ฝันที่เป็นจริง กับนวัตกรรมสปอร์ตคาร์ไร้เทียมทาน
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : พิศวัส พงศ์พุฒิโสภณ
ภาพประกอบอื่นๆ : www.google.com/search
เรามาไกลแล้ว และถึง “จุดสุดยอด” ของค่าย HONDA แล้ว ด้วย “NSX” ที่เรียกขานกันว่าเป็น Japanese Exotic Car ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยรูปทรงที่ไม่มีคำว่า “ล้าสมัย” จำนวนการผลิตไม่มากนัก ด้วยคุณสมบัติที่ HONDA ประเคนเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าไปให้ NSX แม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปี แต่ในตอนนั้นถือว่า “ล้ำยุค” มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ตัวถังอะลูมิเนียม” เครื่องยนต์ V6 DOHC VTEC แบบไม่ง้อ “ระบบอัดอากาศ” แถม “วางกลางลำ” ในรูปแบบของ Exotic Car จากฝั่งยุโรปสมัยนั้น เช่น FERRARI 348 TB, PORSCHE 911 แบบไม่กลัวเกรง แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นเหนือกว่ารถสปอร์ตฝั่งยุโรป (ในยุคนั้น) คือ “แรงแบบใช้งานทุกวันได้” ขับสบาย ไม่มีปัญหาจุกจิก เป็นมิตรกับทุกคน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ “ญี่ปุ่น” ทำได้ดี และยังมีเวอร์ชันร้อนแรง อย่าง “NSX-R” มาโชว์โฉมให้ดูทั้ง NA1 และ NA2 ซึ่งเป็นรถที่มีอยู่ในประเทศไทยจริงๆ พร้อมรายละเอียดสไตล์ “พี สี่ภาค” เช่นเคย อ่านตรงนี้จบ ไปอ่านตรงโน้นต่อได้เลย…
Our Dreams Come True
History
ปี 1984 ทาง HONDA ได้สร้าง Concept car ขึ้นมารุ่นหนึ่ง เป็นการร่วมมือกันระหว่าง HONDA กับ Pininfarina นักออกแบบรถยนต์ระดับโลกจาก “อิตาลี” คือ HONDA HP-X มาจาก Honda Pininfarina-Experimental ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเหล่า Exotic car จากค่ายอิตาลีและเยอรมันโดยเฉพาะ ขณะนั้นใช้เครื่อง C20A V6 วางกลางลำ “Mid-Mount” หรือ “Mid-Ship” ก็แล้วแต่จะเรียก หลังจากนั้น HONDA ก็ได้สานต่อ Project นี้ โดยแกนนำ คือ “Mr. Masahito Nakano” Chief Designer และ “Mr. Shigeru Uehara” Executive Chief Engineer ของ HONDA สร้างรถสปอร์ตให้เป็นผลสำเร็จตามความฝัน โดยให้ชื่อว่า “NS-X” หรือ “New Sportcar-Experimental” เครื่องยนต์ C20A แน่นอนว่ากำลังไม่พอที่จะไปต่อสู้กับคู่แข่ง เลยต้องพัฒนาเครื่องยนต์ C30A ที่ขยายความจุเป็น “3.0 ลิตร” พร้อม DOHC VTEC ที่ใช้เทคโนโลยีมาจากเครื่อง McLaren F-1 ในตำนาน ที่รุนแรงด้วยเครื่อง 1.5 ลิตร V6 Twin Turbo ที่มีความแรงกว่า “1,000 แรงม้า” เชียวนะ…
- ตัวต้นแบบ HP-X ที่ดูแล้วไม่น่าจะมาเป็นตัวขายจริงได้เลย
การออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ก็ได้รับ “มโน” มาจากเครื่องบิน F16 Fighting Falcon USAF ภายนอกก็ออกแบบมาให้ “Low & Wide” คือ “แบน กว้าง เตี้ย” เป็นรูปแบบของรถแข่งโดยแท้จริง จะสังเกตได้ว่า ท้ายของ NS-X นั้นค่อนข้างจะยาวหน่อย เพราะการเถิบห้องโดยสารไปด้านหน้า หรือ “Cab-Forward” เจตนาจะวางเครื่องให้ “กลางลำ” พอดี การออกแบบทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็มาจากเทคโนโลยี F1 ที่ทีม HONDA เป็นแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในยุคนั้น จากฝีมือการขับของ “Alain Prost” (อาแล็ง พรอสต์) ชาวฝรั่งเศส และ “Ayrton Senna” (ไอร์ตัน หรือ อาอีร์ตง เซนนา) ชาวบราซิล (เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ในปี 1994 การแข่ง F1 รายการ San Marino Grand prix สนาม Imola ซึ่งตอนนั้น Senna อยู่ทีม WILLIAMS RENAULT ที่แฟน F1 ยังจำฝันร้าย “เข้ากำแพง” หลุดโค้งที่ความเร็วกว่า 200 km/h ได้ไม่ลืม) ซึ่ง Senna มีบทบาทมาก เป็นผู้ที่ขับทดสอบและร่วมพัฒนา NS-X เรียกว่าเป็น Presenter เลยก็ว่าได้ Senna ได้ทดสอบ NS-X Prototype ในสนาม SUZUKA Circuit ตามข้อมูลที่พบ บอกว่าในครั้งแรกความแข็งแรงของตัวถังยังไม่พอ ทำให้ช่วงล่างทำงานไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร จึงต้องมีการพัฒนาใหม่อีกครั้ง และนำไปทดสอบในสนาม Nurburgring ซึ่งได้ชื่อว่า “โหด” และถูกพัฒนาจนออกมาได้สมบูรณ์สูงสุด ดั่งสโลแกนที่ว่า “Our Dreams Come True” หรือ “ฝันของพวกเราเป็นจริง” ที่จะสร้างสุดยอดรถสปอร์ตออกมาในระดับโลกอย่างสมบูรณ์แบบ…
- ACURA/HONDA NS-X Prototype ตัวโชว์ “เรียกแขก” ก่อนจะขายจริง
- ตัว Prototype ที่ “ไอร์ตัน เซนน่า” ขับทดสอบครั้งแรก และมีการ R&D ต่อเนื่องจนสมบูรณ์แบบ
- สุดยอดโครงสร้าง Aluminum Monocoque ที่ HONDA ได้ตั้งฐานการทดสอบกันที่ Mullen Bach Village ซึ่งใกล้กับสนาม Nurburgring ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดจนออกมาสมบูรณ์แบบ
- นี่แหละครับ “อาร์อีตง เซนน่า” นักขับ F1 ชื่อดัง ทีม HONDA ที่มีส่วนในการ R&D ของ NSX จริงๆ
All Aluminum Monocoque Body
ปรากฏการณ์ของรถญี่ปุ่นที่โลกตะลึง
โครงสร้างตัวถังของ NS-X นั้น “สุดล้ำยุค” ที่เป็น “อะลูมิเนียม” กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่จำหน่ายในท้องตลาด แน่นอนว่า คุณสมบัติเด่นในด้าน “น้ำหนักเบา” และ “ปลอดสนิม” เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของเทคโนโลยี HONDA ในยุคนั้น ทางโรงงานจะต้อง “มีเครื่องมือเชื่อมอะลูมิเนียม” (Special Aluminum Welding Machine) ที่พิเศษกว่ารถทั่วไป ออกแบบโครงสร้างจำพวก “Sub Frame” มีขนาดใหญ่พิเศษ สิ่งที่ได้เพิ่มมากขึ้น คือ “ความแข็งแรงสูง” ซึ่งตัวถังเปล่า “White Body” หมายถึง ตัวถังที่เป็นเหล็กเปลือยๆ ไม่ผ่านขั้นตอนการทำสี เป็นเหล็กเงาๆ ขาวๆ น่ะ มีน้ำหนักเพียง “210 กก.” เท่านั้น แถมช่วงล่าง ปีกนกต่างๆ ก็เป็นอะลูมิเนียมอีกต่างหาก ทำให้การตอบสนองช่วงล่างนั้นรวดเร็ว มี “น้ำหนักใต้สปริง” (Unsprung Weight) ต่ำ และไม่เป็นสนิม ทำให้ NS-X เป็นรถที่มี Handling ที่สุดยอด โดดเด่นจากพรรคพวกเพื่อนฝูงในระดับที่ทั่วโลกยอมรับ ส่วน “ฐานการผลิต” จะอยู่ที่ Takanezawa R&D Plant, Tochigi, Japan ตั้งแต่ปี 1990-2004 ครับ…
- มาแล้วครับ ตัวที่ขายจริง เวอร์ชั่นแรกสีแดง ถือว่าเป็น Signature ของรุ่นนี้ครับ
HONDA NSX “NA1” Series
สู่ท้องตลาด
1990-1994
สำหรับ NS-X รุ่นแรก ในรหัส E-NA1 ตัวที่เป็น Production Car สมบูรณ์แบบ เปิดตัวสู่สาธารณชน (Official Launch) ครั้งแรกในโลก ณ Chicago Auto Show ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1989โดยใช้ชื่อว่า “ACURA NSX” ซึ่ง HONDA ได้ตั้งแบรนด์ ACURA ขึ้นมาใช้กับ NS-X เป็นรุ่นแรก เพื่อยกฐานเป็นรถระดับ Hi-End เน้นไปที่ตลาดอเมริกา (USDM) ส่วนในประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวในงาน Tokyo Auto Show เดือนตุลาคม และออกจำหน่ายจริงในเดือนสิงหาคม ปี 1990 ผ่านดีลเลอร์ในญี่ปุ่น คือ “HONDA VERNO” ซึ่งเปลี่ยนชื่อรุ่น จาก “NS-X” เป็น “NSX” ซึ่งสีที่เป็น Signature ของรถรุ่นนี้ก็คือ “Formula Red” โดยแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ “เกียร์ธรรมดา 5 สปีด” และ “เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด” ซึ่งรุ่นเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์ C30A จะมีแรงม้าสูงสุด “280 PS/7,300 rpm” แถมเป็น “คลัตช์ 2 แผ่น” จากโรงงานด้วยนะ ส่วนเกียร์ออโต้ แรงม้าจะน้อยกว่า เหลือเพียง “265 PS/6,800 rpm” แต่แรงบิดเท่ากัน “30.0 kg-m/5,400 rpm” ส่วนที่แตกต่างกันอีกอย่าง คือ “พวงมาลัยเพาเวอร์” รุ่นเกียร์ธรรมดา “ไม่มี” รุ่นเกียร์อัตโนมัติ “มี” เพื่อความสบาย ซึ่งหลายคนก็นิยม “ไม่มี” ดูจะขับมั่นใจกว่า เพราะ NSX หน้ามันเบาอยู่แล้ว ส่วนน้ำหนักรวม รุ่นเกียร์ธรรมดา อยู่ที่ “1,350 กก.” ถือว่า “เบา” นะครับ รถคันใหญ่พอสมควรนะ เพราะน้ำหนักรถสปอร์ตญี่ปุ่นระดับหัวแถวค่ายอื่นๆ ป้วนเปี้ยนแถวๆ “1,450-1,500 กก. กันทั้งนั้น…
- เป็นสปอร์ตระดับ Exotic car ที่จะไป “รบ” กับฝั่งยุโรปได้ ล้อหน้าและหลัง เส้นผ่านศูนย์กลาง “ต่างขนาด” เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้จริงๆ
แต่สิ่งที่ “แปลก” อันเป็นเอกลักษณ์ของ NSX ก็คือ “ล้อหน้าและหลังมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ไม่เท่ากัน” ล้อหน้า 15 นิ้ว ล้อหลัง 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55ZR15 และ 225/50ZR16 ตามลำดับ สันนิษฐานว่ามาจากการดีไซน์ด้านหน้ารถที่ “เตี้ยมาก” จึงใส่ล้อหน้าเล็ก เพื่อให้ซุ้มล้อไม่สูงเกินไป ส่วนล้อหลังก็เอาใหญ่หน่อย เพราะเป็นล้อขับเคลื่อนและรับน้ำหนักเครื่อง เรื่องนี้เซียน NSX รู้กันว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนล้อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่างไปจากเดิมได้” ระบบ Traction มันโคตรฉลาด พอ “รอบการหมุนของล้อผิดเพี้ยนไป” มันจะ “ตัดการทำงาน” ทันที รถจะเร่งไม่ออก ตอนหลังคนส่วนใหญ่ก็เลย “ยกเลิกระบบ Traction” ไป เพื่อตัดปัญหาเวลาเปลี่ยนล้อใหม่ให้ใหญ่ขึ้น และสิ่งที่เป็นข้อยืนหยัดในความเป็นรถสปอร์ตระดับ “Hi-End” ก็คือ “ราคา” รุ่นเกียร์ธรรมดา ซัดไป “8,003,000 เยน” !!! นี่คือราคาปี 1990 นะพี่น้อง ขนาด NISSAN SKYLINE GT-R ตัว BNR32 ที่ว่าแพงๆ ยังแค่ “4,510,000 เยน” เท่านั้น (FAIRLADY Z32 ยังถูกกว่า GT-R นะครับ) นี่แหละครับ ทำไมถึงกล้าตั้งราคาขนาดนี้ ด้วยสิ่งที่ “ไม่ธรรมดา” ของ NSX มันจึงเป็น “รถที่เลือกลูกค้า” ใครล่ะ จะกล้าซื้อรถญี่ปุ่นราคานี้ ??? ถ้าไม่ “เจ๋ง” และ “เห็นความสำคัญ” ของมันจริงๆ ส่วนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1993 ก็ได้เพิ่ม SRS Airbag ขึ้นมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนอีก 1 ปีถัดมา ก็ได้อัพเกรด “ขนาดล้อและยาง” ให้ “ใหญ่” ขึ้น เป็นขนาด “16 และ 17 นิ้ว” ลายล้อจะเป็น 7 ก้าน เหมือนของ CIVIC EK9 Type R แต่เป็น “สีเงิน” ใช้ยางขนาด 215/45ZR16 (ยางไซส์นี้ปัจจุบันหาโคตรยาก) และ 245/40ZR17 ตามลำดับไหล่…
- หุ่นหวือหวาอย่างนี้ ได้รับอิทธิพลจาก F16 ซึ่งตัวผมเองคิดว่า NSX จะออกรุ่นใหม่มา ก็ไม่น่าสวยไปกว่านี้อีกแล้ว
- ภายในออกแบบได้ สวย เนี้ยบ แต่ดูไม่ธรรมดาจริงๆ
- ขุมพลัง C30A ที่มี 280 PS (ม้าถูกตอน) จากโรงงานได้ ไม่ง้อหอย ซึ่งเด่นในด้านการตอบสนองที่ฉับไว ขับง่าย ไม่จุกจิก
NSX in Thailand
ในช่วงนั้น “บริษัท สาธรฮอนด้าคาร์ส” ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย HONDA เจ้าใหญ่ในยุคนั้น ได้นำ NSX เข้ามาจำหน่าย เปิดราคามา “4 ล้านกว่าบาท” !!! ไม่แน่ใจว่า “สี่ล้านสอง” หรือ “สี่ล้านหก” ผมจำได้ตอนวัยเด็ก ได้เห็น NSX ตัวเป็นๆ คันแรกในชีวิตวิ่งอยู่แถวๆ มักกะสัน เป็นรถสีแดง เลขทะเบียน “4444” ไอ้เราก็งงรถอะไรวะ ไม่เคยเห็น พ่อผมบอกว่า “คันนี้ราคาสี่ล้านกว่า” ไอ้เราก็อึ้งไป HONDA อะไรวะ โคตรแพงเลย แต่พอมองดูแล้วก็ “สมราคา” ตอนนั้นก็ชื่นชมในความ “งาม” ของมัน แสดงว่าคนที่ซื้อได้นี่จะต้อง “เหลือ” และ “เล่นรถ” แบบเข้าเส้น ถึงกล้าซื้อรถญี่ปุ่นราคานี้ได้ สมัยนั้นยิ่งกว่าโคตรเท่อีก เพราะตอนเด็กเราก็รู้จักแต่ PORSCHE กับ FERRARI ในสมัยนั้นก็นานๆ เห็นที แต่ก็ยังเห็นบ่อยกว่า NSX ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ครับ เหล่า Super car ยุโรป มีวิ่งกันเกลื่อน แต่ NSX สวยๆ เนี้ยบๆ กลับแทบไม่เห็นบนท้องถนนเลย กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ก็อย่างที่รู้ รถขายได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ “เก็บ” กัน และในปี 1994 มีการ “ปรับภาษี” ทำให้ราคารถโดดขึ้นไปเป็น “6 ล้านกว่าบาท” หนักเข้าไปอีก จะมีสักกี่คนที่ “เข้าใจ” และ “เห็นคุณค่า” ของมัน คนส่วนใหญ่คิดว่าเงินขนาดนี้ไปซื้อรถสปอร์ตยุโรปขับดีกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะ “ไม่มี” คนซื้อ ต้องเป็นพวก “เข้ากึ๋น” จริงๆ แต่ก็ขายได้น้อยมากๆ ทำให้รถปี 1994 ในบ้านเรานั้นหายาก…
- NSX-R NA1 ที่เน้นการลดน้ำหนักในทุกอย่างที่ทำได้ และช่วงล่างที่เซตมาให้ขับในเซอร์กิตได้เลย รวมถึงวัสดุชั้นดีที่พัฒนามาจาก F1 สู่ Production car คันนี้เป็นรุ่นปี 1994 ล้อ 7 ก้าน สีขาว ขนาด 16 และ 17 นิ้ว ตามลำดับ
NSX-R พันธุกรรมพิเศษของสมรรถนะที่เหนือชั้น
1992-1995
ในปี 1992 ก็เป็นการออกตัว “สุดยอด” โลโกแดง อย่าง Type R เพื่อ “เขย่าวงการ” ซึ่งเรียกกันว่า “NSX-R” ในซีรี่ส์ NA-1 ก็ย่อมมีสิ่งที่ “ไม่ธรรมดา” ไปจากรุ่นปกติอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นรถที่เน้นสมรรถนะสูงสุดอย่างแท้จริง ผลิตมาจำนวนเพียง “483 คัน” และเป็น JDM พวงมาลัยขวาเท่านั้น มันเลยเหมือน Lottery ที่ “ต้องอาศัยเงินและดวง” ถึงจะได้มาครอบครอง คู่แข่งตัวสำคัญของ NSX-R คือ PORSCE 964 RS ที่ออกมาขายไล่เลี่ยกัน มีการ “ลดน้ำหนัก” เบาลง เหลือเพียง “1,230 กก.” เท่านั้น เพื่อให้ “พลิ้ว” ทุกสถานการณ์ ด้วยการ “ไม่ใส่” อุปกรณ์อำนวยความสบายต่างๆ เช่น แอร์ เครื่องเสียง (แต่สามารถ “สั่งเพิ่มได้” ถ้าต้องการ น้ำหนักรถจะเพิ่มเป็น “1,250 กก.”) ส่วนของ Floor Plan ได้เพิ่มความแข็งแรงขึ้น ให้การตอบสนองของช่วงล่างทำได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว เปลี่ยนสปริงใหม่ให้แข็งขึ้นและลดความสูงลงจากรุ่นธรรมดาถึง “20 มม.” ให้การทรงตัวดีขึ้น เครื่อง C30A มีแรงม้าและแรงบิดเท่ากับตัวธรรมดา แต่ “ไม่ธรรมดา” ด้วย “ก้านสูบไทเทเนียม” จากโรงงาน เป็นสิ่งพิเศษสุดๆ สำหรับ NSX-R เออ มีไอ้นี่อีก “เปลี่ยนอัตราทดเฟืองท้ายสูงขึ้น” จาก 4.062 เป็น “4.235” ให้ “ติดตีน” ขึ้นมาอีก สำหรับ NSX-R ปี 1994 เป็นต้นไป ก็จะได้ล้อลาย 7 ก้าน สีขาว โลโกแดง แทน ซึ่งมีผลดีขึ้นในการทรงตัวและเบรก เรื่อง Detail ของตัวรถ ขอให้ดูที่ท้ายเรื่อง เรามี “ตัวจริง” มาให้ท่านชมแล้วครับ…
- NSX ตั้งแต่ปี 1994 ขึ้นไป จนถึง 1999 จะได้ล้อลาย 7 ก้าน แบบนี้ครับ ปี 1995 NSX-T หลังคา Targa ออกมาเอาใจ “อเมริกันนิยม” ที่ชอบเปิดหลังคาขับ ซึ่งสีตัวรถ” จะเป็น “สีเดียวกันทั้งคัน” ซึ่งรุ่นหลังคาแข็ง (Hardtop) จะเป็น Two Tone หลังคาดำ
NSX-T
Targa ท้าลมแดด
1995-1997
ในเดือนมีนาคม ปี 1995 ได้เพิ่มรุ่น NSX-T ก็คือ “Targa Top” หลังคาเปิดตรงกลาง สไตล์ “อเมริกัน” ที่นิยมกันมาก เชื่อว่าทาง HONDA ก็คงจะเน้นตลาด “อเมริกา” ภายใต้แบรนด์ ACURA นั่นแหละ ตัวรถดูเผินๆ ก็เหมือนกัน แต่ “โครงสร้างตัวถังไม่เหมือนกัน” ตัว Targa จะมีการ “เสริมความแข็งแรงบริเวณกาบด้านข้าง” (Side sill Panel)โดยการเพิ่มความหนาของชั้นอะลูมิเนียม เพื่อป้องกันการบิดตัวจากหลังคาที่มีช่วงเว้นว่างไป แม้จะใส่หลังคาวิ่ง มันก็ไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกัน โอกาสบิดตัวก็ยังมี (ถ้าเอารถตัวปกติมาแปลงเป็นหลังคาเปิดแบบต่างๆ ตัวถังจะมีโอกาส “บิดง่าย” อันนี้ยกตัวอย่างเฉยๆ นะ) ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มไปอีก 50 กก. เป็น “1,400 กก.” ในรุ่นเกียร์ธรรมดา เครื่องยนต์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ที่ได้รับคำชมว่า “ไร้อารมณ์” ก็เลย “เพิ่มอัตราทดเฟืองท้าย” จาก 4.066 เป็น “4.428” เอาให้จี๊ดจ๊าดสนุกสนานกันหน่อย แต่ในเกียร์ 4 จะ “ทดต่ำลง” เพื่อลดรอบเวลาขับยาวๆ เปลี่ยนอัตราทดจากเดิม 0.777 เหลือ “0.688” ส่วนอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลง เช่น “เหล็กกันโคลงหน้าเล็กลง” พร้อม “สปริงหน้าแข็งขึ้น” ส่วนด้านหลัง “ลดความแข็งสปริงลง” และ “เพิ่มความหนืดโช้คอัพ” เพื่อให้ขับง่ายขึ้น ลดอาการโอเวอร์สเตียร์ และ Feature ของรถตั้งแต่ปี 1995 ขึ้นมา ที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมี “คันเร่งไฟฟ้า” ส่วนรถเกียร์อัตโนมัติ ก็จะมีฟังก์ชัน “F-Matic” ที่มี Paddle Shift มาด้วยนะเออ…
- C32B ในรุ่น NA2 ที่พัฒนาขึ้นใหม่
NSX “NA2” Series
เครื่องใหญ่ ใจโต
1997-1999
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1997 ได้ออกรุ่น “NA2” มา ซึ่งหลายคน (รวมถึงตัวผมเอง) เข้าใจผิด ว่า NA1 คือ ตัว “ไฟป๊อปอัพ” ส่วน NA2 คือตัว “ไมเนอร์เชนจ์” ที่ไฟหน้าเป็น Projector จริงๆ แล้ว “บ่แม่น” ครับ ในตัวไฟป๊อปอัพ ปี 1997 ขึ้นไป ก็มีทั้ง E-NA1 และ E-NA2 เหมือนกัน ดูง่ายๆ ครับ E-NA2 คือ รุ่น Performance upgrade เปลี่ยนเครื่องเป็นรุ่น “C32B” ความจุ 3.2 ลิตร เพิ่มขนาดลูกสูบ จาก 90.0 มม. ในเครื่อง C30A เป็น “93.0 มม.” อื่นๆ ก็เท่ากัน แรงม้าถูกจำกัดไว้เท่าเดิมเป๊ะ แต่สเป็ก “ฝรั่ง” โดดไปถึง 290 PS !!! แรงบิดเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เป็น “31.0 มม./5,300 rpm” แต่เชื่อเหอะว่าคน “ซน” ก็ต้องหาทาง “อัพเกรด” อยู่ดี ยังไงซะก็ได้เปรียบ C30A แน่นอน แต่ข้อมูลก็บอกไว้ว่า การเปลี่ยนเครื่องมาเป็น C32B เพื่อ “ลดมลพิษ” เตรียมไว้รองรับกับมาตรการในช่วงปี 2000 ที่กำลังจะบังคับใช้ เนื่องจากเครื่องใหญ่ เราไม่ต้อง “เค้น” มาก มีแรงบิดดีต่อเนื่อง และออกแบบอย่างอื่นให้สอดคล้องกัน ซึ่ง C30A ออกจะต้อง “เบ่ง” ไม่ผ่านมลพิษ เครื่อง C32B มากับเกียร์ธรรมดา “6 สปีด” ซึ่งเกียร์ 3-4 เป็น Dual Cone Synchromesh ส่วนรุ่น E-NA1 ก็ยังเป็นเครื่อง C30A เกียร์ออโต้ 4 สปีด เหมือนเดิมทุกอย่าง (ซึ่งเราไม่ขอพูดถึง) ที่สามารถขายได้เพราะ “แรงม้าน้อย มลพิษไม่เกินที่กำหนด” ก็เลยไม่ต้องไปยุ่งกับมัน จุดต่อมา “เบรก” จานเบรกหน้าอัพไซส์ ใหญ่ขึ้นอีก 18 มม. เป็น “298 มม.” และมีความหนาเพิ่มขึ้น ตัวถังจะอัพเกรดพวก “ส่วนประกอบภายนอก” ใหม่ เช่น แก้มหน้า ประตู ฯลฯ เป็นอะลูมิเนียมที่บางลง แต่ “แข็งแรงขึ้น” ปลายท่อไอเสีย เปลี่ยนเป็นแบบ “กลม” ส่วนรุ่น “NSX-T” ก็มีขายควบคู่กันไปกับตัวปกติ…
- NSX-S ที่เกือบจะเหมือน Type R แต่เน้นความหรูหรามากกว่า
- NSX-Sภายในของ NSX-S
For Luxury Sport
สำหรับรุ่นที่ “เพิ่มมา” ก็คือ “NSX-S” หรือ “Type S” ซึ่งเป็นเหมือนกับ “เกือบจะ Type R” แต่ยังไม่ถึง มันจะออกแนว “Sporty/Luxury” แล้วก็มีเฉพาะ JDM Spec อย่างเดียว ในรหัสตัวถัง E-NA2 สิ่งที่แตกต่าง คือ “สีส้มเกล็ด” พิเศษ คือ “Imola Pearl Orange” เป็น Signature ของรุ่นนี้ (ชื่อ Imola ก็เอามาจากชื่อสนามที่ เซนน่า เสียชีวิตนั่นเอง) ล้อ BBS น้ำหนักเบา ลาย 8 ก้านคู่ สี Gun Metallic ช่วงล่าง ใช้โช้คอัพและสปริงที่ “หนึบแน่น” ภายในจะเป็น “หนังดำเรียบ” แต่จะมี “ด้ายเย็บสีเดียวกับตัวรถ” เบาะเป็น RECARO Bucket Seat หนังดำ แต่แถบกลางเบาะและแถบกลางแผงข้างจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ พวงมาลัย MOMO แบบมี “นวมกลาง” หัวเกียร์ทรงหยดน้ำกลับหัว มี “ตะแกรงปิดบนเครื่อง” เหมือน NSX-R (ไอ้ตะแกรงนี่ ราคาเงินไทย “ห้าหมื่นฝ่า” เชียวนะ อ๊ากกกก) ราคาขายล่อไป “10,357,000 เยน” !!! โคตรแพงที่สุดในรถญี่ปุ่น….
- NSX-Sภายในของ NSX-S
NSX-S Zero
เน้นความ “สปอร์ต” เป็นหลัก “ลดน้ำหนัก” อุปกรณ์ที่ถอดออกเยอะแยะ เช่น แอร์ ถุงลมนิรภัย เครื่องเสียง Cruise Control, Traction Control, เซ็นทรัลล็อก พวงมาลัยเพาเวอร์ ไฟตัดหมอก Navigator ฉนวนกันเสียง เปลี่ยนแบตเตอรี่ชนิดใหม่ แบบ Lead-Acid เบาะ RECARO Carbon Fiber ลดน้ำหนักลงถึง 50 กก. เหลือ “1,270 กก.” และเบากว่า NSX NA2 ตัวธรรมดาถึง “96 กก.” ช่วงล่างปรับให้ “เฟิร์ม” ขึ้น แต่ยังไม่ถึง NSX-R สำหรับ “สมรรถนะ” ทำเวลา 0-100 km/h ได้ในเวลาเพียง “4.5 วินาที” นี่มัน Super car ชัดๆ ส่วนเวลาควอเตอร์ไมล์ ทำได้ “13.0 วินาที” ไม่ธรรมดาเลย ส่วนในสนาม SUZUKA NSX-S ZERO ทำเวลาได้เร็วกว่า NSX-R NA1 ถึง “1.5 วินาที” ต่อรอบ ส่วนราคารถ อยู่ที่ “9,857,000 เยน” นะจ๊ะ…
- ACURA NSX Alex Zanardi Edition
NSX Alex Zanardi Edition
ลิมิเต็ด เด็ดสุดๆ
แถมให้หน่อย “ตัวพิเศษ” ACURA NSX “Alex Zanardi Edition” เป็น USDM ที่รู้จักมันไว้หน่อยก็ดี เป็นเวอร์ชั่นพิเศษ ออกมาเนื่องในโอกาสที่ Alex Zanardi นักแข่งรถชาว Italian ในรายการ CART ไม่ใช่ “โกคาร์ท” นะครับ แต่เป็นรายการ Championship Auto Racing team ของอเมริกา เป็นรถแข่งล้อเปิดหน้าตาเหมือน F1 นั่นแหละ (บางคนก็เรียก Indy Car) ตอนหลังเรียกว่า Champ car ซึ่ง Alex Zanardi ที่ขับให้กับทีม HONDA/ACURA ชนะในปี 1997-1998 เลยทำเป็น “ตัวฉลอง” ขึ้นมา เป็นรถพวงมาลัยซ้าย (US Spec) แต่ “ตกแต่งสไตล์ NSX-S” ภายในเป็น “เบาะหนังกลับ” สีดำ เย็บ “ด้ายแดง” แต่พวงมาลัยยังเป็นโลโก ACURA แบบมี Air Bag ตามกฎหมายของอเมริกาที่เข้มงวดเรื่อง Safety มี “เพลทพร้อมลายเซ็น” ของ Alex Zanardi พร้อม Serial Number ที่ Firewall ด้านหลัง มีทั้งหมด 51 คัน คันเบอร์ 0 เป็น “รถโชว์” สำหรับออกสื่อ และให้ทดลองขับแบบ Exclusive Test Drive ที่ผลิตขายจริงจะมีเพียง “50 คัน” คันเบอร์ 1 ก็มอบให้กับ Alex Zanardi เอง แต่ต้องทำ “พิเศษกว่า” เนื่องจากตัวเขาได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจากการแข่งขัน ทำให้ “สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง” ด้วยการใส่คันเร่ง เบรก ที่ใช้ “มือควบคุม” เพียงอย่างเดียว ส่วนคันที่ 2-50 ก็ขายผ่าน Dealer ตามปกติ…
LEV Version
ในเดือนกันยายน ปี 1999 กฎหมายมลพิษ หรือ Emission Control ได้ปรับให้เข้มงวดขึ้น ค่ามลพิษทางไอเสีย “คาร์บอนไดออกไซด์” จะต้องต่ำลงกว่าเดิมถึง “50 เปอร์เซ็นต์” ซึ่ง HONDA ก็จะทำรถยนต์ใน Concept ของ LEV (Low Emission Vehicle) ออกมาจำหน่าย ด้วยการเพิ่ม EGR Valve ขึ้นมา เพื่อขจัดมลพิษ มี ABS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไฟหน้าเป็น HID ภายในจะเป็นแบบ “ทูโทน” เบาะหนังสีเบจ หนังสีดำ ส่วนรุ่นก็ยังมี NSX, NSX-T, NSX-S, NSX-S Zero แต่รหัสนำหน้าของตัวรถ เปลี่ยนจากตัว E เป็น GH ครับ…
- NSX Facelift “LA Series” บอกลาไฟป๊อปอัพ เปลี่ยนพาร์ทใหม่ให้ “แหวกลม” ดีขึ้น
The Facelift
Version 2 กับความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ในเดือนธันวาคม ปี 2001 NSX ได้จัดการ “แปลงโฉม” ใหม่ ก็ไม่น้อยนะ ถือเป็น Big Minor Change แต่ก็ยังใช้พื้นฐานโครงสร้างเดิมที่ “แจ๋ว” อยู่แล้ว จะไปเปลี่ยนทำไม เปลี่ยนรหัสตัวถังเป็น “LA-NA1” และ “LA-NA2” สิ่งที่สังเกตได้แน่ๆ เช่น “ไฟหน้า” เป็นแบบ Fix Type ไม่ได้เป็น Pop-up หรือ Retractable แบบเดิม และเป็น HID ทั้งหมด ชุดพาร์ทรอบคันเปลี่ยนใหม่ ไฟท้ายเปลี่ยนใหม่ เป็นโคม “สีแดงสด” (รุ่นก่อนจะเป็นสีแดงอมเทาดำ) ไฟเลี้ยวเป็น “วงรี” โลโกแผงทับทิมกลางไฟท้าย จะเป็นแบบ “ตัวนูน” ติดแปะเข้าไป (รุ่นก่อนจะเป็น “สกรีน” ติดกับเนื้อเลนส์) ส่วน “ช่วงล่าง” ก็อัพเกรดสปริงหน้า จาก 3.2 kg/m เป็น 3.5 kg/m สปริงหลัง จาก 3.8 kg/m เป็น 4.0 kg/m “เหล็กกันโคลงหลัง” เพิ่มขนาด จาก 17.5 มม. เป็น 19.0 มม. ล้อเปลี่ยนใหม่ เป็นลาย 7 ก้านเรียวๆ ขอบ 17 นิ้ว เท่ากันทั้งหน้าและหลัง จะไปผิดที่ “หน้ากว้าง” ซึ่งด้านหลังกว้างกว่า ทำให้ฐานล้อหลังกว้างขึ้นอีก 10 มม. เป็น “1,540 มม.” ส่วนขนาดยางก็ใหญ่ขึ้น ด้านหน้า 215/40R17 ด้านหลัง 255/40R17 เพิ่มการยึดเกาะถนนที่มั่นใจขึ้น ส่วนรุ่นรถก็จะเหมือนเดิมครับ แต่ NSX-S Zero จะหายไป ในปี 2003 (ยกเว้น NSX-R) เปลี่ยนแปลงเพิ่มนิดหน่อย มี CD Changer พร้อมกุญแจ “Immobilizer” มาให้ (จะมีไฟเตือนระบบกุญแจสีเขียวอยู่ข้างเรือนไมล์) ส่วนปี 2005 เป็น “Final of Life” ของ NSX กันแล้ว ในปีนี้ ผลิตรถออกมาเพียง 15 คัน…
- NSX-R LA-NA2 ที่ถูกพัฒนาอย่างหนักหน่วงในสนามแข่ง จนเป็นรถที่สมบูรณ์แบบที่สุดระดับตำนาน
NSX-R NA2
กลับมาอีกครั้งเพื่อเป็น “ตำนาน”
หลังจากที่เปิดตัว NSX Facelift ไปแล้ว ในปี 2002 ก็เกิดเวอร์ชั่น “ดุเดือด” ขึ้นมา คือ NSX-R ที่คราวนี้กลับมาด้วย Detail ที่ “สุดยอด” กว่ารุ่นปกติแบบคนละโลก เน้นสมรรถนะสูงสุดจริงๆ เรียกว่า HONDA เทหมดหน้าตัก มีจำนวนเพียง “140 คัน” ทั่วโลก ประการแรก “เพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง” เพื่อให้รถมี Response ที่ดี โดยยอมเสียความนุ่มนวลไป แน่นอน คนขับ NSX-R ไม่แคร์อยู่แล้ว ประการที่สอง “น้ำหนักที่ต้องลด” งานนี้ใช้ “คาร์บอนไฟเบอร์” เข้ามามีส่วนช่วย เช่น ฝากระโปรงหน้า สปอยเลอร์หลัง ทำให้น้ำหนักเบาเหลือเพียง “1,270 กก.” เครื่องยนต์ก็สไตล์ Type R ที่ไส้ในเน้นการ “ลดภาระ” ทำให้ตอบสนองได้รวดเร็ว อัตราทดเฟืองท้ายสูงขึ้นเป็น “4.235” รายละเอียดอื่นๆ มี “ตัวจริง” ให้ดูนะจะบอกให้ ส่วน “สมรรถนะ” ของ NSX-R LA-NA2 นี้ สำแดงพลังเมื่อ “Mr. Motoharu Kurosawa” นักขับมือเก๋า รุ่น “ป๋า” ขับทดสอบจับเวลาในสนาม Nurburgring ด้วยเวลา “7.56 นาที” ซึ่งพอๆ กับ FERRARI F360 Challenge Stradale ที่มีแรงม้ามากกว่าถึง 100 PS ทีเดียว ไม่ธรรมดาใช่ไหม !!! และเป็นที่แน่นอนว่า รถแบบนี้มันกลายเป็น “ตำนาน” ทันที ตอนนี้ถูกแย่งชิงกันจากนักสะสมรถสปอร์ตทั่วโลก เพราะรถ Type R มัน “ไม่มีอีกแล้ว” ฟีลลิ่งแบบนี้ อารมณ์แบบนี้ ปัจจุบันแม้ว่าจะมี NSX Concept ออกมา แต่มัน “ไม่ใช่” และ “ทำแทนไม่ได้” นะครับ…
- ไส้ในของเครื่องยนต์ C32B Type R เน้นวัสดุ “น้ำหนักเบา” และ “ลื่น” เพื่อลดความฝืดให้มากที่สุด
NSX-R GT
มีเงินก็ซื้อไม่ได้เสมอไป
ว่าจะไม่อยากทะเลาะกับ “อ้อย คลองแปด” แล้วนะ แต่ “อดไม่ได้” เพราะมันมีอะไรต้องเล่า สุดจริงๆ ในตำนาน NSX-R GT ที่เหนือชั้นสุดๆ ผลิตมาเพื่อเป็นรถแข่ง SUPER GT โดยเฉพาะ (แต่ก่อนเป็น JGTC) ซึ่งผลิตออกมาเพื่อให้ผ่าน Homologate ของ SUPER GT ที่ต้องมี Production Car “อย่างน้อย 5 คัน” ก็เลยผลิตมาแค่ 5 คัน ข้อมูลรถไม่ได้เปิดเผยอะไรมาก ที่หาเจอก็มีพอสังเขป จุดแตกต่างจาก NSX-R ก็คือ “ชุดพาร์ท” จะดูโหดและใหญ่โต สไตล์ SUPER GT มี Diffuser ตัวถังเป็น Wide Body มากกว่า มี Snorkel หรือ “โหนก” บนฝาปิดเครื่อง เพื่อดักลมเข้าไปท่อไอดีเหมือนกับ F1 และเป็น “ลิ้นเร่งอิสระ” (6 ลิ้น) ด้วย แต่รู้แน่ๆ ว่า “ราคา” ไม่แพง คันละ “50,000,000 เยน” ใช่ครับ “ห้าสิบล้านเยน” เท่านั้น ก็คงไปอยู่ในมือนักสะสมรถสปอร์ตระดับโลกนั่นล่ะ…
- NSX-R GT ที่ล้ำค่าจนไม่รู้ว่า 5 คัน อยู่ที่ไหนบ้างในโลกนี้
Tip
- ใครมี NSX จงจำไว้ว่า “รักษาเท่าชีวิต” อย่า “หมั่ง” เด็ดขาด เพราะถ้าเกิดตัวถังเสียหาย มันไม่ได้ซ่อมง่ายๆ นะครับ จะต้องมีเครื่องมือในการเชื่อมอะลูมิเนียมที่เป็นเฉพาะทางจริงๆ เอาง่ายๆ ถ้าจะ “เลาะเปลี่ยนชิ้นส่วน” ด้านหน้า ข้างละ “แสนกว่าบาท” สองข้างก็ “สามแสนกว่าบาท” จำไว้ว่าระวังให้มาก
- ถ้าเป็นรถเดิมๆ รุ่น NA-1 ไฟป๊อปอัพยุคแรกๆ สามารถ “ซ่อมศูนย์” ได้เลย เพราะมีการนำเข้ามาจำหน่าย ส่วน NA-2 อะไหล่บางชิ้นที่เหมือนกันก็ไม่ใช่ปัญหา แต่บางชิ้นก็อาจจะต้องสั่ง ไม่ต้องกังวลครับ มีตังค์ก็มีคนสั่งให้ได้แน่นอน
- จากคนที่มีประสบการณ์กับ NSX บอกเลยว่า “ไม่ต้องกลัว” พื้นฐานมันเป็นรถสปอร์ตที่ไม่จุกจิกเลย ดูแลง่ายเหมือนรถทั่วไป ไม่มีระบบอะไรซับซ้อน เพียงแต่ดูแลและซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งานเท่านั้น
- แต่จุดอ่อนก็มีบ้างครับ ที่เจอเสียเป็นประจำ คือ ตัวคอนโทรลแอร์, Traction Control, พลาสติกภายในกรอบ พวกนี้มันก็ตามอายุการใช้งาน เปลี่ยนใหม่ก็จบ และ เบรกที่เล็กไปนิด ถ้าไม่อยากเปลี่ยนเบรกโมดิฟาย ก็หาผ้าเบรกดีๆ ใส่หน่อยก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ
Garage & Parts Shop
โดยปกติ อะไหล่รถพวกนี้ปัจจุบันก็ไม่ได้หายาก เพราะ “มีคนสั่งเพียบ” เพียงแต่ถ้าเป็น HONDA ตรงสายหน่อย ส่วนใหญ่ก็ทำได้นะถ้าอะไหล่พร้อม ยกตัวอย่างที่ “เด่นชัด” กับ NSX ทั้งแบบ “ดั้งเดิม” และ “โมดิฟาย” มีดังนี้…
- Driver Motorsport: เก่าแก่กับ HONDA ที่ซ่อมและโมดิฟาย NSX ไปถึงสเต็ป “เซตเทอร์โบ” ขับถนนสนุกๆContact: Tel. 08-1635-3427
- J’s Racing Thailand: รู้จักกันดีอยู่แล้ว อะไรที่เป็น HONDA เอาหมด Contact: Tel. 08-1345-4549, Facebook: J’s Racing Thailand
- U.N. AUTO IMPORT: เน้นอะไหล่ JDM หรือของแต่งตรงรุ่น HONDA Contact: Tel. 0-2316-3889, Facebook: TunAutoImport
- Backstage Auto Mechanic: ได้ทั้งซ่อมบำรุงรถเดิม และโมดิฟาย Contact: Tel. 08-1553-3366, Facebook: Backstage Auto Mechanics
- 1,000,000: “คุณล้าน” คนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญ NSX โดยตรง ปรึกษาและสั่งของได้ Contact: Tel. 08-6830-7575, Facebook: Sakchai.Kreangsamut
- Auto Factory: สายรถญี่ปุ่น รวมถึง NSX ก็จัดให้ได้ มีทั้งซ่อมบำรุง งานสี ตัวถัง Contact: Tel. 08-1884-2222, Facebook: Auto-Factory
World Wide for NSX
ฉบับนี้ขอ “เน้นๆ” แบบที่ได้รับความนิยมทั้งในบ้านเราและเมืองนอก อาจจะมีไม่มากแต่ถึงใจ ได้สาระ…
- NSX THAILAND : เป็นการรวมกลุ่มใน Facebook ของเหล่าคนใช้ NSX ในไทย แบบ “ถึงกึ๋น” ลองไป Join ดู เผื่ออยากดูรถสวยๆ facebook.com/NSXTHAILAND
- NSX Prime : เป็นเว็บไซต์ที่ชาว NSX นำเสนอมาให้ลองชม ครบถ้วนจากคนเล่น NSX ทั่วโลก nsxprime.com ใน Facebook ก็มีครับ www.facebook.com/NSXPrime
Owner & Specialist Comment
K-Factory’s Comment NSX-R NA1
สำหรับรถคันนี้ ตัวผมเองก็ได้มาเป็นรถแท้ Serial Number “0131” ซื้อต่อจากคนเล่นรถด้วยกันในเมืองไทยนี่เอง คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะ NSX-R มันคือสุดยอดแล้ว คุณสมบัติที่เป็นสปอร์ตแท้ๆ มีครบถ้วน ฟีลลิ่งขับสนุก แรงกำลังดี ไม่ Over เกินไป ควบคุมได้ ไม่จุกจิกแม้จะไม่ค่อยได้ขับก็ตาม และที่สำคัญ “เป็นรถที่หายาก มีคุณค่า” จึงพยายามเก็บรักษาอย่างดีครับ…
APPROVED’s Comment NSX-R NA2
ต้องบอกว่า “สุดยอดมาก” สำหรับรถที่มีลักษณะพิเศษสุดๆ แบบนี้ ด้วยวัสดุและองค์ประกอบอันยอดเยี่ยมของ NSX-R NA2 คันนี้ ซึ่งได้รถสภาพสมบูรณ์มากๆ มาจากรุ่นพี่ที่เล่นรถด้วยกัน เป็นรถที่ขับเอาสมรรถนะได้เต็มที่ เห็นว่าเป็นเครื่อง N.A. เดิมๆ วิ่งเวลาควอเตอร์ไมล์ได้ “12 ปลาย” นะครับ ความเร็วสูงสุดที่เคยทำ อยู่ที่ “270 km/h” แบบไม่ยาก ที่ชอบสุดคือ Handling ดีมาก สั่งได้ ตอบสนองไว ช่วงล่าง Firm มาก สรุป สุดยอดครับ และเป็นรถที่ทรงคุณค่ามากครับ…
Intaraphoom’s Comment NSX-NA2
พิเศษหน่อย เพราะทาง APPROVED ได้ “ให้เกียรติ” กับตัวผมได้ขับเจ้า NSX-R NA2 คันนี้ด้วย แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ “ได้ฟีลลิ่ง” ซึ่งเป็น “ประสบการณ์ชีวิต” ตัวผมเองก็รู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว ว่ารถรุ่นนี้ไม่เน้นแรงม้ามาก แต่ “เน้นการตอบสนองในทุกด้าน” ต่างหาก ทุกอย่างลงตัวในแบบ Track Car ที่สามารถ “สั่งและควบคุมได้” ตอบสนองได้เร็ว ช่วงล่างที่สุดยอด เลี้ยวคม สำคัญ “ขับง่าย” ครับ ตรงประเด็นสำหรับคนที่ชอบรถที่ขับขี่สนุกสนาน แต่ก็ขับใช้งานได้อย่างง่ายดาย นับว่าเป็นรถที่ “ครบเครื่อง” สุดๆ ครับ…
Special Thanks
“คุณล้าน” สำหรับข้อมูล NSX, “คุณพล K-Factory”, “คุณอั๋น APPROVED Super Premium Car” สนใจรถเกรด “พรีเมียม” ต่างๆ Tel. 08-6896-6666, “เสี่ยหมี” SSC Autoparts รับสั่งอะไหล่ HONDA Tel. 08-1377-4484…
ข้อมูลและรูปบางส่วน จากเว็บไซต์ www.wikipedia.org, www.nsxprime.com, www.google.com