สำหรับผู้ใช้งานรถยอดนิยมในปัจจุบันอย่าง “Eco Car” เมื่อครบระยะเข้าศูนย์ ช่างประจำศูนย์จะยกกระป๋องน้ำมันเครื่องขนาด 4 ลิตร ข้างกระป๋องเขียนว่า 0W-20 มาเปลี่ยนถ่ายให้ เมื่อสอบถาม พี่เขาก็ตอบว่า “มันเป็นน้ำมันตาม Spec ของรถครับ”
แล้วมันไม่ใสไปหรือครับ? แล้วเครื่องจะมีแรงหรือครับ?
หลังจากหาข้อมูลแล้ว ความจริงก็คือ… ปัจจุบัน เทคโนโลยีในการผลิตเครื่องยนต์รถนั้น จะเน้นให้สภาพพื้นผิวภายในเครื่องยนต์มีความ “เรียบ!!!” มากกว่าเดิม ถึงขนาดใช้เครื่องจักรที่มีความละเอียดสูงในการยิงพื้นผิวเครื่องให้เรียบที่สุด ซึ่งแม้ถ้าหากมองด้วยตาเปล่า ความเรียบของเครื่องยนต์ยุคที่แล้วกับยุคนี้อาจจะไม่ต่างกัน แต่ถ้าซูมเข้าไปดูในหลักไมโครแล้ว ความเรียบของเครื่องยนต์ในยุคนี้มีความเรียบสม่ำเสมอมากกว่าเดิมมาก ดังนั้นแล้ว ถามว่าจะเรียบกว่าไปทำไม?
ตอบคือ เมื่อเครื่องยนต์มีสภาพความเรียบมากกว่า การหมุนเวียนของน้ำมันเครื่องก็จะสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้ใช้แรงของเครื่องยนต์น้อยลง จากเดิมที่ต้องใช้น้ำมันเครื่องที่มีความข้น ก็เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดให้ต่ำลง อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็จะลดลง
เพราะฉนั้น เมื่อการพัฒนารถยนต์ในหมวดนี้มีโจทย์ตั้งอยู่ที่คำว่า ECO การใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับการใช้งานของเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็ก กินน้ำมันน้อย อ้างอิงการใช้งานในเมือง และการใช้งานปกติเป็นหลัก เครื่องยนต์ขนาด 1200 cc. ในปัจจุบัน จึงกำหนดสเปคน้ำมันเครื่อง Multi Grade อยู่ที่ 0W-20
แล้วถ้าไม่พอใจกับ 0W-20 แล้วเปลี่ยนเป็น 5W-30 เพื่อให้กำลังเครื่องยนต์มากขึ้น จะสมควรหรือไม่?
ตอบคือ การเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่องมาเป็น 5w-30 จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น กินเชื้อเพลิงมากขึ้น อายุของเครื่องยนต์จะสั้นลง ในกรณีที่เครื่องยนต์เป็นเครื่องยนต์ใหม่ แต่ถ้าเครื่องยนต์ใช้มาเป็นเวลานานจนต้องพึ่งน้ำมันที่หนืดกว่าเพื่อเพิ่มกำลังเครื่อง ถึงเวลานั้นจริงๆ จึงควรใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดกว่า Spec เดิมของมัน ซึ่งก็อาจจะ 5 ปี หรือเกิน 200,000 โล ตามแต่อุปนิสัยคนขับ และการดูแลรักษา
ปัจจุบัน รถยนต์ทั่วไปในท้องตลาดถูกออกแบบให้มีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กลง ยกตัวอย่างรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตัวท้อปจะมีขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ 3,000 cc เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบัน เหลืออยู่ที่ 2,000 – 2,400 cc เป็นต้น
McXO รายงาน