- มาครบถ้วน พร้อมชุดพาร์ทจากโรงงานของแท้ แต่มาเสริมพาร์ทที่ชายล่างด้านหลัง กับสปอยเลอร์หลัง เป็นของ ADThree ทั้งคู่ เด่นกับล้อ WATANABE R-TYPE เบิกใหม่ ครบชุด มาพร้อมนอตและฝาจุ๊บลม ล้อหลังกว้างถึง 9.5 นิ้ว ออฟเซตสุดตาราง -21
เรื่อง: อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ: พงศกร พรามแม่กลอง
SKYLINE ยังมีอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่ก็คือ R30 Series หรือนิยามชื่อว่า “Newman Skyline” มาจาก “Paul Newman” ดาราและนักแข่งฝีมือฉกาจรุ่นเดอะของอเมริกา (ล่วงลับไปเมื่อปี 2007 ที่บ้านของเขา ในเมือง Connecticut ด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 83 ปี) ที่เป็น “พรีเซ็นเตอร์” ให้กับรุ่นนี้ ซึ่งออกมาโชว์โฉมตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 1981 ในเวอร์ชั่น “กันชนเล็ก” ก่อนจะมาเป็น “ไมเนอร์เชนจ์ กันชนใหญ่” อีกสองปีให้หลัง แต่เรื่องราวใน “บ้านเรา” ขอย้อนข้อมูลเล็กน้อย รุ่นนี้จะเข้ามาจำหน่ายในปี 1984 หรือ พ.ศ. 2527 โดยเป็นรุ่นกันชนเล็ก มีใบปัดน้ำฝนหลัง ไฟท้ายแบบไม่โดนัท ออกมาก่อน (มาพร้อมกับ SUNNY B11 กันชนเล็กรุ่นแรก) รุ่นแรกเข้ามา ราคา “399,000 บาท” ส่วนรุ่นกันชนใหญ่ ออกมาทีหลัง ราคา “425,000 บาท” จัดจำหน่ายโดย “สยามกลการ” เจ้าเดิม…
- ที่มี “ความคมสัน” เด่นด้วย “หน้ากากเหล็ก” เป็น “ไอดอล” ของยุค 80 แต่ก็มีข้อระวัง เพราะมันจะ “บังทางลม” จากฝากระโปรงที่งุ้มลงมา ทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนต่ำลงกว่าเดิม ก็ต้อง “มีตัวช่วยดีๆ” พัดลมต้องแรงขึ้น หม้อน้ำและแผงแอร์ต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้งานในเมือง
Replica to 2000 RS TURBO
สำหรับโฉม “หน้าเหยี่ยว” ที่บ้านเราเรียก หรือ Tekkamen ที่แปลว่า “หน้ากากเหล็ก” ของญี่ปุ่น หรือ Iron Mask ในภาษาฝรั่ง ส่วนชื่อทางการค้าก็คือ Newman Skyline RS ที่ถือว่าเป็นสุดยอดในซีรีส์ R30 ซึ่งเครื่อง FJ20ET ในรุ่น RS TURBO รหัส KDR30 (สองประตู) และ DR30 (สี่ประตู) ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ที่มี “อินเตอร์คูลเลอร์” มีกำลังถึง “205 PS” ถือว่าเป็นเครื่องที่มี “แรงม้าต่อความจุ” มากที่สุดในบรรดารถญี่ปุ่นทั้งหมด ก็ต้องขอบคุณ “Mr. Shinichiro Sakurai” ผู้ที่สร้างและพัฒนาสมรรถนะ PRINCE/NISSAN SKYLINE มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนในบ้านเราก็อย่าหวังอะไรเกินกว่ารุ่น 2.0 GT-X รหัส BJR30 ที่เปิดฝากระโปรงมาแล้ว “อดผิดหวังไม่ได้” เมื่อไม่พบกับ FJ20 ฝาสีแดงแฝงอยู่ภายใต้ฝากระโปรง พบเห็นเพียงเครื่อง L20B ที่หน้าตาเหมือนกับ BLUEBIRD SSS P910 (ซึ่งตลาดในญี่ปุ่นจะไม่มีเครื่องตัวนี้ใน R30 Series มีเฉพาะ Export Model ส่งออกจากญี่ปุ่นเท่านั้น) ถ้าจะให้ประเมินจากสิ่งแวดล้อม เหตุผลที่ทางสยามกลการ เลือกเครื่องแบบ “เบสิก” มา ประการแรก จะได้ทำราคารถให้อยู่ในระดับที่พอจะ “ขายได้” เพื่อเป็น “รุ่นสร้างชื่อในตลาดเมืองไทย” โดยยอมไม่เหลือกำไร (ตอนนั้นราคา 425,000 บาท ก็แพงอยู่นะครับ สำหรับรถขนาดกลาง) ประการที่สอง จริงๆ แล้ว เครื่อง L20 6 สูบ หัวฉีด (รหัสตัวถัง HR30) ก็มี แต่กลัวคนจะ “เมินหนี” เพราะคิดว่าเครื่อง 6 สูบ กินน้ำมันกว่า 4 สูบ อีกประการ “ช่างไทยสมัยนั้นไม่คุ้นกับหัวฉีดไฟฟ้า” ก็เลยตัดปัญหาเหลือ L20B ง่ายๆ พอ แต่จะแคร์อะไร เมื่อคนลงทุนซื้อรถรุ่นนี้ได้ ก็มักจะ “ฝีตีนโหด” ต่างก็ย่อม “หาของแรง” มา “รอเสียบ” กันตั้งแต่ออกห้างมาได้พักเดียว…
- คันนี้ได้ของมาจากรุ่น DOHC TURBO RS ส่วนรุ่น Top จริงๆ คือ RS-X ตัว X หมายถึง X-TRA ก็จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น เช่น เบาะปรับดันหลัง, กระจกไฟฟ้า, มีเกียร์ออโต้ให้เลือก (ปกติรุ่น RS จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา), เครื่องเสียงเป็นระบบดิจิตอล ฯลฯ ไฟท้ายพื้นในสีเทา ก็ตรงรุ่น RS โฉม Tekkamen เช่นเดียวกัน
Reunion of R30 Life
สำหรับเรื่องราวของรถคันนี้ “But X-CITE” มีความชอบจากการชักนำของเพื่อนรัก Ton Racing Shop ที่มีใจรักชอบรถรุ่นนี้มานาน ด้วยความต้องการส่วนตัว “อยากขับรถเทอร์โบ” เพียงแค่นั้น ไม่ต้องการแรงมาก ขอ “ฟีลลิ่งสนุก” สักหน่อยแล้วกัน จึงมาลงตัวที่การร่วมกัน “ปั้น” รถรุ่นนี้ขึ้นมา “เป็นคันที่สองของชีวิต” ซึ่งคันแรกก็ได้ขายไปด้วยเหตุจำเป็น พอมีจังหวะก็เลยปั้นคันนี้ขึ้นมาทดแทนให้สมบูรณ์แบบกว่าคันแรก ซึ่งเป็นการ “ตอบสนองทางใจ” ไม่ใช่ “การแข่งขันประชันกับใคร” และมีความคิดเห็นว่า “รถบ้านเรา 4 ประตู ก็สามารถทำให้สวย และใช้งานได้” ซึ่งในญี่ปุ่นเอง ก็จะเริ่มหันมาเล่นรุ่น 2000 RS TURBO 4 ประตู กันมากขึ้น เพราะสมัยก่อนคนจะฮิต 2 ประตู กันเกลื่อน พอถึงตอนนี้ 4 ประตู เลยกลายเป็น Rare Item ไปเสียแล้ว แล้วก็มีรุ่น Hatchback (รหัส RHR30) อันนี้ก็หายากขึ้นไปอีก ซึ่งในญี่ปุ่นเองก็มีน้อย เพราะ “ประหลาด” และเป็น Hatchback รุ่นเดียวที่ SKYLINE ได้ผลิตขึ้น แต่ช่างเถิด จะเป็นตัวถังแบบไหน “ขอให้เข้าใจในการทำ” ก็พอครับ…
But X-CITE Special Thanks to :
- Ton Racing Shop 08-6789-2419 Facebook : Ton X Cite Club,
- อู่สีพี่บี แจ้งวัฒนะ 10 ทำสีและงานตัวถัง 08-1933-9148
X-TRA Ordinary
ตอนที่ SKYLINE 2.0 GT-X เข้ามาจำหน่าย ทางนิตยสารกรังด์ปรีซ์ ฉบับในปี พ.ศ. 2527 (ขออภัยจำเลขเล่มไม่ได้) ได้เชิญ “Mr. J. Kojimoto” ซึ่งเป็นแชมป์แรลลี่ฝีมือยอดเยี่ยม ใช้รถ NISSAN แข่งมาโดยตลอด จนมาถึง SKYLINE DR30 ทาง “กรังด์ปรีซ์” ก็เลยเชิญให้ “โคจิโมโตซัง” ที่มาเมืองไทยในขณะนั้น ได้ลอง “ขยี้” ทดสอบกันหลากหลายรูปแบบ เช่น ทางเรียบ ทางฝุ่น สลาลอม เรียกว่าจัดกันทุกรูปแบบจริงๆ ก็ถือว่าเป็น First Impression สำหรับรถที่ขายในบ้านเรา…
- โลโก RS ทรงโล่ เหมือนจะเบิกใหม่ แต่จริงๆ แล้ว “เติมสี” ขึ้นมา และปรับสภาพจนเหมือนใหม่ นับว่าเป็นความชอบและใส่ใจอีกประการ
Tech Spec
ภายนอก
ชุดพาร์ท : SKYLINE (DR30) 2000 DOHC RS TURBO + ADThree Replica by LORKODE
สปอยเลอร์หน้า : Jenesis Replica by LORKODE
การ์ดกระจกมองข้าง : Jenesis Replica by LORKODE
โป่งล้อ : UDS Fiber
ภายใน
อุปกรณ์ทั้งหมด : SKYLINE (DR30) 2000 DOHC RS TURBO
พวงมาลัย : NARDI Classic
วัดรอบ : AUTO METER Sport Comp II
วัดบูสต์ : HKS
หัวเกียร์ : NISMO
แป้นเหยียบ : RAZO GT
เทอร์โบไทเมอร์ : HKS Type 0
เครื่องยนต์
รุ่น : RB20DET from SKYLINE R32 GT-S
กรองอากาศ : HKS
โบล์ว ออฟ วาล์ว : HKS Sequential RB20DET Kit
ฝาเติมน้ำมันเครื่อง : NISMO
ช่วงล่าง
โช้คอัพ : TEIN HA
ค้ำโช้คอัพหน้า : SPATS for SKYLINE R30
ล้อ : WATANABE R-TYPE ขนาด 8.5 x 16 ออฟเซต -6 และ ขนาด 9.5 x 16 นิ้ว ออฟเซต -21
ยาง :YOKOHAMA NEOVA AD08 ขนาด 205/50R16 และ 225/50R16
- ภายในตัวบ้านเราจะเป็นสีเทา ถ้าเป็นตัวนอกจะมีทั้ง สีเทา, สีดำ และสีน้ำตาล แต่ถ้ายอดนิยม ต้องเป็นสีดำ วัดรอบติดรถรุ่น RS ทั้งหมด วัดรอบจะถึง 9,000 rpm มุมขวาล่าง จะเป็น “พลุส่องแสง” ตรงรุ่นอีกเช่นกัน มาพร้อมขายึดครบชุด ดูดีๆ มี “ไอ้ตัวเล็ก” สองคันอยู่ในรถด้วย
- รุ่น RS (ไม่ X) กับรุ่น GT-E ใช้เบาะทรงและผ้าลายนี้ ยังไม่มีฟังก์ชันปรับดันหลัง พนักพิงมีพลาสติกครอบด้านหลังให้แข็งแรง ทรวดทรงเบาะดูบางก็จริง แต่นั่งดูแล้ว แน่นหนา แข็งแรง กระชับกว่าเบาะติดรถที่ขายในบ้านเราเยอะเลย
- ขอเพียง “เสียงเทอร์โบและ Blow Off ก็พอ” ไม่ได้เน้นแรงมาก มาลงตัวกับ RB20DET แรงนุ่มๆ วางโดย Jub Garage ซึ่งมีการ “เดินท่อน้ำมันเบนซินใหม่” ให้ใหญ่กว่าเดิม เพราะเครื่องเดิมเป็น “คาร์บู” แรงม้าน้อย ท่อน้ำมันติดรถมาจึงมีขนาดเล็ก ประมาณ 2 หุน พอมาใส่เครื่องมีหอย ก็เลยต้องทำใหม่ทั้งหมด ขยายเป็น “2 หุนครึ่ง” หรือขนาด 6 A/N (ย่อมาจาก Army Navy เป็นหน่วยการวัดขนาดความโตของท่อ) เพื่อให้น้ำมันส่งได้อย่างพอเพียง