Special Scoop : เส้นทางสู่เอฟวันของแซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค

แซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค  ลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ เกิดเมื่อวันที่ 11  เมษายน  2538 เกิดที่จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากธุรกิจของคุณพ่อ คุณมาร์ติน สตูวิคเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีในจังหวัดระยอง  ครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง แซนดี้เริ่มต้นเกี่ยวข้องกับการขับรถเมื่ออายุเพียง  4 ขวบ จากการบอกเล่าของเพื่อนที่เนิร์สเซอรี เกี่ยวกับการเล่นโกคาร์ทที่พัทยา   ทำให้แซนดี้สนใจและไม่นานครอบครัวก็พาแซนดี้ไปที่สนามแข่งนั้น   โดยเริ่มจากรถโกคาร์ทคันเล็กๆ  และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสนามแข่งทุกอาทิตย์ พออายุได้ 6 ขวบมีโอกาสได้ลองแข่งขันครั้งแรกก็คว้าที่ 3 มาครองอย่างไม่คาดคิด   หลังจากนั้นชีวิตของแซนดี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากความเร็วและมี ไมเคิล ชูว์มัคเกอร์เป็นไอดอลในวัยเด็ก พร้อมกับความฝันแบบเด็กๆที่อยากจะไปแข่งเอฟวันแบบ ชูว์มัคเกอร์ให้ได้

แซนดี้แข่งขันในเมืองไทยคว้าถ้วยรางวัลมาครองมากมาย เมื่อแซนดี้อายุได้ 13 ปี เขาได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน   the Asian Karting Championship (เอเชี่ยนคาร์ทติ้งแชมป์เปี้ยนชิพ) และนั่นคือจุดเปลี่ยนให้แซนดี้ขยับขึ้นสู่ระดับฟอร์มูล่าอย่างจริงจัง   เมื่อย่างเข้า 15 ปี แซนดี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันเอเชี่ยนฟอร์มูล่าเรโนลด์  (Asian Formula Renault 2010) โดยมีโค้ชชาวฝรั่งเศส ฟิลิป เดคองเบ้ (Philippe Descombes) ซึ่งเป็นอดีตแชมป์ F3 เป็นผู้จัดการทีมเอเชียเรสซิงทีม (Asia Racing Team) และเป็นครูฝึกให้กับแซนดี้ ในการแข่งขันดังกล่าว แซนดี้ถือเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียง 15 ปี  และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน แซนดี้สามารถคว้าแชมป์ Asian Formula Renault 2010 มาครอง โดยเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์นี้ได้สำเร็จ และนอกจากนี้ยังเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดในทำเนียบแชมป์อีกด้วย

ภายหลังที่ได้แชมป์ แซนดี้ ได้รับการทาบทามจากหลายทีมทั่วโลกให้เข้าร่วมทีม อาทิ ทีมจากอเมริกา ออสเตรเลีย และ ยุโรป สุดท้ายเขาตัดสินใจเข้าแข่งขันใน ฟอร์มูล่าเรโนลด์ ยูโรคัพ 2011 ซึ่งการแข่งขันระดับนานาชาติที่จัดขึ้นในยุโรป โดยแซนดี้ถือเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าร่วมในซีรีส์ดังกล่าว  เส้นทางก็มิได้ง่ายดายนักสำหรับเด็กไทยที่ต้องปรับตัวในทุกๆด้าน  ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศอันหนาวเย็น ที่ไม่คุ้นเคย เครื่องยนต์ที่มีกำลังแรงขึ้นเพราะเป็นระดับมืออาชีพ สนามแข่งในยุโรปที่ไม่เคยได้มีโอกาสฝึกซ้อมมาก่อน ทำให้นักขับไทยเราปรับตัวเยอะมาก และเสียเปรียบนักขับชาวยุโรปที่คุ้นเคยกับสนามมากกว่า  สิ้นสุดฤดูกาลเขาคว้า อันดับที่ 28 ของครอง

ในปี 2012 เขามุ่งมั่นในการแข่ง ฟอร์มูล่า เรโนลด์นอร์ธเทิร์น ยูโรเปี้ยนคัพ (Formula Renault Northern European Cup)  เขาได้เข้ารับการฝึกความพร้อมของทั้งร่างกายและจิตใจ จาก เฮลมุท ฟิงค์ (Helmut Fink) เทรนเนอร์ส่วนตัวชื่อดังที่เคยฝึกบรรดานักขับ F1 หลายๆคนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น S. Vettel, N. Heidfeld, C. Fisichella, HH. Frentzen, F. Massa,  S. Buemi และ B. Senna เป็นต้น  นอกจากนี้ แซนดี้ยังมีโอกาสร่วมงานกับอดีตนักขับทดสอบ F1 ซึ่งปัจจุบันเป็นนักขับ LMP1 อย่าง นีล จานี  มาเป็นโค้ชส่วนตัว เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของแซนดี้ให้แข็งแกร่งมากขึ้น สิ้นสุดฤดูกาลไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 14  เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าจากปี 2011อย่างชัดเจน

ในปี 2013 แซนดี้ลงชิงชัยในการแข่งขัน European Formula 3 open ที่ยุโรป  ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่น่าภาคภูมิใจแก่ประเทศไทย  แซนดี้ขึ้นนำเป็นอันดับ1 ในตารางคะแนนรวมตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเปิดฤดูกาล การแข่งทั้งหมดมี 16 เรส  แซนดี้ชนะที่1ถึง 3ครั้ง ขึ้นโพเดียมทั้งหมด 10 ครั้ง คว้าโพลโพซิชั่น 3 ครั้ง ทำความเร็วต่อรอบสูงสุดในสนาม 3 ครั้ง  และไม่เคยได้อันดับต่ำกว่าที่ 5 เลยแม้แต่ครั้งเดียว  ทว่ากฏกติกาของการแข่งขันก็ดูจะไม่เป็นธรรมสำหรับนักซิ่งไทยสักเท่าไร ภายใต้กฏที่ว่า การแข่งขันทั้งหมดมี 16 เรส จะทำการนับคะแนนเพียง 14 เรส เท่านั้น นั่นคือนักขับทุกคนจะถูกหัก 2 เรสที่ได้คะแนนน้อยที่สุดออกไป   แซนดี้ที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ อันดับที่5 จึงถูกหักไป รวม 2 เรส ไปถึง20 คะแนน  ส่วนคู่ปรับตลอดฤดูกาลอย่าง เอ็ด โจนส์ นักขับจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้น ไม่มาลงแข่ง 2 เรส จึงเสมือนไม่ได้ถูกหักคะแนนเลยแต่อย่างใด  ในขณะที่เอ็ด โจนส์แข่ง บางเรสไม่จบการแข่งขัน บางเรสได้อันดับต่ำกว่าที่5 ขณะเดียวกันบางเสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญในวงการแข่งรถในประเทศไทย ยังกล่าวถึงการตัดคะแนนดังกล่าวว่า การไม่ได้ไปแข่งน่าจะถือว่าไม่มีคะแนน

กติกาการตัดคะแนนน่าจะดูจากเรสที่นักขับลงแข่งเป็นหลัก แต่กฎกติกาดังกล่าว ถูกร่างไว้ตั้งแต่ต้น เพียงแค่ว่านับคะแนน 14 เรสจากทั้งหมด 16 เรส ถือเป็นอันสิ้นสุด การประท้วงผลการตัดสินจึงไม่มีผลแต่อย่างใด แซนดี้จึงอยู่ในตำแหน่งรองแชมป์ไปโดยปริยาย แทนที่จะเป็นแชมป์

แต่แซนดี้ยังมีอนาคตอีกไกล เส้นทางความฝันในวัยเด็กของเขาที่อยากจะไปสู่เอฟวัน ดูมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อ แซนดี้ได้มีโอกาสไปทดสอบ GP2 testing ปลายปี 2013 ที่อะบูดาบี ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับของทีม ที่พร้อมอ้าแขนให้แซนดี้เข้าร่วมสังกัด  หากมีโอกาสขึ้นไปสู่ GP2 ซึ่งเป็นซีรีส์รองลงมาจาก เอฟวัน แซนดี้ก็มีโอกาสที่ถูกแมวมองดึงตัวขึ้นไปสู่เอฟวัน  ทว่า เงินสนับสนุนในการขึ้นสู่ระดับ GP2 นั้น เรียกได้ว่าต้องใช้จำนวนเงินมหาศาล และเกินกำลังที่จะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปได้ในปี 2014  แซนดี้จึงวางแผนอย่างรอบคอบที่จะยังอยู่ใน F3 อีกหนึ่งปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในสนามซึ่งก็เป็นสนามระดับเอฟวันเช่นกัน เตรียมความพร้อมในการขยับขึ้น GP2 ในปี 2015 ให้จงได้

ในฐานะตัวแทนจากประเทศไทย (Race for Thailand) แซนดี้ซึ่งได้รับการสนันสนุน จาก สิงห์คอร์ปอร์เรชั่น, เดอะพิซซ่าคอมปะนี, ดาคอน อินสเป็คชั่น เซอร์วิสเซส, ราชยานยนต์สมาคมฯ และการกีฬาแห่งประเทศไทย  แซนดี้รู้สึกขอบคุณการสนับสนุนจากทั้งสปอนเซอร์ และ กำลังใจจากแฟนๆชาวไทยเป็นอย่างมากที่ทำให้แซนดี้มีวันนี้ เขาตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด เพื่อมุ่งสู่ระดับฟอร์มูล่าวันซึ่งเป็นความฝันสูงสุดของเขา

ความฝันของเด็กไทยที่จะไปสู่เอฟวัน อาจจะไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าคนไทยและในหลายๆภาคส่วนร่วมด้วยช่วยกันเป็นแรกผลักดัน  ร่วมเป็นกำลังใจให้แซนดี้ในทุกๆการแข่งขันได้ที่ IG: sandystuvik , Facebook : Sandy Stuvik