เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : พิศวัส พงศ์พุฒิโสภณ, วิวัฒน์ ภัยวิมุติ
R34 Drift Machine
มาดู “รถดริฟต์” กันบ้าง จากกระแสที่ยังแรง จนทำให้มาสะดุดตากับคันนี้ ซึ่งเป็น SKYLINE R34 ที่เป็นรถดริฟต์คันแรกในเมืองไทย ซึ่งได้อู่ที่เก๋าเกมในด้านรถแข่งมาอย่างยาวนานอย่าง K45 ของคุณสุพจน์ กสิกรรม เป็นผู้ลงมือทำ และมีการเลือกใช้ของดี ๆ ทุกชิ้น เพื่อประสิทธิผลในการใช้งานแบบ Full Race โดยแท้จริง เจ้าของรถ (ไม่ประสงค์ออกนาม) ก็ถือว่าเป็นรถคันใหม่ของเขา จึงต้องมีการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องพูดถึง ว่าเขาทำกันอย่างไร และได้อะไร…
- พาร์ทญี่ปุ่น ฝากระโปรง Z-TUNE หุ้มสติกเกอร์คาร์บอน กระจกมองข้าง CRAFT SQUARE
Body : Loss Weight
สำหรับรถคันนี้ พื้นฐานก็จะเป็น NISSAN SKYLINE Sport Coupe 25 GT TURBO รหัส GF-ER34 ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่การจะนำมาดริฟต์ จะมีข้อเสียเปรียบบรรดา 200 SX และ SILVIA อยู่พอสมควร เรื่องหลักคือ “น้ำหนัก” รุ่น 25 GT นี้ น้ำหนักรถสแตนดาร์ดเปล่าๆ อยู่ที่ “1,430 กก.” ซึ่งไม่รวมคนขับ ไม่มีของเหลวใด ๆ ในรถเลย ชั่งแบบแห้ง ๆ ลองมาคิดว่า ถ้าไม่ลดน้ำหนัก ต่อให้รื้อภายในออก แต่เราก็ต้องดามโรลบาร์เพิ่ม น้ำหนักก็อาจจะน้อยลงไม่มากก็ได้ ตีว่าอยู่ในระดับ 1,400 กก. ยังไม่รวมคนขับ ก็จัดว่าเป็นรถที่หนัก ไม่เหมือนกับพวก 200 SX ที่จะเบากว่าร่วม ๆ 200 กก. ดังนั้น “ต้องลดน้ำหนักลง” เปลี่ยนกระจกออก เอาอะคริลิกใสใส่แทน ยกเว้นกระจกบังลมหน้าที่ยังเป็นของเดิม ประตูไฟเบอร์ แต่โครงสร้างหลักที่เป็นเหล็ก ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม เพราะยังต้องการความแข็งแรงอยู่ ถ้าต้องการความแข็งแรงมากขึ้น ก็ต้อง Spot ตัวถังช่วย เพื่อลดการบิดให้น้อยลง รถก็จะขับได้แม่นยำขึ้น แต่คันนี้ยังไม่ได้ Spot ตัวถัง เพราะพื้นฐานของ SKYLINE ก็มีความแข็งแรงดีอยู่แล้ว เพราะต้องเผื่อโครงสร้างไว้รองรับแรงม้าและความเร็วสูง ๆ แต่ในอนาคต ถ้าจะเล่นกันรุนแรงเต็มที่จริง ๆ ก็ต้องทำ…
- พาร์ทรอบคัน เป็นการออกแบบของเจ้าของรถ กับทาง K45 โป่งหลัง Wide Body แบบดิบ ๆ
Engine : RB26DETT TOMEI Full Step “For Smoke”
สำหรับรถดริฟต์ ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็น SR โมดิฟายให้มีแรงม้าแถว ๆ 350-400 PS เพื่อเน้นกำลังในการ “ส่งท้าย” ออก ถ้าต้องการเครื่องใหญ่ขึ้น ทำประหยัดงบกว่า ก็นิยม JZ เพราะทำแรงม้าได้ง่ายและทนทาน ประกอบกับนิสัยเครื่องจะมีแรงบิดรอบกลาง ๆ ดี ก็มีแต่สเต็ปต้น ๆ ระดับ 400 PS ไปจนถึงระดับ Hardcore 600 PS ขึ้นไปก็มี สำหรับ R34 คันนี้ สืบเนื่องจากเจ้าของรถเป็นผู้ที่ชอบ SKYLINE R34 อย่างมาก ก็เลยต้องใช้ RB26DETT ลงแทน RB25DET เพราะมีกำลังมากกว่า แถมยัง “จัดหนัก” เพราะสั่งเครื่อง TOMEI เป็น Complete Engine มาทั้งตัว เป็นสเต็ปสูงสุดเท่าที่ขายอยู่ โดยขยายความจุเป็น 2.8 ลิตร หรือ 2,771 ซี.ซี. จริงๆ แล้ว TOMEI ก็จะมี Full Step ที่เป็น 2.6 ลิตร เท่าเดิมเหมือนกัน (อันนี้เคยเขียนไปแล้วใน R34 ของคุณบอย เทียนทอง) ทำแรงม้าได้ไม่ต่างกันนัก แต่ 2.8 ลิตร จะได้ “แรงบิดดีที่รอบต่ำกว่า” ซึ่งก็เป็นการแก้นิสัยของ RB26 ที่รอบกลาง ๆ แรงบิดจะไม่ค่อยเต็มที่นัก ก็มีผลดีกับการ Drift ที่ต้องกระแทกเอาแรงบิดในช่วง 5,000 รอบ ขึ้นไป ให้เยอะๆ ไว้ก่อน เพื่อให้ท้ายออกได้ง่าย เครื่องตัวนี้ ทางเจ้าของรถยังไม่ได้ขึ้นวัดแรงม้า แต่คุยกันแล้ว แรงม้าน่าจะเกินกว่าประมาณ 700 PS แต่ไม่มากกว่า 800 PS เพราะเทอร์โบ T04Z มันให้แรงม้าได้ประมาณนั้น ไปเน้นการตอบสนองที่รวดเร็วจะดีกว่า และเจ้าของรถก็ยังไม่เคยใช้แรงม้าเต็ม ใช้ราวๆ 50-70 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังเหลือ ๆ ทำให้กลายเป็นขับง่ายไปอีก สามารถกดคันเร่งสั่งได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องเค้นกันมากนัก…
- RB26DETT จัดหนัก TOMEI ชุดใหญ่ คอยล์จุดระเบิด REV
Transmission : OS-88 Sequential 6 Speed
ระบบส่งกำลัง ก็จะใช้เกียร์ OS-88 แบบ “ซีเควนเชียล” 6 สปีด ซึ่งเกียร์แบบนี้จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้น–ลงในแนวตรง เรียงลำดับ ไม่สามารถข้ามจังหวะได้เหมือนแบบ H-Pattern ก็ตรงตามความหมายของซีเควนเชียล ที่แปลว่า “การเรียงลำดับ” ซึ่งเกียร์แบบ 6 สปีด จะได้เรื่อง “อัตราทดชิด” ที่สามารถจะกระชากแรงบิดออกมาได้ตามต้องการ จริงๆ รถดริฟต์อาจจะไม่ได้ใช้ถึงเกียร์สุดท้าย ก็ใช้ได้ช่วงเกียร์ 2-3-4 เป็นหลัก เพราะบ้านเราสนามมันสั้น แต่ด้วยความที่เกียร์แบบนี้ มักจะมีแต่ 6 สปีด ก็เลยต้องใช้ มันก็มีข้อดีคือว่า “ไม่ผิดเกียร์” เพราะมันไม่สามารถข้ามจังหวะได้ ก็ทำให้ขับได้แม่นขึ้น ชุดคลัตช์ก็เป็นของ OS ทั้งหมด แพท้ายยกเอาของ GT-R มาใส่ จะได้เพลาขับใหญ่ ช่วงล่างใหญ่แข็งแรงกว่า ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จที่ NISSAN นิยมกัน ส่วนเฟืองท้ายก็เป็น CUSCO แบบ 2 Way ที่ทำงาน “จับ” ทั้งตอนถอนและเร่ง ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับรถแข่ง เพราะมันจะจับตลอดเวลา เวลาถอนคันเร่งมันก็ยังทำงานอยู่ ทำให้รถยังคงไปต่อได้ ในรถดริฟต์ถือว่าจำเป็น เพราะต้องทำให้ท้ายออกไว้ก่อน จึงต้องทำให้ลิมิเต็ดทำงาน เพื่อมีแรงส่งให้ท้ายโอเวอร์สเตียร์ตลอดเวลา ส่วนรถที่ใช้ “วิ่งถนน” ผมไม่แนะนำให้ใช้ถึง 2 Way เพราะจริงๆ การขับแบบเข้าโค้งทั่วไป จะใช้แรงจับของลิมิเต็ดสลิปเต็มที่ก็ต่อเมื่อการเร่งส่งออกโค้ง กันล้อในโค้งเกิดอาการฟรีทิ้ง ส่วนตอนเดินคันเร่งเลี้ยงในโค้ง ก็ไม่ต้องจับมาก ถ้าจับมากไป หรือถอนคันเร่งแล้วก็ยังจับอยู่ จะทำให้โอเวอร์สเตียร์ได้ง่าย ควบคุมลำบากขึ้น ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับที่เราจะใช้มากที่สุด…
- หน้าปัดเดิม พวงมาลัย NARDI ORIDO STYLE ภายในคันนี้ทำได้เรียบร้อยดี มาตรวัด STACK ตรงกลางเป็น HKS ใส่ในเบ้าเกจ์เดิม เพราะ 25 GT จะเป็นเกจ์สามเกลอ ส่วน GT-R จะเป็นจอสี่เหลี่ยม
- สวิตช์ Safety ของ MOROSO ทั้งแผง
Suspension : TEIN SUPERDRIFT & More Front Camber
สำหรับช่วงล่างในรถดริฟต์ ก็คงจะเหมือนกับรถแข่งเซอร์กิต ในจุดเริ่มต้น คือ “ใช้ช่วงล่างที่ปรับได้มากที่สุด” โช้คอัพของ TEIN SUPERDRIFT ที่ใช้ตรงภารกิจ โช้คอัพรถดริฟต์ไม่จำเป็นต้องแข็งไว้ก่อนเพื่อให้ท้ายออกง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ซึ่งแต่ก่อนนั้น รถดริฟต์ยังไม่ได้แรงเหมือนเดี๋ยวนี้ เป็นรถสแตนดาร์ดมาทำแบบประหยัดงบด้วยซ้ำ ความเร็วก็ไม่สูง จึงต้องใช้โช้คอัพแข็ง ๆ ใส่ยางหลังเก่า ๆ หรือยางที่ไม่เกาะถนนนัก เพื่อให้ท้ายไหลออกง่าย แต่ปัจจุบันนี้รถดริฟต์มีความรุนแรงมากขึ้น ทุกอย่างต้องทำให้ควบคุมได้แน่นอน ยางก็เอาที่เกาะถนนดีสุด โช้คอัพก็ต้องทำให้ Absorb ไม่ได้สักแต่ว่าแข็งเหมือนแต่ก่อน เพื่อเวลาเหวี่ยงรถที่ความเร็วสูง ต้องสไลด์แบบเกาะถนนไปด้วย ไม่ได้สไลด์แบบไม่เกาะเหมือนแต่ก่อน อย่างนั้นถ้ามาเร็ว ๆ จะเอาไม่อยู่ การเซ็ตช่วงล่างจึงเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง พวกแขนลิงค์ต่างๆ เป็นของ Ikeya Formula และ NISMO ผสมกัน ซึ่งของพวกนี้จะมีน้ำหนักเบา ทำให้ช่วงล่างตอบสนองได้เร็ว และปรับมุมล้อได้เยอะกว่าของติดรถ เพราะนักขับแต่ละคนจะชอบอาการรถที่ต่างกันไป…
แต่โดยพื้นฐานปกติจะเซ็ตอัพให้ “หน้าเกาะกว่าหลัง” เป็นหลัก เพราะต้องเอาท้ายกวาด ส่วนหน้าจะ “จิก” อย่างในจังหวะที่ต้องส่ายรถเร็ว ๆ ถ้าหน้าไม่เกาะ มันจะอันเดอร์สเตียร์ออกไปแทน หรือในจังหวะที่ต้องทำ Angle เยอะ ๆ เพราะยิ่งมุมเยอะ รถจะขวางมาก ล้อหลังจะเสียดสีรุนแรงให้เกิด “ควัน” มาก ล้อหน้าจะต้อง “จิก” ตามไลน์ให้ได้ เพื่อบังคับให้รถขวางเยอะ ๆ การตั้งมุมล้อของคันนี้ ด้านหน้าตั้งไว้มากถึง “ลบแปด” เวลาสไลด์ข้าง แล้ว Turn ล้อหน้าสวน เมื่อรถเอียง หน้ายางก็จะแนบตรง ทำให้เกาะถนนดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเซ็ตรถด้วย ถ้าลบมาก ๆ ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าจะเกาะถนนดี เพราะมุมลบมาก ๆ ยางจะสัมผัสถนนไม่เต็ม ยิ่งแคมเบอร์ลบ ยิ่งสัมผัสน้อย ต้องทำให้รถเอียงมาก ๆ ก็จะช่วยได้ แต่ถ้ารถไม่เอียงมาก ไม่พอที่จะกดให้ยางแนบเต็ม ก็ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น ส่วนล้อหลังก็ตั้งไว้ประมาณ “ลบสอง” ไม่ลบเยอะนัก เพราะต้องการให้เกาะน้อยกว่าด้านหน้า (จริง ๆ รถเดิม ๆ มุมล้อก็จะเป็นลบนิด ๆ อยู่แล้ว) สำหรับเรื่องมุมล้อ บอกตรง ๆ ว่าไม่กล้าตัดสินว่าอะไรถึงจะดี อยู่ที่ความรู้สึกของคนขับ ว่าชอบแบบไหน ถนัดอย่างไร ก็ตั้งเอาที่ชอบก็แล้วกัน แต่โดยแนวโน้มของรถดริฟต์ก็จะประมาณนี้ ส่วนระบบเบรก ด้านหน้าไม่ได้ใช้ขนาดใหญ่ เพราะไม่ค่อยจำเป็นมากนัก เบรกดีเกินไป พอเบรกแล้วรถจะหยุดเร็ว ล้อล็อก ทำให้เสียจังหวะ เอาพอดี ๆ จะคุมง่ายกว่า เพราะความเร็วรถจริง ๆ ก็ไม่ได้สูงมากนักจนต้องพึ่งเบรกใหญ่…
- ล้อ W WORK S1 ด้านหน้า 9.5 x 18 นิ้ว หลัง 10 x 18 นิ้ว ยางหน้า TOYO PROXESS 225/40 R18 หลัง ACHILLES 265/40 R18 จานเบรก Project Mu คาลิเปอร์ของ 25 GT เดิม
Owner Comment :
สำหรับรถ SKYLINE R34 คันนี้ ก็เป็นรถในฝันของผมมานานแล้ว เป็นรถคันใหม่ที่เพิ่งเสร็จไม่นาน ก่อนหน้านี้ก็ใช้ 200 SX ก็ยกให้ลูกชายไป แล้วก็หารถคันใหม่ ก็มี Choice มากมายเลย ลองไปปรึกษาทางคุณสุพจน์ กสิกรรม อู่ K45 ก็ได้รับคำแนะนำมาว่า ซื้อรถที่ตัวเองชอบจะดีกว่า ก็เลยตกลง อันดับแรก ต้องลดน้ำหนักก่อน แล้วก็มาเรื่องเครื่อง ผมสั่ง TOMEI มาทั้งหมด โดยกำหนดสเป็กไปว่าต้องการดริฟต์ จากการที่เป็น 2.8 ลิตร เลยมีกำลังเหลือที่จะเติมได้อีกเมื่อต้องการ ส่วนการเซ็ตช่วงล่าง ทาง TEIN MASTERSHOP ก็จัดมาให้เป็นชุดดริฟต์ แต่เซ็ตมาแบบกลาง ๆ ไว้ก่อน แล้วเราก็มาปรับเองตามชอบ โดยรวมแล้วเป็นรถที่เซ็ตมาดีมากครับ ขับง่าย ส่วนตัวผมจะชอบขับรถสไตล์ “ไหลยาว” เนียน ๆ มากกว่า เดินคันเร่งยาว ๆ ไม่ค่อยถนัดในการกระชาก จึงต้องทำเครื่องให้มีกำลังมาก รถก็คงไม่ทำอะไรเพิ่ม เหลือแต่ “คน” ที่ต้องพัฒนาขึ้นไปอีก ท้ายสุดขอขอบคุณทุกท่าน ทุกฝ่าย ที่มีส่วนร่วมในการทำรถคันนี้ขึ้นมาครับ…
- อินเตอร์คูลเลอร์ TOMEI จัดมาให้ ย้ายมาอยู่ด้านบนติดกับหม้อน้ำของ KOYORAD (แผงแอร์รื้อออกไปแล้ว) ตำแหน่งนี้จะไม่ต้องเดินท่ออากาศไกล ก็มีผลทำให้ Response ของเทอร์โบเร็วขึ้นอีกเยอะ
Editor Comment
สิ่งที่ประทับใจอันดับแรก ก็คงจะเป็นเรื่องของตัวรถ ที่กล้าเอามาทำเต็มชุดอย่างนี้ มีทั้งความสวยงาม เรียบร้อย ชุดพาร์ทเจ้าของกับทีมงาน K45 ก็ช่วยกันสร้าง ออกแบบใหม่ เป็นสไตล์ของตัวเอง ผมก็คิดว่าคนไทยฝีมือไม่เบาเหมือนกัน เครื่องยนต์ลงทุนสูงในตอนแรก กำลังอาจจะรุนแรงไปบ้างในขั้นเริ่มต้น แต่ถ้าบำรุงรักษาดี ๆ เรียนรู้กับมัน ก็จะสามารถไปต่อได้อีกไกล โดยไม่ต้องรื้อมาทำใหม่ ผมคิดว่าของแพงมันก็ดีแน่ ไม่เถียง มอเตอร์สปอร์ตไม่มีของถูก แต่ใครจะใช้ให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด ก็จะดีที่สุด ก็ต้องให้โอกาส และติดตามกันต่อไป ว่าผลงานของ “คนนี้” และ “คันนี้” จะไปได้ไกลขนาดไหน ท้ายสุดก็ขอขอบคุณเจ้าของรถ ที่ให้โอกาส และอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำครับ…
X-TRA ORDINARY
คำว่า “เซอร์กิต” ไม่ได้แปลว่าสนามแข่งรถอย่างเดียว จริง ๆ มันแปลว่า “วงจร” หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับวงจรต่าง ๆ เช่น ในสนามเซอร์กิต จะเป็นสนามปิด รถจะวิ่งวนไปมาในสนามเป็นรอบ ๆ แต่ที่น่ารู้กว่านั้น คือ “ดริฟต์” คำนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรถแม้แต่น้อย เพราะมันแปลว่า “เลื่อนลอย” เฉย ๆ แต่ที่เป็นสแลงเรียกกัน สันนิษฐานเอาว่า เวลาดริฟต์รถ ตัวรถจะขวางลำมา ไถลมาเรื่อย ๆ เหมือนกับลอยมา อะไรทำนองนั้นมากกว่า…
- สปอยเลอร์หลังออกแบบเอง ฝาท้ายคาร์บอน หุ้มสติกเกอร์ตามสมัยนิยม เห็นเป็นเส้นอะลูมิเนียม เอาไว้ดามอะคริลิกกันกระพือ
- ไฟท้าย NISMO LED ท่อไอเสีย HKS ไทเทเนียมทั้งชุด
- เบาะ RECARO RS-G เข็มขัด WILLANS คอพวงมาลัย WORKSBELL โรลบาร์ K45