“ยอดรถหรูในอดีต ที่ยังคงความ Original ไว้อย่างเหลือเชื่อ”
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : พิสิษฐ์ ธนะสารเจริญ, ศราวุธ เวียงสมุทร
ฉบับนี้ผมจะพาท่านย้อนอดีตไปพบกับ “ยอดรถหรูในอดีต” ที่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้จักมัน ใครจะคิดว่า รถอายุกว่า 30 ปี จะมีความทันสมัยมาก ๆ ทั้งในด้านเครื่องยนต์ Rotary ที่เป็นตำนานอันยาวนาน รวมไปถึงความหรูหรา สะดวกสบาย แบบที่รถยุโรปยังต้องพิจารณาใหม่ และด้วยความประณีตที่เกิดระดับชั้นของรถแบบชั้นดี ทำให้รถญี่ปุ่นรุ่นนี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถยนต์ที่น่าใช้มาก และแน่นอนว่า หากไม่ดีจริง เจ้า MAZDA RX-4 หรือ Luce Rotary คันนี้ ที่มาแปลกด้วยโฉม Station Wagon ขอบอกว่า เป็น RX-4 Station Wagon แท้ ๆ นะครับ ซึ่งในเมืองไทยก็หาชมได้ยาก ส่วนใหญ่ถ้ามีก็จะเป็นตัว 2 ประตู แต่ก็หายไปกับกาลเวลา แต่คันนี้ มันฝืนกาลเวลามาอยู่ในมือของ “คุณ A.GT” นักเล่นรถ Retro เจ้าประจำ มันจึงพ้นกาลเวลาได้ความสดใหม่คืนมา…
- โลโกทับทิมสามเหลี่ยม ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเสียหายไป คันนี้ได้ของสภาพใหม่ เลยสวยใส
The History of RX-4
สำหรับเรื่องราวของ RX-4 ก็จะเกิดขึ้นหลังความสำเร็จของ RX-3 โดยตัว RX-4 ก็จะเป็นพื้นฐานเดียวกับ 929 หรือ Luce (ลูเช่ หรือ ลูเซ่ แล้วแต่ออกเสียง) ซึ่งเป็นรถขนาดกลางของญี่ปุ่น ถ้าเป็น 929 ก็จะเป็นเครื่องยนต์ลูกสูบธรรมดา แต่ถ้าเป็น RX เมื่อไหร่ ก็ต้องเป็น Rotary อย่างแน่นอน รถรุ่นนี้ออกสู่สาธารณชนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1977) ในงาน Tokyo Auto Salon นครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยวางตลาดให้เป็น Sporty & Luxury เจตนาก็คือ ต้องการวางระดับให้เป็นรถที่ “หรูหรา” และ “สมรรถนะสูง” ซึ่งในสมัยนั้น รถญี่ปุ่นที่เป็นแบบนี้ก็จะหาได้ยาก ส่วนใหญ่ก็เป็นรถตลาดทั่วไป แต่ทาง MAZDA ก็ฉีกตัวเองออกไปจนโดดเด่น สำหรับตัวถังของ RX-4 ก็จะมีให้เลือก 3 แบบ ก็คือ Coupe สองประตู, Sedan 4 ประตู และ Station Wagon 5 ประตู เฉพาะรุ่น Station Wagon นี้ จะออกมาในปี 1973 มาแทน SAVANNA RX-3 Station Wagon นั่นเอง…
- 13B กับอุปกรณ์รอบด้านที่ “เดิม” สุด ๆ เพราะเอามาใหม่ทั้งชุด แม้แต่สติกเกอร์บนเสื้อกรองอากาศยังเดิม ๆ แน่นอนล่ะ ก็เลือกของที่สวยที่สุดเท่าที่มากันเลย
ในส่วนของเครื่องยนต์ ก็จะเป็นรุ่น 12A 2 โรเตอร์ 130 hp ในปี 1974 ก็เปลี่ยนเป็น 13B 135 hp แรงกว่าเดิมไม่มาก เนื่องจากเผื่อไว้เป็นรุ่นที่ส่งออก จึงต้อง “ลดมลภาวะ” ลง โดยเป็นเครื่องแบบ AP หรือ Anti Pollution นอกจากนี้ จะต้องประหยัดน้ำมันด้วย ก็ไปได้แรงบิดดีกว่าเดิม ขับง่าย แต่ก็มีข้อติว่า พอเจออากาศเย็น ๆ แล้วสตาร์ทยาก สำหรับเรื่องราวของ RX-4 ในไทยแลนด์ ผมไปค้นเจอนิตยสารกรังด์ปรีซ์ เล่มเก่า มีการแนะนำรถรุ่นนี้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งช้ากว่าญี่ปุ่นประมาณ 1 ปี โดยจัดจำหน่ายโดย “บริษัท กมลสุโกศล จำกัด” ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่าย MAZDA ในประเทศไทย ณ ตอนนั้น ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย (แถวคุกคลองเปรมเก่า ตอนนี้เป็นสวนรมณีย์นาถ) จริง ๆ แล้ว ทางบริษัทจะเน้นขาย 929 เครื่องลูกสูบ เป็นหลัก ส่วน RX-4 ไม่มีราคาบอกไว้ในบทความนั้น ก็อาจจะเป็น “ทางเลือกพิเศษ” ที่จะต้องสั่งเพิ่มเอง สำหรับราคา 929 ตัว 4 ประตู จะอยู่ที่ 145,000 บาท ส่วน 2 ประตู จะแพงขึ้นอีก “หมื่นเดียว” ก็ขอจบเรื่องประวัติลงพอสังเขปเท่านี้ก่อน…
- กระจกมองข้างขารู ตรงรุ่น RX-4 ถ้าเป็น 929 จะเป็นขาธรรมดา
LA23W ตัวแท้ เนื้อคู่ใหม่ของ A.GT
สำหรับรถคันนี้ ทาง “พี่เอ” แห่ง “บ้านบางกอกฯ” ก็เป็นผู้ครอบครอง ได้มาแบบฟลุ้กจริง ๆ เหมือนกับเป็นเนื้อคู่ ไปเจอรถคันนี้จอดขายอยู่ริมถนน คนที่ขายมีรถสองคัน ก็คือ KE70 Station Wagon 5 ประตู (ตัวนำเข้า) แล้วก็คันนี้ ตอนแรกยังไม่คิดว่ามันจะเป็น RX-4 ก็คิดว่ามันเป็นเพียง 929 Station Wagon ธรรมดา แต่ดูทรวดทรงแล้วก็ยังสวย หน้าตาคลาสสิก ก็คิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไหน ๆ ทำทั้งที ก็ต้องสุดไปเลย ซื้อมาในราคา 60,000 บาท พอกลับมานั่งเช็กรหัสตัวถังดู เป็น LA23W ก็ “แจ็กพอต” เพราะมันคือ RX-4 ตัวแท้ ๆ (รหัส 23 ตัว 3 คือ 13B ส่วน W คือ Wagon) แต่มาเป็นเครื่องลูกสูบแล้ว ก็ไม่เป็นไร จัดการไปหาหัวตัด RX-4 สภาพที่เดิมสวยที่สุด เท่าที่จะหาเจอ เอามาเปลี่ยนลงไป ให้กลับมาเป็น Original แท้ ๆ อีกครั้ง แล้วก็ปรับปรุงส่วนอื่น ๆ เข้าตาม ยอมรับว่าทำได้ยาก เพราะอะไหล่ก็หายาก ยิ่งเป็นตัว Station Wagon ก็ไม่ง่ายเลย เพราะรถมีน้อย แต่ก็ยังโชคดี ที่ทำออกมาจนสวยงาม อันนี้ พี่เอ ก็ขอยกเครดิตให้ “เฮียปุ๊ย โรตารี่” ที่เป็นผู้ทำรถคันนี้จนออกมาสมบูรณ์แบบสุด ๆ ครับ…
สำหรับความนิยมของ 929 สำหรับตลาดคนเล่น Retro แล้ว ก็จะนิยมในโฉมแรกมากกว่า เนื่องจากมีความคลาสสิกอย่างมาก โดยเรียกกันว่าเป็นรุ่น “หน้ายักษ์ ไฟท้ายฟักทอง” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมาก ในองค์ประกอบโดยรวม ตั้งแต่หัวจดท้าย ยอมรับว่าหรูหราจริง ๆ ซึ่งเป็นรูปทรงที่อมตะ แต่พอหลังจากปี 1976 แล้ว ไมเนอร์เชนจ์เป็นรุ่น “หน้าเบนซ์” เรียกกันเพราะมันเหมือนกับ BENZ W123 มากไปหน่อย ก็กลายเป็นไม่นิยมกันอีกต่อไปเลย…
- โฉม “หน้ายักษ์” ที่ออกแบบได้คลาสสิกเหลือเกิน รายละเอียดครบมาก เพราะซื้อทั้งหัวตัดที่คัดเลือกแล้วว่ามีสภาพที่ดีเยี่ยมที่สุด มาสลับของใส่ โลโก RE13 คือ Rotary Engine 13B และมีคิ้วโครเมียมกุ๊นขอบช่องลมและช่องไฟเลี้ยวด้านล่าง เป็นของ RX-4 แท้ ๆ
- เป็นรถแบบ Sport Station Wagon ดูเท่ เพราะมันหายาก แถมยังใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทรวดทรงดีมาก เส้นสายมากมายยังคมสวย เพราะถ้ารถไม่สวย เส้นสายไม่ได้ ก็ไม่น่าทำต่อแล้ว
- ของครบ ไฟท้ายสุดหายาก เพราะรถมีน้อย ปลายท่อทรงสี่เหลี่ยมบื้อ ๆ แบบนี้ ใครไม่รู้ก็หาว่าทำไปทำไม แต่จริง ๆ แล้ว RX-4 ทุกรุ่น จะต้องเป็นปลายท่อทรงนี้จากโรงงานนะครับ
- ล้ออัลลอยของ MAZDA Rotary ตรงรุ่นแท้ ซึ่งเป็น Optional ของ RX-4 ถ้าเป็นของติดรถ จะให้ล้อกระทะเหล็กขนาด 5.5 นิ้วมา ขนาดจะกว้างกว่ารุ่น 929 รวมถึงยางที่ให้ขนาด 195/70R13 มา เพื่อเพิ่มการยึดเกาะ
- ภายในยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด พวงมาลัยทรง Butterfly ของทุกชิ้นอยู่ครบและยังมีสภาพแจ๋วจริง
- จุดเด่นอยู่ที่ “เกียร์” เพราะดันให้ “เกียร์ปาร์ค” มาด้วย เหมือนเกียร์ออโต้ ก็คือดันไปด้านซ้ายบนสุด (เหมือนเกียร์ถอยของรถยุโรป) ถ้าไม่ใส่เกียร์ปาร์ค จะมีเสียงเตือนดังตอนดับเครื่องด้วย นับเป็นเทคโนโลยีของความปลอดภัย ที่ไม่น่าเชื่อจะมีในรถญี่ปุ่นยุคนั้น ส่วนไฟจุดแดงตรงคอนโซล จะเป็นไฟเตือน Over Heat เพราะเครื่องโรตารี่ในสมัยก่อน ความร้อนจะขึ้นค่อนข้างง่าย เวลาเจอรถติดนาน ๆ ท่ามกลางอากาศร้อน
- จอมาตรวัดแท้ วัดรอบจะขึ้นขีดแดงที่ 7,000 รอบ เรือนไมล์ขึ้นขีดเหลืองที่ 100-200 km/h
- วิทยุและสวิตช์แอร์ ทำออกมาได้สวยมาก
- หรูหราสุด ๆ ด้วยเบาะนั่งกำมะหยี่ สมัยนั้นมักจะเป็นหนังเทียม ทำให้ RX-4 ดูสูงค่าขึ้นมาเยอะ มอบความสบายให้ได้มาก
- เบาะหลังพับได้ด้วยนะ ด้านซ้ายจะเป็นเต้าปลั๊ก เอาไว้เสียบไฟใช้เวลาปิกนิก (คิดว่าอย่างนั้น) ครบเครื่องจริง ๆ แต่พวกแผงข้างต้องระวัง เพราะค่อนข้างบาง ต้องระวังรักษาให้สุด