เรื่อง: อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : ธัญญนนท์ แสงภู่ (TakeSnap), ภูดิท แซ่ซื้อ (FotoGolfer)
ร่ำๆ หลายทีว่าจะนำเสนอรถที่คนส่วนใหญ่ “ไม่ค่อยเข้าใจ” อย่าง TOYOTA MR2 (SW20) ที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือ “เครื่องยนต์วางกลางลำ ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง” หรือ Mid-Engine Rear Wheel Drive โดยเน้นความสปอร์ตในแบบฉบับ Super Car ย่อมๆ แต่ !!! มันไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ต้องมี “ความเข้าใจ” กับรถรุ่นนี้อย่างถ่องแท้ ว่านิสัยดั้งเดิมของมันคืออะไร สิ่งที่เป็นปัญหา มันก็ต้องถูกดีไซน์และแก้ไขกันไป โดย R SPEC 2 ที่มีสองพี่น้อง “รุ่ง & รส” ช่วยกันปลุกปั้น MR2 ขึ้นมาให้สามารถทำเวลาควอเตอร์ไมล์ได้ในระดับแนวหน้า โดยมีสองนักแข่งเจ้าประจำ คือ “กอฟฟี่” คันสีแดง ลงแข่งในรายการ Souped Up Thailand Records 2015 ได้อันดับ 1 รุ่น SUPER 4 2WD และ “จ้ำม่ำ” ควบสองคัน คือ สีเขียว ส่วนคันสีเงิน ที่ทำไว้ลงรุ่น PRO 4 ซึ่งแต่ละคันก็มีวิธีการ Set up ต่างกันออกไป ไอ้ที่คิดว่ารุ่นใหญ่กว่า แรงม้าต้องจะมากกว่า หรือต่างๆ นานา ที่เราเคยเข้าใจ แต่ MR2 มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด บอกได้เลยว่า มีการ “แหกทฤษฎี” บางอย่างคนที่ไม่ได้สัมผัสอาจจะคาดไม่ถึง งานนี้มี Surprise หลายๆ อย่าง ว่าทำไม MR2 ที่ทำจากค่ายนี้ถึงประสบความสำเร็จ…
ใครๆ ก็คิดว่า MR2 ได้เปรียบ แต่ความเป็นจริง…
ผมขอพูดรวมๆ ในเรื่องราวของ MR2 ทั้ง 3 คันนี้ แบบ “ร่ายยาว” ไปเลยนะครับ จุดเริ่มต้น “เปิดซิง” จากการทำ MR2 ให้เพื่อนในทีม NaRaKa คันหนึ่ง เริ่มจากวางเครื่อง 3S-GTE Non Airflow ก็เริ่มเรียนรู้จากคันนั้นเลย จึงเป็นความชอบและผูกพันเกิดขึ้นมา จนได้มาลองเล่นดูเอง ก็พบว่ามันมี “ทั้งสองด้าน” จุดดีเด่น และจุดที่เสียเปรียบ จุดดีเด่นในการเอามาวิ่งควอเตอร์ไมล์ คือ “น้ำหนักเครื่องกลางลำ จะกดท้ายมากกว่า” แต่ถ้าคิดอีกด้าน คือ “หน้าเบามาก” เวลาวิ่งความเร็วสูง ซึ่ง MR2 เดิมๆ ก็จะเจออาการนี้กันอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเครื่องแรงๆ ก็ทำให้ “หน้าเหิน” จนน่าจะเกิดอันตรายได้ง่าย เกิดจาก Weight Transfer ที่น้ำหนักจะยิ่งไปข้างหลังมากขึ้น รวมถึง “กระแสลมยก” หรือ Lift Force จะยิ่งทำให้หน้าลอยไปกันใหญ่ มันเลยต้องมีทางแก้กันเยอะหน่อย เช่น การใส่ Aero Part ด้านหน้าเพิ่มขึ้น หรือการตั้งความสูงของช่วงล่างให้ “หน้าทิ่ม” เพื่อให้เกิดความสมดุลในความเร็วสูง อะไรอีกมากมาย สำหรับรายละเอียดเฉพาะคัน ผมขอเล่าในบรรยายภาพก็แล้วกันนะครับ…
- สำหรับคันสีเงิน ยาง Slick ที่ต้อง “จัดเต็ม” กันหน่อย เทคนิคการ Setting ก็ต้องเข้าใจถึง “นิสัยของรถและยาง” กันก่อน ยาง Slick จะเกาะมากกว่า Radial จริง แต่อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับ MR2 ก็ได้นะ !!!
- เมื่อยางหลังเกาะมาก ก็จะยิ่งทำให้ออกตัว “หน้าเหิน” คันนี้ถ้าใครติดตามรายการ Souped Up Thailand Records ตอนที่รถคันนี้ทำมาลงรุ่น PRO 4 ยุคแรกๆ จะยกหน้าตอนออกตัวอย่างชัดเจน แทนที่รถจะพุ่งออกไป กลับต้องมายกหน้าแทน ทำให้ออกตัวได้ไม่ดี และที่ความเร็วในช่วงกลางถึงปลาย เราจะต้องคำนึงถึงด้วย ไม่ใช่เฉพาะ 60 ฟุต วิ่งไปความเร็วไม่ถึง 200 km/h หน้าก็ลอย เริ่มจะส่ออันตราย ก็เลยต้องมานั่งคิดกันใหม่หลายประการ ว่าจะทำยังไงให้มันสามารถออกตัวและไล่ไปได้เนียนๆ ถึงปลายเส้น ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทางออกแล้วครับ…
- ลดแรงม้าเครื่องยนต์ลงก่อน เพราะถ้าแรงม้ามากก็ยิ่งจะยก เลยต้องถอยกลับมาสู่จุดที่เหมาะสมและเซตระบบอื่นๆ ให้ออกไปได้ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มแรงม้าเอา…
- การเลือกยางมีส่วนสำคัญ ตอนแรกคันนี้ใช้ยางที่ Compound ค่อนข้างนิ่ม เหมาะสำหรับรถขับหน้า แต่พอมาใส่รถแบบนี้ ออกตัวรถจะยิ่งยุบมาก ก็จะยิ่งทำให้หน้าลอยไปอีก เลยต้องใส่ยางที่ Compound แข็งขึ้น เพื่อให้ไม่ยุบตัวมากเกินไป
- การเซตโช้คอัพและสปริงด้านหลัง ก็จะเซตค่า Bump แข็งกว่ารถที่ใช้ยางเรเดียลไว้บ้าง เพราะไม่ต้องการให้ช่วงล่างยุบมากเกินไป ให้ไปยุบที่ยางเป็นหลัก ก็อยู่ที่แรงม้า การใช้ลมยาง ฯลฯ มุมล้อหลังก็จะตั้งแคมเบอร์เป็น “บวก” ไว้ เพื่อให้ยุบตัวลงมาแล้วเป็น “ศูนย์” พอดี หน้ายางจะสัมผัสเต็ม…
- ในทิศทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นยางเรเดียลแบบสปอร์ต (แบบคันสีเขียวและสีแดง) แก้มยางจะ “เตี้ยและแข็ง” เพื่อให้รักษาเสถียรภาพในความเร็วสูง ทั้งทางตรงและทางเลี้ยว ตอนออกตัวจึงไม่มีแก้มหนาๆ มา Absorb แรงเหมือนยางสลิค ก็จะต้องเซตช่วงล่างในอีกแบบหนึ่ง คือ “โช้คอัพเซตแบบยุบนิ่ม ยืดหนืด” ใช้สปริงหลังค่าความแข็งไม่มากนัก ก็อย่างที่รู้กันครับว่าให้น้ำหนัก Transfer มากดล้อให้มากที่สุด ถ้าเซตมาออกตัวดีๆ ที่เหลือจะสบาย สามารถไปได้เต็มๆ เพราะยางเรเดียลแบบสปอร์ตพวกนี้จะเสถียรกว่ายางสลิคนิ่มๆ ครับ แต่จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับหลายอย่างครับ อันนี้เป็นหลักการที่ R SPEC 2 ใช้เซตรถของตัวเอง เรื่องลมยางก็ต้องหาค่าที่เหมาะสมสุดครับ ตรงนี้เงื่อนไขมันหลายอย่าง บอกตายตัวไม่ได้…
- ด้านหน้าก็สำคัญนะครับ จะสังเกตว่าทำไมคันนี้ไม่ใช่ล้อ Drag แคบๆ ที่มีน้ำหนักเบา แรงเสียดทานต่ำ แต่กลับใช้ล้อและยางเรเดียลปกติที่มีน้ำหนักเยอะกว่า ??? เหตุผลง่ายๆ ครับ เพราะต้องการให้ด้านหน้ามีการยึดเกาะถนนที่ดีในความเร็วสูง ถ้าล้อแคบ รถก็จะยิ่งไม่เกาะถนน หน้าก็จะยิ่งคุมยากไปกันใหญ่ และใช้โช้คอัพค่า Rebound หนืดๆ เพื่อดึงให้หน้าไม่ลอยง่ายครับ…
- ออฟเซตของล้อ ก็มีส่วนสำคัญมาก สังเกตว่าจะไม่ใส่ล้อที่ออฟเซตมีค่าบวกน้อย พูดง่ายๆ ว่า “ไม่ใช้ล้อยื่นมาก” นั่นเอง ทั้งๆ ที่น่าจะเกาะถนนดีขึ้น เพราะเป็นการเพิ่ม Track (ฐานล้อซ้าย-ขวา) ให้กว้างขึ้น แต่ Wheelbase (ช่วงล้อหน้า-หลัง) เท่าเดิม จะกลายเป็นว่า อัตราส่วนระหว่าง Track และ Wheelbase ถ้าลากเส้นให้เป็นสี่เหลี่ยมจะเห็นชัดว่ามันกลายเป็น “รถสเกลสั้น” (เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จะค่อนๆ ไปทางจัตุรัสแล้ว) ทาง R SPEC 2 ให้เหตุผลว่า ถ้าในรถที่เน้นเลี้ยว สเกลสั้นล่ะก็ใช่ เพราะมันจะเลี้ยวง่าย แต่ถ้าเป็นรถวิ่งทางตรงอย่างเดียว จะทำให้คุมยากขึ้นไปอีก แต่ถ้าเป็นสเกลยาว (สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว) รถจะคุมทางตรงได้ง่ายกว่า ก็สังเกตว่ารถ Drag จะชอบ Track แคบๆ และ Wheelbase ยาวๆ ก็เรื่องของสเกลที่ว่านี้แหละครับ…
- ท้ายสุด คนทำรถกับคนขับก็จะต้อง “จูน” เข้าหากันให้ได้ คนขับก็ต้องรู้วิธีขับรถคันนั้นๆ คนทำรถก็จะแก้ไขตามที่คนขับต้องการ ต้องคุยกันด้วยเหตุผลครับ มันถึงจะไปกันได้…
Comment : R SPEC 2
สำหรับ MR2 ผมมองว่าแม้ใครจะบอกว่ามันทำให้วิ่งเลขตัวเดียวยาก แต่ผมกลับอยากจะเอาชนะมัน ของบางอย่าง MR2 ตรงรุ่นไม่มีขายถึงสเต็ปที่เราต้องการ งานนี้ก็ “คิด” สลับ ดัดแปลง เอาของสเป็กสูงจากรถรุ่นยอดนิยมอื่นๆ มาใช้ โดยเน้นเรื่องระบบส่งกำลังเป็นหลัก เพราะแรงม้าระดับ 700 PS ของเดิมทนไม่ไหว เราทำออกมาจนสามารถรอดได้ รวมถึงการเซตช่วงล่าง ที่ต้องคิดหลายด้าน ว่าเราจะออกตัวยังไงให้ดี แล้ววิ่งไปปลายๆ จะทำยังไงไม่ให้หน้าลอย มันมีอะไรมาให้คิดเรื่อยๆ ครับ แล้วผมก็ไม่อยากจะให้งบประมาณสูงเกินไปในการทำรถ เพื่อให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะลองเล่นกับ MR2 ท้ายสุด ผมกล้าพูดเลยว่า MR2 สำหรับผม มันคือ “รถสร้างคน” ครับ…
Comment : อินทรภูมิ์ แสงดี
ผมเองก็มีความคิดว่า MR2 เป็นรถที่แปลก มันต้องคิดหลายๆ ด้าน เพราะลักษณะการวางเครื่องมันไม่เหมือนชาวบ้าน อาการของรถก็ย่อมแตกต่างกันไป สำหรับรถ 3 คันนี้ เรื่องความแรง ผมกลับมองเป็นเรื่องรอง แต่ชอบสุดคือ “พยายามสร้างงาน” ให้มันวิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งระบบส่งกำลัง การเซตช่วงล่าง รวมถึงการเซตคนขับที่จะต้องชินกับอาการเหวอๆ เวลาทะยานความเร็วสูงกว่า 220 km/h ขึ้นไป และการโมดิฟายก็จะเน้นของที่ไม่แพงมาก แล้วมาดัดแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ สไตล์ “ไทยแท้” ก็ได้ผลงานที่ดีครับ ส่วนรูปถ่ายอย่าคิดว่าเรามีแค่นี้ เข้าไปดูใน Gallery ที่เว็บไซต์ xo-autosport.grandprix.co.th ได้เลยครับ…
Special Thanks to
R SPEC 2 : Tel. 08-1903-1440, www.facebook.com/RungsubRspectwo
————————————————————–
- สังเกตมุมนี้ชัดเจนครับ ว่าจะไม่ใช้ล้อที่ออฟเซตยื่นมาก ด้วยเหตุผลที่กำลังจะบอกในเนื้อเรื่อง
Max Power: 714.04 PS
Max Torque: 72.73 kg-m
เปิดซิงแรงม้าคันสีเงิน ที่แรงม้ายังน้อยกว่าคันสีเขียวเสียอีก แต่ก็ยังมากกว่าคันสีแดง ก็คืออยู่กลางๆ นั่นเอง อย่างที่บอกว่าจุดลงตัวของรถแต่ละคันไม่เหมือนกัน แต่อาจจะคล้ายๆ กัน แรงเกินไปก็ “ยกล้อ” ไม่มีประโยชน์ สำหรับกราฟของคันนี้ Power Band จะอยู่ในช่วงที่ “ใช้งานจริง” ถือว่าค่อนข้างกว้างใช้ได้ คือช่วงความเร็วตั้งแต่ 180-240 km/h ในเกียร์ 4 เป็นช่วงที่กำลัง Shoot พอดี (น่าเสียดายที่ไม่ได้ Calibrate เป็นรอบเครื่องยนต์ จะได้รู้ว่ามันอยู่ในช่วงรอบไหนกันแน่) กราฟจะถีบตัวขึ้นในช่วงกลางเป็นมุมชัน ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ถ้าเป็น “รถแข่ง” ก็ไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว แรงม้าสูงสุดได้ถึง 714.04 PS ก็เป็นเรื่องปกติที่เครื่องระดับนี้จะทำได้ ส่วนแรงบิดก็น่ากลัวเหมือนกัน 72.73 kg-m (แต่ยังมีคันที่น่ากลัวกว่านี้ อยากรู้ต้องอ่านให้จบ) แต่ว่าตอนวิ่งจริงๆ อาจจะไม่ได้ใช้หมดนี่ อยู่ที่ “สิ่งแวดล้อม” ในขณะนั้น ถ้าแทร็กลื่น ก็ต้องลดกำลังลง มันหลายอย่างครับ ต้องเลือกให้เหมาะสม…
TECH SPEC
ภายนอก
กันชนหน้า : BORDER
ไฟหน้า : GARAGE SPL
สปอยเลอร์บนฝากระโปรงหน้า : GARAGE SPL
ฝากระโปรงหน้า : AUTO CREATION
ฝากระโปรงหลัง : AUTO CREATION
ชายกันชนหลัง : GReddy
- สปอยเลอร์บนฝากระโปรงหน้า ไว้สร้างแรงกด ลดอาการหน้าลอย และยังมีลูกเล่นอีกทาง คือ “การสร้างแรงกดด้วยการไหลของลม” เอาลมวิ่งเข้าไปที่หน้ากันชนเยอะๆ ผ่านไปยังหม้อน้ำ และผ่านไปยัง “ห้องเก็บยางอะไหล่” ที่ในนั้นจะทำเป็นทางลม เพื่อให้ลมเข้าไปกดที่พื้นด้านหน้ารถได้อีกทาง หลังจากนั้นลมก็จะผ่านขึ้นไปยังช่องลมที่ฝากระโปรง ซึ่งจุดนี้ ลมที่มาจากสปอยเลอร์ กับลมที่ออกมาจากช่องลม จะเกิดการ “เหนี่ยวนำ” (Scavenging) การตั้งองศาของสปอยเลอร์ รวมถึงองศาของลิ้นช่องลมที่ฝากระโปรง จะต้อง “ทำมุมพอดี” เพื่อให้ลมสามารถวิ่งมาเจอกันและเหนี่ยวนำกันออกไปได้ ถ้าองศาไม่ถูก จะทำให้ลมทั้งสองด้านปะทะกันเอง จะเกิด Flow Drop ไม่เกิดผลดีครับ
ภายใน
เกจ์วัด : Defi
วัดรอบ : AUTO METER
เบาะ : HKS
เข็มขัดนิรภัย : TAKATA
พวงมาลัย : NARDI ORIDO STYLE
ปรับบูสต์ : GReddy Profec B Spec II
โรลบาร์ : SAFETY 21
หัวเกียร์ : Type R Style
- หลังจากตอนนี้ไป จะย้ายอินเตอร์มาอยู่ที่ “ด้านซ้ายในห้องเครื่องแทน” เหตุผล คือ “ต้องการเอาน้ำหนักที่ Over Hang (ส่วนที่ยื่นพ้นล้อไปจนถึงสุดปลายของตัวรถ) ด้านหลังออกไป” ตรงที่ห้องเก็บของด้านท้ายมีอินเตอร์ใบใหญ่อยู่ เป็นส่วน Over Hang พอดี จะยิ่งทำให้ท้ายหนัก หน้าก็จะลอย ซึ่งการวางอินเตอร์ในตำแหน่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันไปแก้ Balance ของรถที่อย่างอื่นได้ แต่เมื่อย้ายมาอยู่ในห้องเครื่องแล้ว น้ำหนักตรงนี้จะหายไป ย้ายไปกด “ด้านซ้ายของรถ” แทน เพราะอินเตอร์ชุดใหม่จะอยู่ตรงตำแหน่งข้ามซุ้มโช้คอัพหลังซ้ายพอดี ก็จะยิ่งทำให้สมดุลมากขึ้น และทำท่ออินเตอร์ได้สั้นลงมาก ส่งผลให้บูสต์มาไวขึ้นด้วยครับ ต้องยอมรับว่าการคิดอะไรแต่ละอย่าง มันส่งผลกระทบมากมายจริงๆ
เครื่องยนต์
รุ่น : 3S-GTE
วาล์ว : SUPERTECH
สปริงวาล์ว : TODA
เฟืองแคมชาฟท์ : TODA
แคมชาฟท์ : TODA 288 องศา
ลูกสูบ : ARIAS 87.0 มม.
ก้านสูบ : MANLEY
แบริ่งชาฟท์ : CALICO
เทอร์โบ : GReddy T78-33D
เวสต์เกต : HKS GT2
เฮดเดอร์ : PREECHA HEADER
อินเตอร์คูลเลอร์ : TRUST
ท่อร่วมไอดี : R SPEC 2 Custom Made
หัวฉีด : BOSCH 1,600 c.c.
รางหัวฉีด : SARD
เร็กกูเลเตอร์ : HOLLEY
หม้อน้ำ : R SPEC 2
สายหัวเทียน : MSD
คอยล์ : MSD
ตัวเพิ่มกำลังไฟ : JSK HYBRID CDI
กล่อง ECU : HKS F-CON V PRO 3.3 by ตู่ โคราช
- ติดตั้งอุปกรณ์ภายในได้อย่างเรียบร้อย แน่นหนา สวยงาม แถมลงยันต์เจ้าสำนัก Garage Active ที่มีความเชี่ยวชาญ MR2 และสนิทสนมกับ R SPEC 2 เป็นอย่างดี
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ : 3S-GTE Custom Made by R SPEC 2
คลัตช์ : OS
ลิมิเต็ดสลิป : Custom Made by R SPEC 2
เพลาข้าง : Custom Made by R SPEC 2
- การตั้งความสูงของรถด้านหน้าและหลังก็สำคัญ MR2 คันนี้ ที่ใช้ยางสลิค จะเซตแบบ “หน้าทิ่มนิดๆ” เพราะตอนออกตัวและตอนวิ่งเร็ว ทั้งกระแสลม รวมถึงการยุบของยางสลิคที่มากกว่ายางเรเดียล จะทำให้รถ “ท้ายต่ำ” กลับมา “สมดุล” พอดี
ช่วงล่าง
โช้คอัพหน้า-หลัง : A’PEXi Setting by R SPEC 2
สปริงหน้า-หลัง : SWIFT
เหล็กกันโคลง : TRD
ชุด Links ช่วงล่าง : Custom Made by R SPEC 2
ล้อหน้า : RACING HART CP 035 ขนาด 7 x 16 นิ้ว
ล้อหลัง : SSR DORI DORI MESH ขนาด 8 x 15 นิ้ว
ยางหน้า : HANKOOK VENTUS R-S3 ขนาด 205/50R16
ยางหลัง : HOOSIER DRAG RADIAL ขนาด 275/50R15
————————————————————–
- ตัวแรงยางเรเดียล ที่เน้นความลงตัวในทุกด้าน สามารถวิ่งเวลาคงที่ และดีขึ้นได้เรื่อยๆ
Max Power: 680.86 PS @ 7,800 rpm
Max Torque: 67.47 kg-m @ 6,600 rpm
คันนี้กราฟแรงม้าก็จะมาแบบไม่พรวดพราดมาก เพราะต้องการให้เป็นรถที่ขับบนถนนได้สนุกด้วย จึงต้องคำนึงถึง Power Band ที่มาแบบไม่พรวดพราด ให้ควบคุมได้ง่ายด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ รถคุมง่าย มันก็ไปได้แบบไม่เครียด คนขับก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ค่อนข้างแน่นอน เพราะการแข่งมันมีสภาวะแวดล้อมต่างกันไปตลอด ต่อให้เป็นสนามเดียวกันก็ตาม เอ้า มาถึงกราฟกันบ้าง ผมเชื่อว่าหลายคนที่เป็นแฟนคันนี้ ก็อยากจะดูซิว่ามันกี่ม้ากันวะ ขอพูดรวมๆ เลยแล้วกัน ในช่วง 5,000 rpm กราฟก็จะค่อยๆ ทะยานขึ้น ช่วงแรงม้าที่ใช้จริงก็ควรจะอยู่ตั้งแต่ 500 PS ไปจนถึงจุด Peak 680.86 PS ที่ 7,800 rpm อาจจะดูตัวเลขไม่โหดมาก แต่มีการเซตช่วงล่างที่ดี คนขับมีประสบการณ์สูงขึ้น สามารถใช้แรงม้าได้เต็มที่ ส่วนแรงบิดก็มาในลักษณะเดียวกัน คู่ขนานไปกับแรงม้า ขึ้นจุด Peak ได้ค่าสูงสุด 661.61 Nm หรือ 67.47 kg-m ที่ 6,600 rpm ครับ นับว่าเป็นรถที่ “แรงกำลังดี” ไม่ค่อยมีปัญหา วิ่งได้สม่ำเสมอครับ…
TECH SPEC
ภายนอก
กันชนหน้า : GARAGE SPL
ไฟหน้า : GARAGE SPL
ฝากระโปรงหน้า : BORDER
ฝากระโปรงหลัง : AUTO CREATION
สเกิร์ตรอบคัน : BORDER
- อุปกรณ์ครบถ้วน แอร์เย็น เพลงเพราะ เบาะนุ่ม เรียบร้อยดี
- ลักษณะนี้เป็น Belt สำหรับการแข่งขัน แถบเข็มขัดจะต้องมีขนาดใหญ่ตามกติกากำหนดถึงจะผ่านการตรวจสภาพ “อย่าต่อรองเรื่องความปลอดภัย” เลยครับ เราเป็นห่วงทุกคน
ภายใน
เกจ์วัด : Defi
เรือนไมล์ : CYBER STORK Style
เบาะ : RECARO
เข็มขัดนิรภัย : TAKATA
พวงมาลัย : NARDI
ปรับบูสต์ : GReddy Profec B Spec II
โรลบาร์ : SAFETY 21
หัวเกียร์ : TRD
- ห้องเครื่องเรียบร้อย สไตล์ Street Used ที่ไม่ง่ายนัก เพราะต้องจัดวางอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาให้ลงตัว โดยที่รถสามารถ
เครื่องยนต์
รุ่น : 3S-GTE
วาล์ว : FERREA
สปริงวาล์ว : BC
เฟืองแคมชาฟท์ : HKS
แคมชาฟท์ : HKS 272 องศา
ลูกสูบ : CP 86.5 มม.
ก้านสูบ : EAGLE
แบริ่งชาฟท์ : CALICO
อ่างน้ำมันเครื่อง : ARC
เทอร์โบ : GReddy T78-33D
เวสต์เกต : HKS GT2
เฮดเดอร์ : PREECHA HEADER
อินเตอร์คูลเลอร์ : BLITZ
ท่อร่วมไอดี : R SPEC 2 Custom Made
หม้อพักไอเสีย : PREECHA HEADER Titanium
หัวฉีด : BOSCH 1,600 C.C.
รางหัวฉีด : SARD
เร็กกูเลเตอร์ : HKS
หม้อน้ำ : R SPEC 2
สายหัวเทียน : MSD
คอยล์ : MSD
กล่อง ECU : HKS F-CON V PRO 3.3 by V-TUNER
- การเซตความสูงก็ไปในทิศทางเดียวกัน แคมเบอร์ล้อหลัง “บวก” เล็กน้อย เวลาออกตัวจะยุบมาเป็น “ศูนย์” หน้ายางแนบเต็มพอดี ซึ่งมุมล้อนั้นก็กำหนดด้วยหลายทิศทาง เช่น แรงม้าของรถ ถ้าแรงม้ามาก หรือพื้นแทร็กหนึบและเกาะมาก รถก็จะยิ่งยุบเยอะจนแคมเบอร์จะเป็น “ลบ” ยางแนบไม่เต็มหน้า ตรงนี้ต้องอาศัย “ประสบการณ์” และการ “ฝึกซ้อม” บ่อยๆ เพื่อหาค่าที่ดีที่สุด “ณ ขณะนั้น” จึงไม่มีคำตอบสำหรับค่าตายตัวใดๆ ทั้งสิ้นครับ
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ : 3S-GTE by R SPEC 2 5 สปีด
คลัตช์ : OS
ลิมิเต็ดสลิป : R SPEC 2
เพลาข้าง : R SPEC 2
ช่วงล่าง
โช้คอัพหน้า-หลัง : A’PEXi Setting by R SPEC 2
สปริงหน้า-หลัง : SWIFT
ชุด Links ช่วงล่าง : ORT
ล้อหน้า : VOLK CE28 ขนาด 7.5 x 17 นิ้ว
ล้อหลัง : VOLK CE28 ขนาด 10 x 17 นิ้ว
ยางหน้า : TOYO PROXESS R1R ขนาด 215/45R17
ยางหลัง : TOYO PROXESS R1R ขนาด 275/40R17
————————————————————–
- คันนี้เน้นจัดหนัก “ของแบรนด์” ผสม “Thai Custom” แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ “ลงตัว” สไตล์ “จ้ำม่ำ” นั่นละ
Max Power: 753.3 PS @ 7,928 rpm
Max Torque: 84.43 kg-m @ 6,026 rpm
คันนี้แรงม้าเยอะที่สุดในกลุ่มแล้วครับ เพราะเน้นใส่ของดีๆ หลายอย่าง ประมาณว่า “อยากทำ” เอาไว้เป็นชื่อเสียงอู่ สำหรับคอนเซ็ปต์ก็ยังเน้นความเป็นรถวิ่งถนนได้ มีแอร์ แต่ต้องแรงด้วย อันนี้แหละที่ไม่ง่าย เพราะคำว่า “แรงมาก” กับ “ขับถนนได้” มันสวนทางกันอยู่แล้ว ก็เป็นการบ้านแล้วล่ะ ว่าจะทำอย่างไรให้ “ลงตัว” ไม่เหมือนรถแข่งเต็มตัว ทำแรงได้เลย เพราะมีจุดมุ่งหมายเดียว ไม่ต้องคำนึงถึงความสบายอื่นๆ เอาละครับ กราฟของคันนี้ เริ่มถีบตั้งแต่ 5,000 rpm ขึ้นไป แล้วก็เริ่มนอนตั้งแต่ 6,000 rpm นอนไปถึง 8,000 rpm ซึ่งกราฟแรงม้า (สีแดง) ก็ยังไม่ตก แต่ก็ไม่ขึ้น อยู่จุด Peak ได้แรงม้า “753.3 PS” ที่เกือบ 8,000 rpm ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้รอบไปมากกว่านี้ได้อีกหน่อย ส่วนกราฟแรงบิด (สีเขียว) ขึ้นจุด Peak ในช่วง 6,000 rpm ได้ค่าสูงสุดถึง “84.43 kg-m” ไม่น้อยนะครับสำหรับเครื่อง 2 ลิตร สังเกตดูช่วง 5,000 rpm ไป 5,500 rpm ต่างกันเพียง 500 rpm แรงบิดถีบต่างกันถึง 20 kg-m พรวดพราดเลยทีเดียว นับว่าถ้ารถคันนี้สามารถ “จับม้า” ได้หมดจริงๆ อัตราเร่งน่ากลัวครับ…
TECH SPEC
ภายนอก
กันชนหน้า : TBO
ไฟหน้า : ART SPORT
ฝากระโปรงหน้า : AUTO CREATION
ฝากระโปรงหลัง : AUTO CREATION
กระจกมองข้าง : Craft Square
สเกิร์ตข้าง : GReddy
ชายกันชนหลัง : GReddy
- ภายในเน้นคาร์บอนฟรุ้งฟริ้ง ขอเนี้ยบๆ สไตล์ Street Used
ภายใน
เกจ์วัด : Defi
วัดรอบ : AUTO METER
เรือนไมล์ : TRD
เบาะ : BRIDE
เข็มขัดนิรภัย : SIMPSON
พวงมาลัย : NARDI
ปรับบูสต์ : GReddy Profec B Spec II
โรลบาร์ : SAFETY 21
หัวเกียร์ : HONDA Type R Titanium
- แรงม้าเยอะสุดครับคันนี้ ห้องเครื่องเน้นฟรุ้งฟริ้งด้วย “ท่อไทเทเนียม”
เครื่องยนต์
รุ่น : 3S-GTE
สปริงวาล์ว : JUN
เฟืองแคมชาฟท์ : JUN
แคมชาฟท์ : JUN 272 องศา
ลูกสูบ : CP 86.5 มม.
ก้านสูบ : EAGLE
แบริ่งชาฟท์ : CALICO
เทอร์โบ : GReddy T78-33D
เวสต์เกต : HKS GT2
เฮดเดอร์ : PREECHA HEADER
อินเตอร์คูลเลอร์ : TRUST
ท่อร่วมไอดี : R SPEC 2 Custom Made
หม้อพักไอเสีย : Titanium
หัวฉีด : BOSCH 1,600 C.C.
รางหัวฉีด : SARD
เร็กกูเลเตอร์ : HKS
หม้อน้ำ : R SPEC 2
สายหัวเทียน : MSD
คอยล์ : MSD
กล่อง ECU : MoTeC M4 by POR MOTORSPORT
- คันนี้ใช้ล้อหน้าขอบ 16 นิ้ว ลดภาระในการหมุน แต่ยังคงหน้ากว้างของยางไว้เท่าเดิม
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ : 3S-GTE Modified by R SPEC 2
คลัตช์ : OS
ลิมิเต็ดสลิป : TRD
เพลาข้าง : R SPEC 2
ช่วงล่าง
โช้คอัพหน้า-หลัง : TEIN Setting by R SPEC 2
ชุด Links ช่วงล่าง : R SPEC 2 Custom Made
เหล็กกันโคลง : TRD
ล้อหน้า : VOLK TE37 ขนาด 7.5 x 16 นิ้ว
ล้อหลัง : VOLK TE37 ขนาด 9.5 x 17 นิ้ว
ยางหน้า : YOKOHAMA AD08R ขนาด 215/45R16
ยางหลัง : TOYO R1R ขนาด 275/40R17
เบรกหน้า : PROJECT Mu
X-TRA ORDINARY
คราวนี้เรามาเม้าท์กันที่ “ตัวขี่” มั่งดีกว่า ซึ่งทั้งสองคน “กอฟฟี่” และ “จ้ำม่ำ” แห่งทีม NaRaKa Org. King นิสัยดีทั้งคู่ แต่ต่างคนก็จะมีลักษณะเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกันไป อย่าง กอฟฟี่ ก็จะเป็นนักขับที่ “อะไรก็ได้” ออกลูกใจถึง ว่ากันไปตามอาการของรถแต่ละคัน ที่จะมีความแตกต่างกัน ส่วน จ้ำม่ำ จะเป็นสไตล์ “เน้นเป๊ะ” ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่วางไว้ ใจถึงเหมือนกัน แต่ขอเซตรถมาเป๊ะๆ หน่อยแล้วกัน ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็มีความแม่นยำในการขับขี่อยู่แล้ว รวมถึงมีวินัยในการซ้อม เลยมีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…