เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : ทวีวัฒน์ วิลารูป
หลังจากที่ได้นำเสนอเรื่องราวของเจ้า “Five Ten” กับการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ มาแบบ “โดดเดี่ยว” (Lonely drive) ด้วยระยะทางกว่า 23,000 กม. จากประเทศอังกฤษ รอนแรมมาถึงประเทศไทย ในฉบับที่แล้ว ก็เป็นการ Introducing หรือ “เปิดตัว” กันไปแล้ว ให้รู้ว่าเรามีเรื่องราวที่เรียกว่าเป็น Exclusive และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ “ต้อนรับเพื่อนชาว Retro ที่มาจากแดนไกล” จากการเดินทางด้วยรถเก่า ๆ อายุ 40 กว่าปี ผ่านหลายทวีป หลายประเทศ กับภูมิทัศน์อันหลากหลาย เส้นทางอันสวยงาม ธรรมชาติ แต่มันก็แฝงไปด้วย “ความโหดร้าย” ในหลายช่วง มันไม่ใช่แค่ว่าขับรถมา แต่ต้องพก “จิตใจที่แน่วแน่” เพราะการเดินทางไกลขนาดนี้ ย่อมต้องมี “อุปสรรค” เป็นธรรมดา ถ้าผ่านมาได้ คุณคือผู้ชนะ !!!
DATSUN BLUEBIRD 1600 SSS (P510) Prepare for Journey
การเดินทางในครั้งนี้ ผมจะขอ “เล่าสรุปเฉพาะส่วนสำคัญ” ไปก่อนนะครับ เริ่มกันจาก “ยานพาหนะ” ที่ใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นรถของ “นาไกซัง” ซึ่งครอบครัวของเขาได้ซื้อมาตั้งแต่ยังใหม่ ผ่านการดูแลรักษาอย่างดีมาตลอด เพียงแต่สีที่ยังไม่ทำใหม่ เพราะต้องการความ “เดิมแห้ง” ที่สุด แม้ “แอร์” ก็ยัง “ไม่มี” ก่อนออกเดินทาง ก็ได้ซ่อมบำรุงทุกส่วนจนสมบูรณ์ รวมถึงการเตรียมอะไหล่สำรองเผื่อในระหว่างการเดินทางด้วย ซึ่งคนขับเอง ก็ต้องมีความรู้เรื่องช่าง และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดี รวมถึงมีการปรับแต่งนิดหน่อย ด้วยการ “ใส่ยาง Snow” เพื่อให้พอลุยในทางทุรกันดารได้ ติดตั้ง Defi ZD ADVANCE SYSTEM เอาไว้ เพื่อวัดการทำงานของเครื่องยนต์โดยละเอียด เพราะเกจ์ติดรถอาจจะบอกได้ไม่ละเอียดเท่าไร ใส่ “โรลบาร์” ที่สั่งทาง OKUYAMA RACING ทำขึ้นมา (ราคาไม่ถูก เพราะใช้มาตรฐานรถแข่ง) เอาไว้ป้องกันเวลาเกิด “อุบัติเหตุ” เพราะหลายประเทศที่ต้องผ่านไปเป็นประเทศด้อยพัฒนา โอกาสเกิดอุบัติเหตุจึงมีสูง เบาะคนขับเป็น Bucket Seat จาก RECARO นั่งกระชับในทางไกล ส่วนเครื่องยนต์ L16 คาร์บู SU คู่ ตรงรุ่น 1600 SSS จัดการ “ลดกำลังอัดลง” เพื่อเอาไว้รองรับกับ “น้ำมันเบนซินออกเทนต่ำ” เครื่องยนต์จะได้ไม่เกิดการ Knock ง่าย แต่ต้องยอมเสียอัตราเร่งไปบ้าง ซึ่งในการเดินทางจะวางแผนใช้ความเร็วเฉลี่ยบนทางหลวง 60-80 km/h เพื่อเป็นการถนอมเครื่อง และประหยัดน้ำมัน…
- Mr.Masakata Usami ที่เป็น Second Driver กับการมาเยือนเมืองไทย ด้วย “นกสีฟ้า” DATSUN BLUEBIRD P510 ตัว 1600 SSS แท้ ๆ ที่ “เก่าแต่ไม่แก่” ต้องยอมรับ “ใจ” จริง ๆ ที่กล้าเดินทางมาขนาดนี้ได้
Shipping to UK, Start the journey
การเดินทางจะเริ่มขึ้นที่ “อังกฤษ” ซึ่งจะใช้การ Shipping เจ้า 510 มาจากเมืองฮิโรชิมา จังหวัดฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น โดยคนแรกที่ขับจะเป็น “นาไกซัง” ซึ่งเป็นเจ้าของรถ โดยวางแผนไว้จะขับไปถึงอินเดีย แล้วค่อยเปลี่ยนเป็น “มาสะซัง” ขับต่อจนถึงเมืองไทย จุดเริ่มต้นที่อังกฤษ ขับต่อเรื่อยมาจนถึง “ฝรั่งเศส” และมาถึง “อิตาลี” ผ่านจุดสำคัญคือ “Monaco” ขับไปบนถนนที่ใช้แข่ง F1 อันลือชื่อ ผ่านไปยังกรีซ-ตุรกี จะได้สัมผัสกับความหนาวเย็นของหิมะ ถึง “อิหร่าน” เจอกับทะเลทราย ที่มี “อูฐ” โผล่ขึ้นมาทักทายพอให้ “เสียว” เป็นระยะ…
- สีเดิม แห้ง ผ่านกาลเวลามากว่า 40 ปี นับว่าเป็นรถที่มีสภาพดีมากคันหนึ่ง แบบไม่ได้ Built
Engine Broke in Pakistan !!!
จุดที่ลืมไม่ได้ในทริปนี้ คือ การผ่านเข้าไปใน “ปากีสถาน” ซึ่งเข้าขั้นสกปรก ขนาดเติมน้ำมันเบนซินยังต้อง “เอาผ้ากรอง” เพราะมีตะกอนมาก เหตุ “หฤหรรษ์” มันอยู่ที่ นาไกซัง ได้ไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และได้สังเกตว่า เป็นน้ำมันเครื่อง “เกรดต่ำ” เกรด SG ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะมีใช้กันแล้ว แม้จะเป็นของใหม่ก็ตาม เติมเข้าไป “เป็นเรื่อง” งานงอกของจริง เครื่องยนต์มีเสียงดังมาก อาการ “พัง” เริ่มออก แคมชาฟท์เป็นรอยมาก เป็นเหตุการณ์ที่น่าจะถอดใจ แต่ยังไงก็ต้องสู้ต่อ นาไกซังจึงต้องช่วยช่างทำเครื่อง ที่เดือดร้อนก็ “แหวนลูกสูบ” เพราะไม่ได้เอาอะไหล่ไปด้วย เนื่องจากไม่คิดว่ามันจะถึงพังขนาดนี้ จึงต้องหาเทียบเอาตามยถากรรม อะไรใกล้เคียงก็จับใส่ให้มันวิ่งได้ไปก่อนแล้วกัน ส่วนแคมชาฟท์ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องใช้ไปก่อน งานนี้ก็ต้องมี “วัดใจ” กัน ว่าเจ้า “นกสีฟ้า” มันจะไปได้อีกไกลแค่ไหน…
- เหมือนกับคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก จะต้องมีริ้วรอยแห่งความเก๋าเกมเกิดขึ้น
India, excite & terrific experience
เมื่อ นาไกซัง ออกมาจากปากีสถาน มาถึงประเทศอินเดีย ตรงนี้จะเป็นการ “ผลัดมือขับ” นาไกซัง ต้องกลับไปญี่ปุ่น เพื่อสะสางภารกิจส่วนตัว ส่วน “มาสะซัง” จะต้องขับต่อ มีช่วงที่รถคันนี้ถูกจอดเก็บใน Cargo ที่อินเดียประมาณเดือนกว่า เพราะต้องรอ มาสะซัง เคลียร์ธุระเสร็จก่อน จึงค่อยบินมาขับต่อ การเดินทางในอินเดียเป็นประเทศที่ “วัดใจ” กันสุด ๆ บอกได้เลยว่าทั้ง “โหด มันส์ ฮา” ครบเครื่อง ที่ลำบากสำหรับ มาสะซัง ก็คือ “อาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด” ทำให้เกิดอาการ “ท้องเสีย” เกือบตลอดเวลาที่อยู่ในอินเดีย เขากินได้แต่ Biscuit และน้ำอัดลม น้ำขวดต่าง ๆ เพื่อประทังชีวิตเท่านั้นเอง…
- มาสะซัง รู้สึกเสียดาย “ไฟท้ายหลังซ้าย” ที่ “แตก” จากการโดนรถบรรทุกถอยชนในมาเลเซีย สำหรับทะเบียน อักษร HSF มาจาก Hiroshima-Fukuoka ส่วนอักษร J เป็นสัญลักษณ์สากล สำหรับไว้วิ่งในประเทศต่าง ๆ ให้รู้ว่ามาจาก JAPAN ส่วนรถเมืองไทย ก็จะใช้สัญลักษณ์ T
Lose the way in Bihar !!!
การเดินทางก็จะผ่านเมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น “Agra” เป็นสถานที่ตั้งของ “Taj Mahal” วังโด่งดังระดับโลก ผ่านไปยัง “Varanasi” หรือ “พาราณสี” เมืองที่เก่าแก่ที่สุด อายุกว่า 3,000 ปี ผ่านไปยังเมือง “Bihar” ซึ่งเป็นเมืองที่ประชากร “จนที่สุดในอินเดีย” เขาได้หลงทางในเมืองนี้ และถามทางชาวบ้านแถวนั้น สิ่งที่ได้รับ ก็คือ “ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ” เนื่องจากชาวบ้านแถวนั้นไร้การศึกษา (Under Graduate) ไม่มีใครสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย อ่านแผนที่ก็ไม่เข้าใจ เขียนก็ไม่ได้ “งานเข้า” เสียแล้ว แต่นับว่าโชคยังเข้าข้าง ปรากฏว่ามีเด็กหนุ่ม “เพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่มีการศึกษา” สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษแบบง่ายได้บ้าง จึงพอจะถามทางไปต่อได้ แต่ก็ต้องนอนค้างที่บ้านของคนพื้นเมืองก่อน 1 คืน เพราะการเดินทางหลังตะวันตกดินเป็นเรื่องอันตรายมาก…
- ห้องเครื่องสะอาดเรียบร้อยมาก !!! ซึ่งผมได้บอกเขาว่า “ไม่ต้องล้างรถ” เพราะจะถ่ายให้เป็นสภาพที่ลุยมาจริง ๆ ในห้องเครื่องก็มี “เรื่องเล่า” ต่าง ๆ ว่าทั้งฝุ่นและโคลนมันมาจากที่ไหนกันบ้าง
Met Terrorist !!!
ออกจาก Bihar ไปยังเมือง “Darjeeling” เมืองเกษตรกรรม มี “ใบชา” ที่ขึ้นชื่อ แต่ถนนแย่มาก ต้องระวัง “หลุมดักควาย” ที่มีตลอดทาง ตอนนี้กำลังจะเดินทางออกจากอินเดีย และระหว่างเดินทาง เขาก็ได้พบกับเหตุการณ์น่าสะพรึง บริเวณที่ผ่านไปค่อนข้างอันตรายมาก เพราะมี “ก่อการร้าย” อยู่บ่อยครั้ง เขาไปก็เจอ “กองโจร” ที่ออกปล้นประชาชนทั่วไป พวกโจรชั่วโยนกองยางที่เผาไฟใส่กลุ่มคน รวมถึงเขาด้วย โชคดีที่มี “ทหาร” มายิงสกัดโจร ช่วยเอาไว้ได้ !!! นับว่าเป็นเหตุการณ์รอดตายที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต หลังจากนั้น ผ่านยังไปเมือง “Dimapur” ก็ได้เจอคนใจดี ช่วยแนะนำคนในเมือง “Kohima” ซึ่งเป็นจุดมุ่งหลายต่อไป ใน Kohima คนที่ช่วยเขา น่าจะเป็น “แพทย์” ช่วยอำนวยความสะดวก แล้วก็ส่งข่าวให้คนในเมือง Imphal ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายต่อไปให้คอยช่วยเหลือ นับว่าเป็นความโชคดี เพราะในเมือง Imphal ก็จะมีการจัดแถลงข่าวการเดินทางของเขา เชิญนักข่าวมาทำข่าว เรื่องราวของเขาได้ออกตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในวันรุ่งขึ้น เท่จริง ๆ…
- สัมภาระ เสื้อผ้า เครื่องนอน และ “ผ้าคลุมรถ” ผมถามว่าจะพกมาทำไม เขาบอกว่า เอาไว้คลุมรถเวลาที่ไปจอดในประเทศเสี่ยงต่อการ “โจรกรรม” ที่คลุมรถไว้ เหมือนกับว่าเป็นรถของชาวบ้านแถวนั้นจอดไว้
Welcome to Thailand & Meeting XO Team
แผนการเดินทางครั้งแรก จะออกจากอินเดีย ไป “บังกลาเทศ” ผ่านไปยังพม่า แล้วมาเมืองไทย แต่มีปัญหาเรื่องของการนำรถเข้าประเทศ จึงเปลี่ยนแผนโดยการ Shipping รถจากอินเดีย มาที่ “สิงคโปร์” แทน ตรงนี้ก็เป็นที่โล่งใจของ มาสะซัง ว่ายังไงก็ปลอดภัยแน่ หลังจากที่มีลุ้นตลอดในอินเดีย ขอตัดเข้ามาถึง “ไทย” เลยแล้วกัน ทางผม “พี สี่ภาค” และ “โปเต้ A +” หลังจากได้ข่าว จึงนัดพบกันที่ “พระบรมรูปทรงม้า ร.5” เพื่อถ่ายทำคอลัมน์ตลอดทั้งวัน หลังจากที่ได้คุยกับเขา ผมก็รู้สึกว่า “จะมีคนขับ Retro Car สักกี่คน ที่หาญกล้าเดินทางข้ามทวีปมาเพียงลำพัง” จึงบังเกิดความประทับใจอย่างมาก เป็นความรู้สึกดีมาก ๆ ที่เราจะได้นำเสนอเรื่องราวแบบนี้ ที่มันไม่ได้หาได้ง่าย ๆ !!! และเขาเองก็มีความประทับใจในเมืองไทย ที่มีความสงบ ดูปลอดภัย สำคัญคือ “มีคนต้อนรับ และสนใจในเรื่องราวการเดินทางของเขา” ซึ่งผมเองก็เป็นคนที่ชอบเดินทางไกล ด้วยรถ Retro ของตัวเองบ่อย ๆ จึง “เข้าใจ” ว่าเขาต้องการอะไร บางครั้งการเดินทางมาเหนื่อย ไกล แต่มีความหวังที่ปลายทาง เดินทางด้วยรถที่เรารัก และยิ่งดีถ้ามี “สหายรู้ใจ” มาด้วย เจอคนที่มี “มิตรภาพ” ยื่นให้ตลอดการเดินทาง เป็นความรู้สึกที่สุดพิเศษ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้สัมผัส !!!
- Retro “ลุงเจอหลาน” อย่างน้อยทั้งเราและเขา ก็ยังยินดีที่ได้เจอ “คนคอเดียวกัน” และยินดียิ่งกว่า เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันอยู่ในความทรงจำของทุกคนที่ได้อ่านตลอดไป
คอยติดตามชมเรื่องราวส่วนที่เหลือ ในการเดินทางช่วงแรก (เนื่องจาก นาไกซัง ไม่ได้มาเจอกับพวกเรา ในช่วงแรกเนื้อเรื่องอาจจะสั้นไปบ้าง) รวมไปถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่กำลังจะสอบถามเพิ่มเติม เนื้อที่ในคอลัมน์ Return to Retro ไม่พอเสียแล้ว ไว้จะนำเสนอแบบ “เต็มทริป” ซึ่งจะนำไปลงใน XO SPECIAL RETRO CAR III ที่น่าจะได้วางแผงในปี 2013 ครับ รอติดตามก็แล้วกัน ท้ายสุด ผม “อินทรภูมิ์ แสงดี” ในนามของ XO AUTOSPORT ขอขอบคุณ “มาสะซัง” และ “นาไกซัง” ผู้ที่ทำให้เรื่องราวอันน่าประทับใจเกิดขึ้น, “คุณปรัญญ์ ชูวิจิตร” ช่วยประสานงาน และ “โปเต้ A+” สหายช่างภาพ ที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเลนส์ ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น…
- นกสีฟ้า หนาวเย็นกับการลุยหิมะ ใน “ตุรกี” เป็นภาพที่หาชมได้ยาก
- ในอิหร่าน ซึ่ง “นาไกซัง” เจ้าของรถ จะเป็นผู้ขับในช่วงแรก
- “เพื่อน” ที่โผล่มาทักทายระหว่างวิ่งฝ่าทะเลทราย แต่เห็นถนนแล้วอยากซิ่งเป็นบ้าเลย
- ใน Monaco อิตาลี บนถนนที่ปิดเมืองแข่ง F1
- ภาพแห่งความทรงจำของทริปนี้ กับการ “ซ่อมเครื่อง” ที่พังจากน้ำมันเครื่องชั้นเลว เรียกว่าวัดใจกันจริง ๆ ยังโชคดีที่พอหาอะไหล่มาเทียบแล้ววิ่งไปต่อได้
- ขนาดน้ำมันเบนซินยังต้อง “กรอง” สกปรกขนาดไหน ไม่อยากจะเอ่ย
- AH1 หรือ Asian Highway 1 ในอินเดีย ที่จะมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ แต่อย่าเพิ่งดีใจ ทางดี ๆ มีแค่นิดเดียว ที่เหลือ “แย่” หมด เฮ้อ Y_Y
- ทิวทัศน์ในเขาสูง ของเมือง Darjeeling
- หนทางแย่โคตร ๆ ในเมือง Darjeeling ระยะทางไม่กี่สิบ กม. เดินทางกันทั้งวัน ต้อง “ย่อง” อย่างเดียว
- ในเมือง Bihar ที่เขาหลงทาง หมู่บ้านที่เห็นนี้ มีเพียงเด็กหนุ่มคนใส่ยีนส์เท่านั้น ที่พอพูดภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ ได้บ้าง หากไม่มีคนมาช่วย มาสะซัง จะทำอย่างไร ???
- ในเมือง Imphal Manipur เขาได้รับเชิญไปแถลงข่าว ถึงการเดินทางครั้งนี้ กับเหล่านักข่าวท้องถิ่น บรรยากาศง่าย ๆ แต่ได้ใจ
- เรื่องราวที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่ในเมืองไทย “เราจัดให้เขาแล้ว” ใน XO AUTOSPORT เล่มเดียวเท่านั้น !!!
- มีตติ้งกับกลุ่ม Classic car ในสิงคโปร์ จอดคู่กับ 510 อีกคัน แต่ดูความเก๋าแล้วผิดกันแฮะ
- ในเมืองปากเซ สปป.MEISTERSCHAFTลาว เส้นทางที่ก่อนจะเข้ามาทาง ช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี จะเป็นเลนเละมาก ๆ โชคดีที่ใส่ยาง Snow และขับอย่างมีทักษะ จึงผ่านมาได้ ในภาพ รถอีแต๋นล้อหลุด ผ่านไปไม่ได้
- ทิวทัศน์ใน จ.กระบี่
- เป็นปกติ ที่คนจะชอบขับรถลงไปถ่ายรูปบนชายหาด แล้วก็ “ติด” จนต้องลากขึ้นมา ในภาพเป็นชายหาด จ.ประจวบคีรีขันธ์
- ในประเทศกัมพูชา กับบ้านพักแบบ Local จริง ๆ