ท่าน “รู้จัก” น้ำมันหล่อลื่น แต่ท่าน “รู้ดี” กับมันแค่ไหน ???

 

มีคำถามมากมายว่าจะเลือกน้ำมันหล่อลื่นอย่างไรให้ดีที่สุด เพราะน้ำมันหล่อลื่นมีหลากหลายเกรด หลายสูตร หลายราคาเหลือเกินในท้องตลาด วันนี้ XO ขอเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับน้ำมันหล่อลื่นที่มีขายหลากหลายเกรดในท้องตลาด รวมไปถึงส่วนสำคัญเกี่ยวกับ “การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นอย่างถูกต้อง” กับรถที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน แบ่งปันความรู้โดย น้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียม FURiO (ฟิวริโอ้) เขาจัดให้ครับ…

คุณสมบัติของน้ำมันหล่อลื่น

สำหรับ “หน้าที่” ของน้ำมันหล่อลื่น เป็นที่ประจักษ์ตามชื่อของมันอยู่แล้วว่า “หล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์” ลดการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนขณะทำงาน ซึ่งยุคโบราณ ก็จะเป็นพวกน้ำมันดิบซื่อๆ (Crude) เพราะเครื่องโบราณรอบต่ำมาก กำลังก็น้อย แต่เครื่องรุ่นใหม่ที่สมรรถนะสูง ต้องมีการพัฒนาโดยการผสมสาร Additive หรือ “สารเพิ่มประสิทธิภาพ” ต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์เข้าไป เพื่อยกระดับและประสิทธิภาพในการหล่อลื่น เพิ่มความคงทน (Durable) ให้น้ำมันหล่อลื่นมีอายุการใช้งานยืนยาวขึ้น ทนความร้อน ทนแรงเสียดสีได้สูงขึ้น ในอีกด้านที่เป็นหน้าที่ของมันแต่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง คือ “การระบายความร้อน” ออกจากเครื่องยนต์ในอีกส่วนหนึ่งด้วยนะครับ อีกประการหนึ่งคือ “ชะล้างคราบเขม่าต่างๆ จากการจุดระเบิด ออกจากชิ้นส่วนภายใน” ซึ่งก็จะต้องผสมสารชะล้าง (Detergent) เข้าไป เห็นไหมครับ หน้าที่ของมันนอกจากจะหล่อลื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกหลายประการเพื่อรักษาเครื่องยนต์ให้มีอายุยาวนานที่สุด…

ประเภทของน้ำมันหล่อลื่น

สำหรับ “ประเภทของน้ำมันหล่อลื่น” โดยหลักแล้วก็จะแบ่งเป็นเรื่องของ “การผลิต” เริ่มจากน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ หรือ “Fully Synthetic Oil” คำว่า “สังเคราะห์” คือ “ไม่ได้มีที่มาจากธรรมชาติ” จะใช้วัตถุดิบจำพวก “โพลิเมอร์” (Polymer) เป็นพื้นฐาน ซึ่งทนความร้อนได้สูง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น จึงนิยมใช้กับรถสมรรถนะสูง แรงม้าเยอะ และก็มีการต่อยอดไปเป็นเกรดสำหรับการแข่งขันที่เหนือชั้นไปอีกหลายระดับก็จริง แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามคุณภาพ เหมาะกับรถใหม่หรือรถที่ใช้งานเป็นประจำ หรือวิ่งมากกว่า 50 กม./วัน

อีกอันที่เป็นการผสมผสานกันอยู่ตรงกลาง คือ “น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์” หรือ Semi-Synthetic ที่ปัจจุบันนี้นิยมกันแพร่หลาย เพราะเอาส่วนสังเคราะห์มาผสมกัน ทำให้เพิ่มขีดความสามารถของน้ำมันหล่อลื่นธรรมดาให้ดีขึ้น ส่วนราคาก็ไม่สูงเท่ากับสังเคราะห์ 100 % เรียกว่าพอจะสบายกระเป๋าอยู่… การใช้งานก็จะเหมาะกับรถที่ใช้งานน้อย หรือรถยนต์ที่วิ่งต่ำกว่า 50 กม./วัน

อันสุดท้ายน้ำมันหล่อลื่นแบบ “ผลิตจากน้ำมันดิบธรรมชาติ” หรือ Mineral Oil ทั่วๆ ไปก็จะเรียกว่า “น้ำมันหล่อลื่นธรรมดา” ซึ่งมีข้อดีที่ราคาไม่แพง หาง่าย เหมาะสำหรับรถคลาสสิค รถเก่า หรือรถที่จอดทิ้งไว้เป็นส่วนใหญ่

แต่ต้องดูให้ดีนะครับกับ “คำโฆษณา” ของน้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์ ที่ตอนนี้จะนิยมใช้ “คำการตลาด” ประมาณว่า Synthetic Blend หรือ Synthetic Quality จะสื่อให้ “ไขว้เขว” ว่ามันเป็น สังเคราะห์ 100 % หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นสังเคราะห์ 100 % จะต้องกำหนดมาเลยว่า “Fully Synthetic” แบบชัดเจนเท่านั้นครับ…

นอกจากนี้ ก็ยังแบ่งประเภทเป็นของน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์ “เบนซิน” และ “ดีเซล” อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติก็ต่างกัน ของเครื่องดีเซล จะมีสารชะล้าง (Detergent) มากกว่าเครื่องเบนซิน เนื่องจากเครื่องดีเซลจะมีเขม่าในการเผาไหม้สูงกว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันเติมสลับกันได้ไหม จริงๆ แล้ว “ไม่ควร” เพราะด้วยโครงสร้างของเครื่องก็ไม่เหมือนกันอีก ดีเซลเป็นเครื่องรอบต่ำ เน้นการใช้งานหนัก ส่วนเครื่องเบนซิน เป็นเครื่องรอบสูง จึงไม่ควรเติมสลับกันทั้งสิ้นครับ ก็ไม่รู้จะเติมสลับกันทำไมนะ เพราะ “ข้อบ่งใช้” ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นก็กำหนดมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ควรจะเติมให้ “ถูกต้องตามประเภทของเครื่องยนต์” เสมอนะครับ…

ค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น

เถียงกันเหลือเกินก็ไอ้เรื่องนี้แหละครับ “ค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น” หรือ Viscosity Index ที่กำหนดเป็นตัวเลขอยู่บนฉลากบรรจุภัณฑ์ จะเป็นตัวบอกว่า “น้ำมันหล่อลื่นมีค่าความหนืดมากหรือน้อย” ซึ่งการกำหนดความหนืดนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นการกำหนดโดยหน่วยงานสากล คือ API : American Petroleum Institute และ SAE : Society of Automotive Engineer โดยมากแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจว่า “ตัวเลขยิ่งมากยิ่งหนืด” แต่กลับกลายเป็นประเด็นหนึ่งซึ่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่มาก คือ “ยิ่งหนืด ยิ่งดี” ทำให้การหล่อลื่นดี แรงดันน้ำมันหล่อลื่นไม่ตก เครื่องก็จะทนมากขึ้น อ๋อ เหรอครับ ???

ล้อมวงเข้ามา ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวภายในเครื่องยนต์ อาทิ ลูกสูบ ก้านสูบ ข้อเหวี่ยง แคมชาฟต์ วาล์ว ฯลฯ อะไรก็ตามที่มันเคลื่อนไหว ชิ้นส่วนที่จะต้องขึ้นลง หรือ หมุนอยู่ด้วยกัน เช่น ลูกสูบ กับ กระบอกสูบ อันนี้ชัดเจน จะต้องมี “ระยะห่าง” หรือ Clearance ระหว่างชิ้นงานทั้งสองเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีกัน ตอนนี้ น้ำมันหล่อลื่นจะมีบทบาทเป็น “ตัวกลาง” มีความหนืดและมี “ฟิล์ม” สำหรับประคองและหล่อลื่นให้ชิ้นส่วนทั้งสองไม่เกิดการเสียดสีกัน นี่แหละครับเป็นเรื่องหลักของน้ำมันหล่อลื่น…

แล้วทำไมต้องมีค่าความหนืดต่างๆ ล่ะ ???

เพราะเครื่องยนต์แต่ละรุ่น แต่ละชนิด ก็จะมีระยะ Clearance ที่ “ต่างกัน” ตามโครงสร้างของเครื่องยนต์ น้ำมันหล่อลื่นจึงต้องทำค่าความหนืดให้ “เหมาะสม” มากที่สุดกับเครื่องยนต์ในท้องตลาด ทางโรงงานผู้ผลิตจะทราบดีว่าเครื่องรุ่นนี้

“จะต้องใช้ความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นเบอร์อะไร” และมีการกำหนดสเป็กมาจากโรงงาน ควรจะใช้ตามที่ผู้ผลิตกำหนดมาจะดีที่สุดครับ…

แต่ในเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น “เครื่องเริ่มหลวม” จากการใช้งานมาระยะยาว จึงมีคำแนะนำว่าให้ใช้น้ำมันหล่อลื่นมีค่าความหนืดเพิ่มขึ้นอีกระดับ เช่น เดิมใช้เบอร์ 30 ก็อาจจะใช้เบอร์ 40 หรือ เครื่องโมดิฟาย ที่มีการเพิ่ม Clearance ให้มากกว่าเดิม ก็จะต้องเพิ่มค่าความหนืด “ตามความเหมาะสม” แต่การใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ “หนืดเกินไป” ตามความเชื่อ “ยิ่งหนืดยิ่งดี” ทำให้เกิด “ภาระ” กับเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น การหล่อลื่นกลับจะด้อยลง เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นในการปั๊มน้ำมันหล่อลื่นหนืดๆ นี่แหละครับ สิ่งที่ตามมาโดยไม่คาดคิด ซึ่งมันเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุจริงๆ…

ฟิวริโอ้น้ำมันหล่อลื่นทางเลือกใหม่ พร้อมเทคโนโลยี RESPOPLEX  

ฟิวริโอ้น้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียมที่ผ่านการทดสอบสุดหฤโหดจากการแข่งขันระดับโลก ที่ต้องผ่านการขับขี่อย่างหนักหน่วงตลอดเวลา 24 ชั่วโมง วิ่งต่อเนื่องถึง 367 รอบสนามกับระยะทางรวมกว่า 5,000 กิโลเมตรที่เครื่องยนต์ต้องทำงานรอบสูงตลอดเวลา มั่นใจได้ในด้านความทนทานและการรักษาความหนืดรวมถึงผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในด้านต่างๆ เช่น “การปกป้องการสึกหรอ” “เพิ่มกำลังของเครื่องยนต์” และ “ปกป้องการเสื่อมสภาพของน้ำมัน” และผ่านการทดสอบด้วยเครื่องวัดแรงม้า (ไดโนเทสต์) พบว่าเครื่องยนต์ที่เติมน้ำมันฟิวริโอ้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 8 แรงม้าซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาตรฐาน API SN ที่ใช้เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน

เหนือชั้นกว่าใครด้วย RESPOPLEX Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากอเมริกาอันล้ำสมัยที่ใช้ในน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียมฟิวริโอ้ เพื่อปกป้องเครื่องยนต์ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีโมเลกุลอัจฉริยะ ช่วยเคลือบบริเวณโลหะ โมเลกุลอัจฉริยะเหล่านี้จะช่วยปกป้องผิวโลหะภายในเครื่องยนต์ที่มีการเคลื่อนที่ เพื่อลดการสึกหรอที่จะเกิดขึ้น และยังช่วยลดภาระเครื่องยนต์ ทำให้มีแรงม้าเพิ่ม นอกจากนี้ ฟิล์มน้ำมันยังมีคุณสมบัติเป็นโครงสร้างอันแข็งแกร่ง สามารถรองรับการใช้งานในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานอย่างต่อเนื่อง และสามารถปกป้องในสภาพอุณหภูมิสูงได้เป็นอย่างดี

สำหรับรอบการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นครั้งต่อไป ทาง XO จึงขอแนะนำน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียมฟิวริโอ้ ได้อย่างมั่นใจ หาซื้อได้ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ร้านจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์

หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่

https://furio.bangchaklubricants.com/th/