Childhood Memory LB Nation Z33 350Z Clayton Cunningham Racing Livery

 

STORY   : นิธิวัชร์ ทิพยทัศน์ / PHOTO : วรุตม์ สีหนาท

Childhood Memory

LB Nation Z33 350Z Clayton Cunningham Racing Livery

เคยมีความทรงจำในวัยเด็กที่เราอยากย้อนกลับไปไหมครับ? ผมคงเป็นหนึ่งในใครอีกหลายๆ คนที่มีความทรงจำ ความชื่นชอบ ความประทับใจอะไรหลายๆ อย่างในวัยเด็ก นั่นเป็นคำถามเริ่มต้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น “Concept” ในการทำรถคันนี้เลยก็ว่าได้ รถคันนี้เป็นรถของหนึ่งในหุ้นส่วนและผู้ก่อตั้ง Infinite Motorsport หรือ Liberty Walk Thailand

นิธิวัฒน์ ทิพยทัศน์หรือเงาะนั่นเอง ซึ่งเป็นคันที่ 2แล้ว ที่เขาได้สร้างขึ้นมา คันแรกเพื่อนๆ อาจจะพอจำได้ คือเจ้า Liberty Walk Z4 E85 ที่เราเคยได้นำเสนอไปแล้ว สำหรับรายละเอียดและที่มาที่ไปของเจ้ารถคันนี้ ให้เจ้าตัวเขาเหลาให้ฟังเองกันเลยดีกว่า

ภาพความทรงจำตอนเด็กมักเป็นสิ่งที่สวยงามและสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา วันหนึ่งภาพเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมากระตุ้นให้เราอยากสร้างหรืออยากมีภาพเหล่านั้นให้มีขึ้นและสัมผัสได้จริงอีกครั้ง ด้วยความที่ผมเป็นเด็กโรงเรียนประจำชายล้วน  ภาพความทรงจำในวัยเด็กก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกครับ ผมเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยี ของเล่น รวมไปถึงรถมาตั้งแต่เด็กๆ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ต้องเข้าห้องสมุด หานิตยสารเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองชอบ บางเล่ม บางอย่าง ไม่มี ก็อาศัยรบกวนคุณครูฝากซื้อเข้ามาให้ หรือถ้ามีโอกาสได้เข้าห้องคอมพ์แล้วละก็ ผมจะคลุกอยู่ในนั้นได้เป็นวันเลยล่ะ แต่สมัยนั้นอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่ได้กว้างขวางขนาดนี้  ก็เลยอาศัยเปิดไปเรื่อย ท่องไปเรื่อย ดูภาพไปเรื่อย จนเกิดสิ่งที่ชอบและเป็นภาพจำ ว่าวันหนึ่งเราอยากจะได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสิ่งเหล่านั้น

เมื่อเติบโตขึ้น สิ่งที่เคยสนใจหลายอย่างมากมายก็จะถูกจำกัดให้มันแคบลง จนหลงเหลือเพียงแค่สิ่งที่เราหลงใหล และคลั่งไคล้จริงๆ เท่านั้น สำหรับผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเครื่องยนต์คือสิ่งที่ผมหลงรักและคลั่งไคล้ จนเรียกได้ว่าบ้าเลยล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาพร้อมเหมือนกันทุกคน ผมก็เป็นแค่คนหนึ่งที่ไม่หยุดฝัน และพร้อมจะก้าวเข้าไปหามันทุกครั้งที่มีโอกาส  นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมมีโอกาสเอาภาพความทรงจำในวัยเด็กมาสานต่อ ผนวกไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก รวมไปกับความเป็นปัจจุบัน จึงเกิดเป็นโปรเจกต์รถคันใหม่นี้มา ทำภาพให้กลายเป็นของจริง

หลังจากที่ผมขายรถคันเก่า คือ Liberty Walk Z4 E85 ไป ก็มองหารถที่จะเข้ามาประจำการต่อ ด้วยความที่ยังคงประทับใจกับการที่ลมประทะหน้าของรถเปิดหลังคาได้อยู่ ก็คิดไว้แน่ๆ แล้วว่า ยังไงก็ต้องหารถเปิดประทุนต่อละ แต่อะไรดีล่ะ? ด้วยความที่ผูกพันกับนิสสันมาตั้งแต่รถคันแรก ประกอบกับว่าทาง LB ได้ออกโปรดักต์ตัว Z33 หรือที่เรารู้จักกันในนาม 350Z มาพอดี ก็เหมาะเจาะ เพราะในบอดี้นี้ก็มีตัวที่เป็น Roadster คือเปิดหลังคา ซึ่งเป็นหลังคาผ้าได้นั่นเอง ก็เลยตามหารถในบอดี้นี้และต้องเป็นเครื่อง HR ซึ่งเป็นตัวไมเนอร์เชนจ์สุดท้าย ก่อนที่จะเปลี่ยนโฉมเป็น 370Z นั่นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด ตัวเลือกมีน้อยมาก ใช้เวลาสักพักใหญ่ก็หาจนเจอกับเจ้ารถคันนี้

ทำไมต้อง Roadster และทำไมต้อง HR? Roadster คือคำจำกัดความในภาษาอังกฤษ สำหรับรถเปิดหลังคาและต้องมีเพียงสองที่นั่งเท่านั้น ช่วงรถที่สั้นกระชับในรูปแบบของรถ Coupe หรือรถสองประตู ทำให้มีความคล่องตัวและสนุกในเวลาขับ บวกกับความที่สามารถเปิดหลังคารับลมได้ สำหรับผม มันเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้อีกมากโขเลยล่ะ แต่ถ้ามีรถสปอร์ตสองประตูแถมเปิดหลังคาได้ แต่เครื่องยนต์ไม่หนำใจ แล้วมันจะไปสนุกอะไรล่ะ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมต้อง HR ในบอดี้ Z33 นี้ มีเครื่องยนต์ที่ถูกประจำการหลักๆ อยู่สองตัว ก็คือ VQ35DE และ VQ35HR ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องยนต์ในรูปแบบ V6 3,500 ซี.ซี. แตกต่างกันคือ DE จะมีลิ้นเร่งเดียว แต่ HR จะมี 2 ลิ้นเร่ง นั่นทำให้ HR สามารถดูดอากาศเข้าได้มากกว่า และนั่นทำให้ได้แรงม้าที่ได้เพิ่มจาก 291 ในตัว DE มาเป็น 310 ในตัว HR และความหมายอีกอย่างของตัว HR คือ High Rev นั่นคือ การเพิ่มรอบเรดไลน์ขึ้นไปที่ 7,500 รอบ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ กำลังทอร์คที่มากขึ้นตลอดช่วง เพิ่มความสนุกได้มากขึ้นอีกเยอะเลยครับ

หลังจากได้รถที่พอใจมาแล้ว ก็ถึงเวลาต้องจับมันมาโมดิฟายกันแล้วล่ะ เห็นเขาบอกกันว่า ขับเดิมๆ ยอมเดินดีกว่า งั้นก็ต้องลุยกันเลย ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ เนื่องจากตัวผมเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Liberty Walk อยู่แล้ว จังหวะเหมาะกับที่ทางแบรนด์ออกตัวชุดพาร์ทสำหรับ Z33 มาพอดี ลงตัวเป๊ะ จัดการสั่งสินค้า รอกระบวนการผลิต สองเดือน สินค้าก็มาถึงเมืองไทยพอดี แต่!!  Liberty Walk สำหรับ Z33 ได้ถูกออกแบบมาให้ Face off หรือแปลงหน้าเป็น Z34 ซึ่งก็คือ 370Z ปัญหาก็คือ ผมไม่ชอบหน้าของ 370Z น่ะสิ เรื่องมันเลยไม่ได้จบง่ายเพียงแค่ประกอบติดตั้ง อย่างที่ผมเคยพูดกับหลายๆ คนไปแล้วว่า จริงอยู่ที่พาร์ท Liberty Walk เป็นชุดพาร์ทสำเร็จรูป สั่งมาใส่ 3-4 คัน มันก็เหมือนกันหมดน่ะสิ? มันมีวิธีสร้างความแตกต่างได้อยู่มากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสี การเลือกล้อ ไปจนถึงการทำลวดลายสติกเกอร์ลงบนตัวรถ แต่มากกว่านั้น หากเรามีไอเดีย มีความชอบที่มากกว่าสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นมา เราก็สามารถคุยกับทาง Liberty Walk Japan เพื่อแชร์ไอเดียและทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ เหมือนอย่างรถคันนี้ ผมก็ทำการคุยกับทางญี่ปุ่น ว่าผมยังคงชอบไฟหน้าของ 350Z อยู่นะ ยังชื่นชอบหน้าตาแบบนี้อยู่ ก็แชร์ไอเดียวิธีการดัดแปลงแก้ไข ภาพที่จะออกมาคร่าวๆ จึงได้รับการอนุญาตให้ดัดแปลงแก้ไข เพื่อเข้ากับชุดไฟหน้าของ 350Z ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอู่พันธมิตรของเรา ก็คืออู่ Garage Unique ในการแก้ไข ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ Infinite Motorsport โดยทุกขั้นตอนเราก็มีการฟีดแบ็กคุยกับทางญี่ปุ่นตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่ารถคุณจะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นของแท้ ทุกการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้รับความยินยอมจากเจ้าของลิขสิทธิ์แล้วทั้งสิ้นครับ หลังจากแก้ไขกันชนหน้าเข้ารับกับไฟหน้าเป็นที่เรียบร้อย ก็ประกอบส่วนอื่นๆ ของพาร์ทตามเข้าไปแบบเข้ารูปสนิท ไม่ต้องดัดแปลงกัน เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน พร้อมจะเป็น LB 350Z Roadster คันแรกของโลกกันแล้วล่ะ

ประกอบเสร็จ ก็ส่งไปทำสีต่อกันที่ 333 Garage อีกหนึ่งพันธมิตรของเรา ซึ่งเราก็เลือกสีเทา Crayon Grey หยิบยืมมาจาก Porsche ประกบกันหลังคาแดง ซึ่งจริงๆ มันก็ลงตัวมากอยู่แล้วล่ะ หลังจากนั้นก็ดำเนินการติดตั้งชุดถุงลม Airrex Performance Air Suspension กันต่อ ซึ่งถุงลมของ Airrex นั้น จะเน้นที่สมรรถนะการขับขี่เป็นหลักมากกว่าจะเป็นแค่ความสวยงามอย่างเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่า ช่วงล่าง Airrex ใน 350Z นั้น ไม่เป็นสองรองใครเลยล่ะครับ ขับมันส์จริงๆ ไม่เชื่อต้องมาลองดู มาต่อกันที่ล้อ ก็เป็นล้อจากทาง Liberty Walk นั่นเอง จับคู่กับยาง Pirelli P Zero ขนาด 19 นิ้ว รถก็ออกมาสมบูรณ์แบบเป็นคันแล้ว แต่มันจืดชืดไปไหม สำหรับ 350Z เปิดประทุน พาร์ท LB คันแรกคันนี้

ตามสไตล์ของ Liberty Walk Thailand รถทุกคันจะออกไปเรียบๆ ก็จะขัดใจพวกเรา ขอมีลวดลายสักนิดหน่อยก็คงดี ตอนแรกคันนี้ก็จะไปแนวทางเรียบๆ เช่นกัน แต่เรียบๆ กับพวกเราไม่เคยมีจริงครับ ด้วยความที่ตัวผมชอบรถแข่งมากๆ  ตั้งแต่ทำเซฟิโร่ หัวท้าย R32 ก็เป็นลาย Calsonic จนมาเป็น GTR R32 ก็ยังคงลาย Calsonic ไว้ ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้ Calsonic ก็เป็นลวดลายหนึ่งที่เป็นตำนาน สำหรับคนที่ชื่นชอบเจ้าก๊อดซิล่า ไม่ว่าจะเป็นโฉมไหน ทุกคนก็น่าจะรู้จักเจ้าลาย Calsonic นี้เป็นอย่างดี แต่กับเจ้า Z ล่ะ ลายอะไร?

ถ้านึกถึงเจเนอเรชันของเจ้า Z คงต้องย้อนกันไปถึง 240Z ไล่เรียงมา 260Z, 280Z,  300ZX, 350Z และปัจจุบันที่ 370Z แต่พอมองไปที่รถแข่ง เจ้า Z กลับไม่ค่อยมีตำนานโด่งดังอย่างฝั่ง GTR อาจจะเป็นสรีระที่ถูกออกแบบมาให้มีความเป็นผู้ดีมากกว่าดิบโหด ประวัติความโชกโชนในสนามแข่งจึงไม่มากมายนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว หนึ่งในการแข่งขันสุดโหดของโลกฝั่งเซอร์กิตก็คงจะหนีไม่พ้นการแข่งขันในรูปแบบของเอนดูรานซ์ หรือการแข่งขันในรูปแบบระยะเวลายาว ไล่ตั้งแต่ 4 ชม., 6 ชม., 10, 12, 24 ชม. ตามลำดับ รายการที่ใหญ่ที่สุดของโลกเอนดูรานซ์ก็คงหนีไม่พ้น 24 Hours of Daytona และ 24 Hours of Le Mans ซึ่งในปี 1994 รถแข่งในบอดี้ 300ZX จากทีม The Clayton Cunningham Racing ได้รับชัยชนะอันดับ 1 Overall ที่ Daytona และได้อันดับ 1 ในรุ่น GTS อันดับ 5 Overall ที่ Le Mans โดยการขับของนักแข่งระดับตำนาน Steve Millen พร้อมเพื่อนร่วมทีมของเขา ในรถจริงหมายเลข 76 แต่ก็มีรถอีกคันของทีมที่เป็นเบอร์ 78 และก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมเลือกลายและเบอร์นี้ เพราะเป็นเบอร์ที่ผูกพันกับผมมากๆ เพราะมันเป็นเลขรุ่นของผมที่เรียนที่วชิราวุธนั่นเอง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับการแข่งขันอันสุดโหด  และยิ่งต้องประชันกับรถแข่งระดับโลกจากทีมโรงงานต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น Porsche, Ferrari, Bugatti, BMW, Alfa, Lotus, Toyota, Honda, Mazda และอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นเหตุให้ผมซึ่งหลงใหลในโลกมอเตอร์สปอร์ตได้มารู้จักกับเจ้าตำนานคันนี้ และเลือกลายที่เป็นที่จดจำมาใส่ไว้ในรุ่นเหลนของเขา เพื่อให้ลายที่เป็นตำนานยังมีลมหายใจและร่วมสมัยไปกับรถในยุคปัจจุบัน

หลังจากที่ได้ลวดลายลงบนบอดี้จนเรียบร้อย ก็เสริมแต่งกันอีกนิดหน่อยกับในห้องเครื่อง กรองอากาศจาก Gruppe M ที่ถูกจัดมาเพื่อช่วยการดูดอากาศที่ดียิ่งขึ้น ค้ำโช้คหน้าและค้ำคานหน้าจาก Cusco ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรถ เพื่อมาชดเชยกับความอ่อนของหลังคา เนื่องจากเป็นหลังคาผ้า ต่อด้วยของจุกจิกเล็กน้อยจาก Nismo ได้แก่ ฝาน้ำมันเครื่อง ฝาหม้อน้ำ จับฝาครอบเครื่องพ่นสีแดงเพื่อความหล่ออีกสักนิด แล้วใส่โช้คค้ำฝากระโปรงเข้าไป จะได้ไม่ต้องมาคอยจับตั้งไม้ค้ำมาบังความหล่อของเครื่องให้รำคาญใจ เพิ่มความแรงกันอีกนิด กับการจูนกล่องเดิมและปลดล็อกความเร็ว ฝีมือจากอู่ Power Lab เมื่อแรงได้ที่แล้ว ก็ต่อกันที่รอบนอกของตัวรถ  นอกจากความโดดเด่นของพาร์ท Liberty Walk แล้ว ก็ได้กระจกมองข้างจาก Ganador นี่แหละมาช่วยเพิ่มความหล่อและลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วงล่างดีก็ได้มาจาก Airrex แล้ว เบรมเดิมๆ ของตัว Z33 Minor change ก็ให้มาเป็น Brembo ซึ่งก็ยังคงเพียงพอกับการใช้งานอยู่ (เปล่าหรอก จริงๆ ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ แต่ต้องถ่ายแล้ว เลยต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน) ลามมากันที่ภายใน เบาะเดิมๆ สีแดง ปรับไฟฟ้าก็นั่งสบายดี ปรับสะดวก แถมสีสันก็ยังเข้ากับการตกแต่งตอนนี้อยู่ เลยขอคงไว้แบบนี้ก่อน พวงมาลัยก็ต้องสีแดงให้เข้ากับเบาะ จึงจับเปลี่ยนใหม่เป็น Momo Mod.78 อาคันทาร่า สีแดง ประกอบด้านหลังด้วยแพดเดิ้ลชิฟต์คาร์บอนจาก WorksBell นอกเหนือจากนี้ก็จะเป็นของตกแต่งจุกจิกจาก Nismo อีกแล้ว ไล่กันไปตั้งแต่ แป้นแตร ครอบกระจกมองหลัง พรมแยกชิ้น และกาบบันได ที่ขาดไม่ได้คงเป็นเรือนไมล์หล่อๆ ที่บอกความเร็วได้ถึง 300 แต่จะใส่ Nismo ก็กลัวจะเหมือนคนอื่น เลยขอแปลกแยกด้วยเรือนไมล์จาก Impul และครอบคาร์บอนในหลายๆ จุด จาก RSW สุดท้ายห้อยกระจกมองหลังด้วยป้ายห้อยกระจกจาก LB ลิมิเต็ดอิดิชันลายธงชาติไทย เท่านี้ก็จบกระบวนการของรถคันนี้

อย่างที่ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้น ว่าการที่เราจับเอาภาพความทรงจำในวัยเด็กมาผนวกด้วย กระแสนิยมที่เป็นปัจจุบัน ร่วมสมัย มันช่วยสูบฉีดเลือดในร่างกายให้เราได้กระปรี้กระเปร่า  เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ผมก็หวังว่าเพื่อนๆ จะมีความทรงจำที่ชื่นชอบในวัยเด็ก และผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็สามารถที่จะตามฝันในวัยเด็กให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เพียงแต่อย่าทิ้งความฝันมันไปซะก่อนล่ะ สักวันมันต้องมาถึงอย่างแน่นอนครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ ก็ติดต่อสอบถามเข้ามาได้ที่

Infinite Motorsport

5 ซอยสังคมสงเคราะห์ 12/1

08-0123-4878