเสร็จปุ๊บ รุ่งขึ้นอีกวัน Tsunami ถล่มญี่ปุ่นยับเลย  งานเข้าเลย คิดหนักเหมือนกันนะ ตั้งใจไว้ว่าจะบินไปชิมลางคนเดียวเลย ไปแบบเงียบๆ  ก็เลยต้องพักโครงการ  ซึ่งในแพลนผมเนี่ย 2 อาทิตย์ หลังจากที่ไปญี่ปุ่นต้องไปเที่ยวกับครอบครัวที่เกาหลี  ผมก็เดินทางไปเกาหลีพร้อมครอบครัว  ก็ติดตามข่าวสารตลอด  ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ญี่ปุ่นโดนถล่ม ทุกคนต่างอพยพออกจากญี่ปุ่น เพราะเรื่องของกัมตภาพรังสี                  แต่ก่อนหน้า 2 วันที่ผมจะกลับเมืองไทย  ผมตัดสินใจบินไปญี่ปุ่นคนเดียว เพื่อไปหา Mr.Nakai-San โดย Email บอกเค้าล่วงหน้าว่าจะไปหา  เพราะ  RWB อยู่เมืองชิบะ ไม่มีผลกระทบ เว้นแต่เรื่องระบบไฟฟ้า ในที่สุดผมก็บินไปญี่ปุ่น ลงที่สนามบินฮาเนดะ ตอนตี 4  และนี่คือเป็นการมาประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ทำการบ้านไปเยอะเหมือนกัน  เพราะรถไฟที่ญี่ปุ่นมีหลายสาย ต้องศึกษาให้ดี  ผมนั่งรถไฟตอน 6 โมงเช้าเพื่อไปที่เมืองชิบะ  ใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมงเหมือนกัน  เพราะมีหลงบ้าง ยืนสังเกตการณ์ ถามทางไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้า RWB ตอน 8โมงกว่าๆ  ซึ่งเราไม่รู้ว่า  Mr.Nakai-San ทำงานกลางคืน แต่สปิริตเค้าดีมาก  รู้ว่าเราจะมาหา เค้าก็มาหาเราตามที่นัดกันไว้  คือความตั้งใจที่มาหาในครั้งนี้เพียงแค่ต้องการมาดูของจริง และก็มีปัญหาหลายเรื่องมาถามถึงความเป็นไปได้ในการทำรถของผม

ถ้าถามผมว่าคุยกันรู้เรื่องมั้ย? ตอบได้เลยว่าไม่รู้เรื่อง  เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เข้าใจก็ประมาณ 50% เท่านั้นแหละ ผมใช้เวลาคุยกับเค้าประมาณ 40 นาที เท่านั้น!!  ตัว Mr.Nakai-San ก็ดูเหมือนไม่อะไรกับเราเท่าไหร่ ผมก็เชยๆ เพราะเพียงแค่ต้องการอยากรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดจะทำ จะเป็นจริงได้มั้ย?   ซึ่งตอนที่อยู่ RWB ผมเห็น 993 จอดอยู่  ก็คิดนะนี่แหละสิ่งที่ตามหามาตลอด  หลังจากจบที่ RWB ผมก็ไม่ไปไหนเลยนะ  ทั้งๆ ที่เป็นการมาญี่ปุ่นครั้งแรก ผมนั่งรถไฟเข้าสนามบินนาริตะ เพื่อกลับเกาหลี   ผมไม่เคยเห็นสนามบินโล่งขนาดนี้ ไม่มีคนเลย  ผมบินกลับทันที การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก ผมใช้เวลาตี 5 ถึงแค่บ่าย 3 โมงเอง ยังไม่ถึงวันเลย

                พอผมกลับมาถึงเมืองไทย ก็ Email คุยกับเค้าว่าอยากลองทำ เค้าก็ส่งตัวเลขมัดจำกลับมาให้  ซึ่งเราเองก็คิดนะ  จะโอนเงินไป เค้าจะทำให้เรามั้ย?  เงินมันก็ไม่ใช่น้อย แต่ก็ตัดสินใจมัดจำไปตามค่าใช้จ่ายที่เค้าส่งมา ซึ่งในช่วงที่ดำเนินการนี้ ผมตัดสินใจซื้อ 993 พร้อมแล้ว ก็ให้เพื่อนซื้อ 964 มาทำคู่กัน ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คิดหรอกว่าจะมาเป็นดีลเลอร์ RWB  เพียงแค่ต้องการทำรถของตัวเองให้เสร็จ   หลังจากที่ผมโอนค่ามัดจำไปให้  เค้าไม่ส่งของให้ทันทีนะ  แต่กลับมาประเทศไทยด้วยตัวเอง เพื่อมาหาผม ดูว่าเรามีรถรอทำอยู่จริงหรือเปล่า และก็มาศึกษาเมืองไทย สภาพถนน สะพาน  ว่าเป็นอย่างไร   ซึ่งรถ  RWB เนี่ย มีแต่ในประเทศญี่ปุ่น รถทุกคันต้องผ่าน Mr.Nakai-San ทั้งหมด ผมก็งงอยู่เหมือนกันว่าเค้าจะมาทำรถให้ได้ยังไง?  แต่ในที่สุดเค้าก็บินมาทำให้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ เพราะรถ 993 และ 964 ทั้ง 2  คันนี้ นับเป็นครั้งแรกของ RWB ที่ออกมาทำรถนอกประเทศญี่ปุ่น                 หลังจากที่เค้ากลับไปก็เริ่มส่งชิ้นส่วนมาให้ผม เพื่อให้ไปเตรียมตัวทำชิ้นงานให้พร้อมประกอบ เมื่อเค้าเดินทางมา  ซึ่งทุกอย่างต้องเป๊ะ 100%  เพราะเวลามีจำกัด ซึ่งมันไม่เหมือนกับทำรถที่ญี่ปุ่น เค้าเป็นช่าง ตัดเอง ทำสีแล้วประกอบ ก็ต้องเผื่อเวลาเป็นอาทิตย์   โดยขั้นตอนการมาทำที่เมืองไทยคือ มีบอดี้ และโป่งที่ทำสีเสร็จเรียบร้อยแล้วมารอ   เค้ามาถึงจะตัดบอดี้ และประกอบโป่งเข้าไป  ซึ่งในใจผมคิดเองนะ.. ทำสีเสร็จแล้ว มาตัด มันจะเนี้ยบเหรอ?  แต่พองานเสร็จ มันก็ได้ดั่งใจที่ฝันไว้นะ ซึ่งก่อนหน้าที่เค้าจะมาทำให้ผมเค้าไปทำ 993 อีก 4 คัน เหมือนฝึกให้เป๊ะ ป้องกันความผิดพลาด  มันก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ RWB THAILAND

                พอหลังจากได้ร่วมงานในการทำรถ 2 คันนี้ หลังจากนั้นก็ติดต่อกันมาตลอด  Mr. Nakai-San มีความเป็นศิลปินสูง เรื่องธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ ความเป็นเพื่อน ความมีน้ำใจมีมาก่อน  อาทิ เคยตกลงกับเค้าไว้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่านี้ พอเค้ามาเริ่มทำจริง อยากให้ชุดโป่งเป็นแบบเรียบ ซึ่งเท่ากับว่า เค้าต้องบินกลับมาทำให้อีกรอบ  ซึ่งเราก็โอเคในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับมาทำอีกครั้ง  แต่เค้ากลับบอกว่าไม่เป็นไร  ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในข้อตกลงครั้งแรกแล้ว คือความต้องการของเค้าคือ “ต้องการทำงานออกมาให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด”  หรืออีกเคสนึง คือรถทำสีเสร็จแล้ว รอประกอบ ปรากฏว่าสีไม่เท่ากัน เค้าก็บอกไม่เป็นไร  กลับไปทำสีให้เสร็จก็แล้วกัน  เดี๋ยวเค้าบินกลับมาทำให้ใหม่  ซึ่งผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมส่งให้อู่สีแก้งานให้ ก็เรียบร้อย ไม่ต้องกลับมาอีกรอบหรอก แต่เค้าก็ไม่ยอม  เค้าต้องตรวจงานให้เรียบร้อยจริงๆ ก่อนจะส่งมอบให้กับลูกค้า                 RWB THAILAND เกิดจากความตั้งใจของผม คือต้องการทำให้มีสถานที่นึง เป็นที่รวมตัวกัน มานั่งเล่น คุยกัน เพราะตั้งแต่ ทำ RWB 2 คันแรกในไทยเรียบร้อย ก็มีเพื่อนๆ หลายคนชอบ และอยากจะทำเพิ่มอีกหลายๆ คัน ในใจผมเองก็อยากทำสถานที่ไว้รวมตัว ในอารมรณ์ Garage Life อยู่แล้ว มีรถสวยๆ จอด วิวดี มีห้องนั่งเล่นคุยกัน  และส่วนตัวผมชอบการทำงานของช่างเอ๋  Autohaus  อยู่แล้ว เค้ามีความสามารถ, ความตั้งใจ และความรับผิดชอบสูงมาก ก็เลยคุยกับเค้าว่าผมมีสถานที่อยู่ มาทำอะไรเล็กๆ ร่วมกันมั้ย?  คือ ทำแบบชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่จิปาถะ  ก็เลยกำเนิดที่นี่ขึ้นมา  แต่ไหนๆ อยากทำแล้ว ก็ต้องทำให้มันดี ต้องแปลกและตื่นเต้น  คือใจผมชอบอะไร ที่ดูเหมือนบ้าน เข้ามาแล้วนั่งเล่นสบายๆ ได้  สำหรับทุกคนที่มาทำงานที่นี่  อยากให้เค้ามาทำงานแบบมีความสุข   คือถ้าใจเค้ามีความสุขในการมาทำงาน  เรื่องดีๆ ทุกอย่างก็จะตามมา  พอได้มาอยู่รวมกันแล้วมีความสุข ทุกอย่างมันก็จะทำให้สนุกขึ้นมาเอง

                ณ ปัจจุบัน หลังจากที่กำเนิด RWB THAILAND ขึ้นมาแล้ว ก็มีที่อเมริกาตามมา  โดยมี  Fatlace เป็นดีลเลอร์ ซึ่งถ้านับเป็นเรื่องเป็นราว  ดีลเลอร์นอกประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีที่ประเทศไทยนี่แหละใหญ่สุด  และล่าสุดเห็นว่ากำลังจะเปิดที่ฟิลิปปินส์ด้วย  จริงๆ แล้วรถ 911 ในบ้านเราก็ไม่ได้มีมากมาย  แต่ถ้านับที่เป็น RWB แล้ว ในบ้านเรามีมากเป็นอันดับที่สอง รองจากญี่ปุ่น  ตอนนี้มีทั้งหมด 7 คัน และไม่เกินเดือนเมษายน ก็จะมีเพิ่มเป็น 10 คัน  ตัวผมเองก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะมีคนชอบแนวนี้เพิ่มขึ้นขนาดนี้  ตอนที่ทำเสร็จ 2 คันแรก ได้คุยกับ  Mr.Nakai-San ก็ขำขำ บอกกับเค้าว่าคงไม่มีใครเอารถ Porsche มาทำแบบนี้แน่ๆ  ซึ่งผมคิดว่า “ทุกคนก็มีความคิดในการแต่งรถเป็นของตัวเอง  ไม่ต้องไปถามใครเค้าหรอก ว่าแต่งแบบนี้จะดีมั้ย?  ถ้าชอบก็ทำเลย  จะเอาความคิดคนอื่นไปแต่งรถที่คุณชอบทำไม? ในเมื่อคุณไม่ได้ชอบในแบบที่เค้าคิด!!  แต่งรถมันไม่มีผิดหรอก  ในเมื่อมันเป็นของๆ เรา”                  ส่วนมุมมองที่มองไว้ในอนาคต ก็จะเป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยน  ไม่ได้คาดหวังจะให้มีรถแต่งเป็น RWB เพิ่มขึ้น  แค่ตั้งใจทำรถทุกคันที่เข้ามาให้ดีที่สุดเท่านั้น อาจจะมองว่าดูเหมือนว่างานไม่หนัก แต่ที่จริงหนักมาก  คือ ต้องเตรียมรถจัดทรง ทำสีใหม่ ยกเครื่องยนต์ออก รื้อเกลี้ยง เพื่อตรียมความพร้อม ก่อนที่จะประกอบเป็น RWB ต้องใช้ระยะเวลาทำทั้งหมดประมาณ 3-4 เดือน ต่อ 1 คัน  แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวรถด้วย ถ้าพื้นฐานรถมาดีอยู่แล้ว ก็ย่นระยะเวลาได้มากขึ้น  ภายในก็เช่นกันผมดูแลให้หมด  ซึ่งตอนนี้สังคมของ RWB ไม่ใช่มีแค่ประเทศไทย  คือเรามี LINE Group ของ RWB ทั่วโลก เพื่อทักทายพูดคุยความคืบหน้าของ RWB ทั่วโลก ตอนนี้มีที่ไหนทำบ้าง หรือว่าประเทศไหนมีมีตติ้ง ถ้าว่างเค้าก็จะบินมาร่วมงานกัน”

ในวันนี้ “ชิน”  ชินวัฒน์ กนิษฐ์พงศ์  เป็นผู้ก่อให้เกิด RWB THAILAND อย่างเป็นทางการ  ซึ่งดูเหมือนว่า มันอาจะเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้เอง  ไม่เห็นสำคัญอะไรเลย แต่ก็อยากบอกว่า “ถ้าไม่เริ่มต้นวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะกลายเป็นอดีตได้อย่างไร”  ตำนานทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้นเสมอ!!  และที่คุณอ่านมาทั้งหมดนี้ มันคือจุดเริ่มของตำนาน!!

วลีโดนใจ

– ไม่เริ่มต้นวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะกลายเป็นอดีตได้อย่างไร!!

– ถ้ามีความสุขในการมาทำงาน  เรื่องดีๆ ทุกอย่างก็จะตามมา

– “ทุกคนก็มีความคิดในการแต่งรถเป็นของตัวเอง  ไม่ต้องไปถามใครเค้าหรอก ว่าแต่งแบบนี้จะดีมั้ย?  ถ้าชอบก็ทำเลย  จะเอาความคิดคนอื่นไปแต่งรถที่คุณชอบทำไม”