“ดีใจ” ว่ามีคอลัมน์ QUESTION TIME เกิดขึ้นมาใน XO AUTOSPORT เพื่อเป็นสื่อกลางให้ข้าพเจ้า “พี สี่ภาค” ได้ร่วมพูดคุยกับท่านผู้อ่านอย่างเป็นกันเอง แต่ก่อนเราก็อาจจะสื่อสารได้ช้าหน่อย จะเป็นจดหมายคลาสสิก โทรศัพท์ ตอนหลังมี “อีแมว” ก็นับว่าไวหน่อย แต่ตอนนี้เราก้าวไปอีกขั้น มีสื่อออนไลน์เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Web site ของเราเอง สามารถรับทราบคำถาม และตอบได้อย่างทันท่วงที (ถ้าตอนนั้นมีข้อมูลในหัวสามารถ และถ้าว่างตอบ จัดให้เลย) “สิ่งละอันพันละน้อย” ที่เกิดขึ้นในคอลัมน์นี้ ผมมองว่ามีประโยชน์อย่างมาก วันนี้คุณอาจจะไม่อยากรู้ในเรื่องนี้ แต่อ่านไว้ก่อน ในอนาคตเกิดคุณสงสัยเรื่องเดียวกันนี้ จะได้ตอบตัวเองได้ทันที บางคำถามก็ดูพื้นๆ ง่ายๆ แต่เมื่อมันเป็นปัญหา จะยากหรือง่ายก็ต้องแก้กันไปนะครับ มันเป็นเสน่ห์ของคอลัมน์นี้ที่ผม “ภูมิใจ” จะทำหน้าที่นี้ต่อไปครับ…
เปลี่ยนหม้อ (น้ำ) แต่ปิดฝาหน้าไม่ลง
Q :สวัสดีครับ ผมชื่อ เอกที่เคยสอบถามทางทีมงานครับครั้งนี้(อีกแล้ว)ฝากระโปรงหน้าล็อกไม่ได้ครับหลังจากที่ถอดเปลี่ยนหม้อน้ำ จะถามว่าพอมีวิธีปรับตั้งตัวล็อกฝากระโปรงหน้าบ้างไหมครับหรือว่ามันคงถึงเวลาเปลี่ยนของมันเป็นรถSOLUNAขอบคุณครับ…
A :ธรรมดาครับ รถมันก็ต้องมีปัญหากันบ้าง ไม่งั้นจะมีอะไรให้เราคิดล่ะ ถูกไหม แต่จะทำอย่างไรให้มันเกิดปัญหาน้อยที่สุด หรือแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่สุด อันนี้สำคัญก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะช่วยหาข้อมูลมาตอบท่านผู้อ่าน มาถึงปัญหาของคุณ เปลี่ยนหม้อน้ำแล้วทำไมฝากระโปรงหน้าถึงล็อกไม่ได้ละ ??? แสดงว่า ตำแหน่งกลอนล็อกคลาดเคลื่อน ถูกไหมครับ แสดงว่าตอนถอดใส่หม้อน้ำ อาจจะมีการยกหม้อน้ำพลาดไปกระแทกคานหน้า หรือกระแทกที่ขอล็อกหม้อน้ำมีความเป็นไปได้สูง อีกอย่าง คานของ SOLUNA นั้นบอบบาง โดนนิดหน่อยทำให้ระยะการล็อกเคลื่อนไปครับ วิธีตั้งก็พอบอกได้คร่าวๆ ผมเองก็ไม่เซียนเหมือนกันดูอาการครับ ถ้ากดแล้วไม่ล็อกแสดงว่าตำแหน่งขอล็อกถูกกดต่ำไป (คิดว่าถูกกระแทกเลยเลื่อนลงต่ำครับ)เวลาปิดฝากระโปรง หูล็อกที่ฝามันกดไปไม่ถึงจุดที่ขอล็อกจะล็อกได้โดยสนิท ก็ต้องคลายนอตยึดที่ตัวกลอนล็อกแล้วปรับตัวล็อกขึ้นมาอีกหน่อย ค่อยๆ ทำนะครับ แต่ถ้าทางตรงกันข้าม ปิดง่ายแต่เปิดได้ยากมากง้างตัวเปิดฝาทีแทบจะหัก ก็แสดงว่าตั้งสูงเกินไปจนมันงัดกันแน่นเกินครับถ้าพอมีฝีมือทางช่างก็ลองปรับดูคร่าวๆ ก่อน เผื่อฟลุ้กได้ระยะพอดีจะได้จบ หรือจะเอาชัวร์ ปรับไปพอให้ฝากระโปรงมันล็อกอยู่ก่อน แล้วไปร้านกลอนประตูรถยนต์ พวกนี้จะตั้งให้ได้ครับ…
S15 Spec S V.S. Spec R
Q :สวัสดีครับ ผมอยากทราบว่า NISSAN SILVIA S15 ระหว่าง Spec Rกับ Spec S
แตกต่างกันตรงไหนครับ…
A :S15 ทั้งสองรุ่นนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นตัวถังเดียวกันครับ แต่รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ก็มีอยู่พอควร โดยเริ่มกันจาก…
Spec S
Spec S คือ รุ่นไม่มีเทอร์โบใช้เครื่องยนต์ SR20DE ฝาขาวหลังหัก มีแรงม้า165 PS ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ 160 PS ในรุ่นเกียร์ออโต้ 4 สปีดและ Spec S นี้ ยังแบ่งซอยเป็นอีกหลายรุ่น (เอาตัวหลักๆ ก็พอนะ เพราะบางทีมันเปลี่ยนแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้สำคัญอะไร เดี๋ยวจะไปกินเนื้อที่คำถามอื่น) Spec S จะเป็นตัวถูกสุด อัพขึ้นไปหน่อย กับSpec S G Packageที่จะมีสิ่งเพิ่มมา คือ แอร์ออโต้, วิทยุ พร้อมฟังก์ชันเล่น CD 1 แผ่น, พวงมาลัยหุ้มหนัง, ล้ออัลลอย 15 นิ้ว (รุ่นธรรมดาจะเป็นล้อเหล็กพร้อมฝาครอบ) สำหรับอุปกรณ์สั่งพิเศษ (Option) ที่สั่งได้ในรุ่น G Packageคือ ซันรูฟ, ระบบเนวิเกเตอร์, ไฟตัดหมอกหน้า (ไม่สามารถสั่งติดตั้งได้ในรุ่น Spec S ธรรมดา), ลิมิเต็ดสลิป (สั่งได้ทั้งรุ่นธรรมดา และ G Package)ต่อมากับ Spec S AEROสิ่งที่เพิ่มมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คือ ชุดพาร์ท ที่รูปทรงเหมือนกับ Spec R AERO, ไฟตัดหมอกหน้า, เกจ์วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง ติดตั้งที่เสา A ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนกับ Spec S G Package ครับ
Spec R
Spec Rคือ รุ่นมีเทอร์โบ ใช้เครื่องยนต์ SR20DET ฝาดำหลังหัก ที่ถูกพัฒนาใหม่จาก SILVIA S14 ทำให้มีแรงม้าสูงถึง 250 PS ผนวกด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (ที่น่าจะมีใช้ตั้งนานแล้ว) แต่ในรุ่นเกียร์ออโต้ แรงม้าจะเหลือเพียง 225 PS เท่านั้น ภายนอกไม่มีพาร์ท มีไฟตัดหมอกหน้า, ล้ออัลลอย 5 ก้าน ขอบ 16 นิ้ว ส่วนตัวถัง มีการเพิ่มความแข็งแรง ด้วย Front cross bar, Rear floor stay, Trunk bar, Rear cross member เพิ่มความหนาของพื้นรถ (Extension floor) เพื่อให้มีความแข็งแรง ลดการบิดตัว ให้ขับแบบสปอร์ตได้อย่างมั่นคง พวกอุปกรณ์สั่งพิเศษ โดยรวมเหมือนกับ Spec S G Package มาถึง Spec R Super Hi-cas Package พิเศษที่เพิ่มระบบ Super Hi-casเลี้ยวสี่ล้อ เหมือนกับ SKYLINE GT-R มาถึงรุ่น Spec R AERO และ Spec R Super AERO Hi-cas Packageจะเพิ่มชุดพาร์ทเข้ามา สปอยเลอร์หลังทรงสูง…
AutechVersion
ไหนๆ ก็โม้มาถึงตอนนี้แล้ว แถม รุ่นพิเศษ ให้แล้วกัน ตัว Autech Versionออกมาในวันที่ 7/10/1999 จะใช้พื้นฐานของ Spec S แต่มีการขยับสเต็ปเครื่องยนต์ SR20DE ใหม่ ที่รู้ก็จะมี แคมชาฟท์ ไอดี 272 องศา ไอเสีย 256 องศา ทำให้ได้แรงม้าสูงสุด 200 PS ที่ 7,200 rpmโดยไม่พึ่งพาระบบอัดอากาศใดๆ ส่วนล้อจะเปลี่ยนไปใช้ของ Spec R ขอบ 16 นิ้ว พร้อมระบบช่วงล่างที่เหมือนกับ Spec R…
Varietta
สุดยอดยนตรกรรม เฉิดฉาย พาสาวกินชมชมวิว ด้วยVarietta(วาริเอ็ตต้า) ที่เป็นรถ หลังคาเปิด (Softtop&Convertible) ออกมาจำหน่ายในวันที่ 27/07/2000 ภายในเบาะหนังแท้ ใช้ล้ออัลลอยแบบ Spec R เครื่องยนต์ SR20DE มีเฉพาะเกียร์ออโต้เท่านั้น รู้กันว่ารถหลังคาเปิดคงไม่เหมาะมาเล่นเครื่องเทอร์โบแน่ เพราะการบิดตัวมีสูงกว่ารถหลังคาแข็ง (Hardtop) มาก และก็คงไม่มีใครขับรถลักษณะนี้แบบเอาเป็นเอาตาย นับว่าเป็นรถเวอร์ชั่นพิเศษอีกรุ่นที่สองของ SILVIA ที่เป็นแบบหลังคาเปิด ตัวแรกก็คือ S13 Autech Version นั่นไง…
SILVIA S15 Spec S & Spec R Specification
Spec S Spec R
ขนาดตัวรถและน้ำหนัก
มิติภายนอก ก./ย./ส. (มม.) 4,445/1,695/1,285
ความยาวช่วงล้อหน้าถึงหลัง (มม.) 2,525
ความกว้างฐานล้อ หน้า/หลัง (มม.) 1,470/1,460 1,480/1,470
ระยะใต้ท้องต่ำสุด (มม.) 130
น้ำหนักรถ เกียร์ MT/AT (กก.) 1,200/1,230 1,240/1,250
การกระจายน้ำหนัก หน้า/หลัง (%) 51/49
เครื่องยนต์
รุ่น SR20DESR20DET
แบบ แถวเรียง 4 สูบ DOHC
ความจุ (ซี.ซี.) 1,998
กระบอกสูบ x ช่วงชัก (มม.) 86 x 86
กำลังอัด 10.0 : 1 8.5 : 1
แรงม้ารุ่นเกียร์ MT (PS/rpm) 165/6,400 250/6,400
แรงม้ารุ่นเกียร์ AT (PS/rpm) 160/6,400 225/6,000
ระบบหัวฉีด NISSAN EGI ECCS
ปริมาตรการฉีด (ซีซี.) 259 480
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ธรรมดา (จังหวะ) 5 6
อัตราทดเกียร์ (ต่อ 1)
1 3.321 3.626
2 1.902 2.200
3 1.308 1.541
4 1.000 1.213
5 0.838 1.000
6 – 0.767
อัตราทดเฟืองท้าย 4.083 3.692
เกียร์อัตโนมัติ (จังหวะ) 4
อัตราทดเกียร์ (ต่อ 1)
1 2.785
2 1.545
3 1.000
4 0.694
อัตราทดเฟืองท้าย (ต่อ 1) 4.083 3.916
ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
ระบบบังคับเลี้ยวล้อหน้า Rack & Pinion พร้อม Power assisted
ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง* Super Hi-cas System
ระบบช่วงล่างหน้า อิสระ MacPherson Strut
ระบบช่วงล่างหลัง อิสระ Multi-links
ระบบเบรก
คาลิเปอร์เบรกหน้า แบบสไลด์ ลูกสูบเดี่ยว แบบ 4 ลูกสูบ
คาลิเปอร์เบรกหลัง แบบสไลด์ ลูกสูบเดี่ยว แบบ 2 ลูกสูบ
จานเบรกหน้า ดิสก์เบรก มีรูระบายความร้อน
จานเบรกหลัง ดิสก์เบรกธรรมดา
ล้อและยาง
ขนาดล้อ (นิ้ว) 6 x 15 6.5 x 16
ขนาดยาง 195/65R1591S205/55R16 89V
GE ไม่พอ จะเอา T ด้วย
Q :1. สวัสดีครับ ผมขอถามหน่อยนะคับ เครื่อง 1JZ-GE VVT-iถ้าจะเซ็ตเทอร์โบ สามารถทำได้หรือเปล่าถ้าหากทำได้ต้องเปลี่ยนอะไรบ้างนอกจากชุดปีกผีเสื้อ ตอนนี้ผมอยากจะลองทำ แต่กลัวจะมีผลเสียกับรถครับ ขอคำแนะนำผมด้วยครับ…
A : เจอคน ซน อีกแล้ว เครื่องมันอยู่ดีๆ จะไปเพิ่มภาระให้มันซะงั้นความแรงที่เพิ่มคือภาระ ถ้าจะตอบกันสั้นๆ แบบตรงประเด็น ผมแนะนำว่า ให้คุณวางเครื่อง 1JZ-GTEVVT-i ไปเลยดีกว่า เทอร์โบแท้ๆ มาทั้งตัว ไม่ต้องยุ่งยากอะไรทั้งนั้น ราคาเครื่องประมาณ 35,000-40,000 บาท แล้วแต่สภาพและช่วงเวลา (ของขาดก็แพงหน่อย ของเยอะก็ถูกหน่อย) เพราะผมลองมานั่งนึกดูแล้ว ถ้าคุณจะเซ็ตเทอร์โบ ถ้าจะเอาสมบูรณ์จริงๆ มันก็คงราคาถูกกว่าวางเครื่องไม่มาก แต่ ความยุ่งยาก เหนือกว่าเยอะ เบ็ดเสร็จรวมแล้วผมว่าไม่ค่อยคุ้มครับ คุณต้องหาเทอร์โบให้ได้ก่อนประการแรก ถ้าจะเล่นง่าย ก็ซื้อเทอร์โบของ 1JZ-GTEVVT-i มาใช้ ราคาอยู่ประมาณ 8,000 บาท (อาจจะมีบวกลบบ้างตามสูตร) ใส่กันได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ไปอย่างนั้น ประการที่สอง คุณต้อง หาเวสต์เกตที่คุมบูสต์ไว้ประมาณ 0.5 บาร์ ให้ได้ ไม่ควรไหลไปเกินกว่านี้เยอะ เดี๋ยวจะไม่ทนซะ เป็นเรื่องต่อมา อินเตอร์คูลเลอร์ ถ้าคุณไม่ได้อัดรถยาวๆ กดแป๊บๆ แล้วเลิก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์คูลเลอร์ เพราะบูสต์มันน้อย (คุณต้องคุมให้อยู่นะครับ เน้นย้ำเลย) แต่ถ้าอยากสบายใจ จะหาใบเล็กๆ มาใส่ก็ได้ ประการที่สาม กล่อง ECU ต้องหาแบบ Programmableมาใช้ แล้วจูนใหม่ จะจูนเนอร์คนไหนก็แล้วแต่คุณถูกชะตา มันต้องเสียค่ากล่อง ค่าจูน ค่าไดโนอีก นี่แหละคือค่าใช้จ่ายที่มันพาเหรดจะตามมาทีหลัง และแรงม้าที่บูสต์น้อยๆ แค่นั้น มันก็ไม่มากไปกว่า 280 PS ของเครื่อง 1JZ-GTEVVT-i เป็นแน่แท้ ตัดความยุ่งยาก วางใหม่เลยดีกว่าไหม ทน แรง ไม่ยุ่งยากดีนะครับ…
Q : 2. แล้วแอดมินพอจะรู้สูตรว่าลดปะเก็นไปเท่าไรบ้าง หรือจะเพิ่มอะไรตรงไหนบ้างครับ…
A :พูดถึงการเซ็ตเทอร์โบ ผมเคยเห็นฝรั่งอเมริกันทำอยู่ แต่เป็นเครื่อง 2JZ-GE VVT-iใน LEXUS IS300 (ตัวถัง ALTEZZA) เทอร์โบ HOLSET รุ่นอะไรจำไม่ได้เพราะมันนานแล้ว ทำเต็มระบบเหมือนกันนะครับ เรี่ยวแรง 400 กว่า PS ซึ่งเขาบอกว่าไส้ในเดิม ??? บางทีก็ต้อง ฟังหูไว้หู นะครับ ฝรั่งก็ใช่ว่าจะเปิดเผยอะไรหมดทุกอย่าง คนก็คือคนนิสัยมันไม่ต่างกันเท่าไรหรอก เกียร์ออโต้เขาก็โมดิฟายด้วย สาเหตุที่ทำอย่างนั้นได้ มีหลายอย่าง เช่น ทำเอามันส์ ผมดูแล้วงบประมาณที่เขาทำมันก็ไม่ถูกแน่นอนครับ จำได้ว่าของที่ใส่เข้าไปก็เทพๆ หลายอย่าง อีกอย่างคือ ในต่างประเทศ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ข้ามรุ่น (Swap) มันไม่ได้ง่ายและราคาถูกเหมือนเมืองไทย จะต้องมีขั้นตอนเยอะ มีวิศวกรรับรอง และอะไรอีกหลายอย่าง เครื่องมือสองก็ราคาสูง ค่าแรงก็แพง จึงต้องทำไอ้ที่มีอยู่ไป…
กลับมาถึงเรื่องของคุณกันอีกครั้ง ถ้าไม่อยากให้ไส้แตกก่อนเวลาอันควร ก็ต้องมีการ ลดกำลังอัด โดยการ เพิ่มความหนาของปะเก็น ไม่ใช่การลดปะเก็นให้บางลง อันนั้นจะทำให้กำลังอัดสูงขึ้นแทนนะครับ โดยปกติ เครื่องไม่เทอร์โบ ปะเก็นจะหนาประมาณ 0.5 มม. เท่านั้น ส่วนรุ่นเทอร์โบ ปะเก็นจะหนาขึ้นเป็น 1.0 มม. ถ้าคุณจะทำจริงๆ ก็ต้องเอาปะเก็นรุ่นเครื่องเทอร์โบมาใส่หนึ่งแผ่นด้วยครับ…
E30 ใส่คาร์บูE21ดีไหม ???
Q : 1. สวัสดีครับ คุณอินทรภูมิ์ แสงดี ผมใช้ BMW E30 อยู่ เป็นรถของครอบครัวผมแต่ดั้งเดิม ใช้มาตั้งแต่ป้ายแดง เลยรู้สึกผูกพันมากไม่อยากจะขาย ตอนนี้มีปัญหาเรื่องคาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้าของเดิมรวนมาก 3 วันดี 4 วันซ่อม ผมเลยอยากจะโละมันทิ้ง ขับแล้วอันตรายมาก จู่ๆ ก็เบาดับ แถมห้องลูกลอยรั่วอีก เป็นปัญหากับผมมากๆ เลยครับ ซ่อมมาหลายทีก็ไม่หาย จึงมีสองทางเลือก คือ เปลี่ยนไปใช้คาร์บูเรเตอร์ของรุ่น E21 ที่เป็นกลไกล้วน ไม่มีไฟฟ้ามายุ่ง จะได้ตัดปัญหาตรงนี้ไป หรือจะเป็นคาร์บูเรเตอร์เครื่องญี่ปุ่น แต่ใจจริงผมอยากให้มันดูเป็น BMWเดิมๆ มากกว่า อีกอย่างหนึ่ง อยากจะเล่นคาร์บูฯแต่ง เช่น WEBER นอนคู่ หรือจะตัวเดียวแบบดูดลงก็ได้ แต่ก็อาจจะหายาก เพราะร้านที่ขายก็เลิกไปแล้ว อยากสอบถามคุณอินทรภูมิ์ มีความเห็นว่าอย่างไรครับ…
A : แหม คำถามนี้ดูเป็นทางการมากเลยครับ ไม่ใช่อะไรหรอก ผมเขินง่ะถ้าถามผมในด้านคาร์บูเรเตอร์ ที่นับวันจะเก่าลงทุกที ถ้าไปใช้คาร์บูฯของรุ่น E21 ที่จะยิ่งเก่าลงไปอีก อาจจะไม่รวนตรงระบบไฟฟ้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะหาสภาพของดีๆ ได้หรือไม่ ส่วนตัวผมก็คิดว่าไม่น่าจะย้อนกลับไปเล่นเทคโนโลยีเก่ามากกว่าตัวรถ เลยไม่อยากจะแนะนำเท่าไร ที่คุณอยากจะเล่นคาร์บูAfter marketส่วนตัวผมอยากให้เล่นตัวเดียวมากกว่า มันจะจูนได้ง่ายกว่าสองตัว อีกอย่างคือ เครื่องรถคุณก็เดิมๆ ใส่คาร์บูฯนอนคู่เข้าไป กลัวจะน้ำมันท่วม เดินเบาเขย่า ตีนต้นแย่ รอรอบ เพราะคาร์บูฯพวกนี้มันต้องใส่เครื่องทำซิ่งครับ ไม่ได้เอามาใช้กับเครื่องสแตนดาร์ด แต่ก็ต้องพยายามหาหน่อยครับ อย่างที่คุณว่ามา ว่า สหโรจน์ ก็เลิกขายคาร์บูฯซิ่งไปแล้ว คงต้องให้พวกที่ประมูลของในเว็บต่างประเทศ หรือลองเข้าไปพูดคุยในเว็บไซต์ www.bmwclassicthailand.comเผื่อจะมีผู้แถลงไขให้กระจ่างแจ้งเกี่ยวกับคาร์บูคลาสสิกพวกนี้ครับ ผมต้องขออภัยด้วยที่อาจจะไม่ได้ตอบชี้ชัด เกิดไม่ทันจริงๆ ครับ ส่วนคาร์บูฯญี่ปุ่นผมว่าลืมไปดีกว่าครับ ใส่แล้วต้องแก้ไขเรื่องกรองอากาศอีก ยิ่งคุณอยากจะให้รถดูเดิมมากที่สุด ก็ยิ่งไม่แนะนำครับ คาร์บูฯญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีดีก็ราคาถูก หาง่าย แต่ก็อาจจะไม่ง่ายนัก เพราะตอนนี้หัวฉีดมันครองเมืองแล้วละครับ คาร์บูจึงค่อยๆ หายไปในที่สุด…
Q : 2. ถ้าจะเปลี่ยนเครื่องยนต์ คุณช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ ว่าควรจะใช้เครื่องรุ่นไหนถึงจะเหมาะสม และผมอยากได้เครื่องที่ไม่ข้ามยี่ห้อด้วยครับ เครื่อง M20 ลงได้ไหมครับ…
A :อันนี้แหละแนะนำได้เลย ถ้าอยากจะใช้รถคันนี้ต่อในอนาคต ส่วนตัวผมแนะนำให้เล่นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใส่เข้าไปแล้วรถยังคงดูดีเหมือนเดิม หรือดูดีกว่าเดิมได้ครับ เครื่องญี่ปุ่นอย่าง SR20DE มีใส่ E30 กันเยอะมาก เพราะวางได้ง่าย ปัจจุบันนี้ก็มีคนเล่นกันอยู่ แต่ก็มีจุดอ่อนหลายอย่าง เช่น มาตรวัดจะต้องดัดแปลงสัญญาณให้ใช้กันได้ ระหว่าง BMW กับ NISSANจูนให้มันคุยกันรู้เรื่อง และดัดแปลงอุปกรณ์อื่นๆ ให้ใช้กันได้ แต่มันก็ยังไม่เต็มร้อยอยู่ดี เพราะมันข้ามชาติกันเลย ถ้าตัวเลือกที่เหมาะสมกับ E30 ก็คงหนีไม่พ้น M42นั่นแหละครับ เอาตัวที่อยู่ใน E36 ซึ่งจะเป็นเครื่องที่พัฒนาใหม่จาก M40 ของ E30 ไหนๆ จะเปลี่ยนเครื่องก็เล่นของใหม่กว่าไปเลยครับ อะไรๆ ก็สดกว่า เหมือนสาวน้อยแรกรุ่น ราคาเครื่องพร้อมเกียร์ธรรมดา อยู่ประมาณ 30,000-35,000 บาท อาจจะแพงกว่า SR20DE อยู่แค่หมื่นกว่าบาท แต่เชื่อเถอะครับ ว่า M42 มันวางใน E30 แบบดัดแปลงน้อยกว่า SR20DE เยอะ แน่นอนว่า ปลายทางย่อมถูกกว่า และความสมบูรณ์แบบที่คุณต้องการนั้นจบกว่าแน่นอน ส่วน M20 6 สูบ 2.5 ลิตร จะวางใน E30 ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ก็ขับมันส์ดี แรงแบบนุ่มนวลสไตล์เครื่องใหญ่ สูบเยอะ แต่ผมว่า M42 น่าจะเหมาะสมกับคุณมากกว่า ที่ต้องการลดปัญหาความจุกจิกของคาร์บู และเอาไว้ขับใช้งานในบางครั้ง หรือจะขับทุกวันก็ได้ครับ ไม่ต้องกังวลเลย เพราะ E30 ที่วางเครื่อง M42 นั้นบานเบอะ ไม่ว่าจะรถบ้าน รถแข่ง วางกันเพียบ…
เซ็ตโช้คอัพอย่างไรดี
Q : 1. ผมได้อ่าน XO AUTOSPORT มานานแล้วครับ ตอนนี้ใช้ STARLET EP71 อยู่ เพิ่งจะวางเครื่องยนต์ 4E-FE เกียร์ออโต้ ตอนนี้ก็ใช้งานอยู่ทุกวัน ชอบที่รถมันคล่องดีครับ แต่เซ็งอย่าง อะไหล่บางอย่างที่เคยถูกก็แพง เคยหาง่ายก็หายากขึ้น (ขอบ่นหน่อยครับ) ตอนนี้ผมอยากจะเซ็ตโช้คอัพใหม่ จะเปลี่ยนโช้คซิ่งของนอกทั้งชุดก็ไม่ค่อยมีตังค์ (แฮ่ๆ) ผมมองว่าใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องไปใช้โช้คอัพซิ่งขนาดนั้น จึงมีความคิดว่าจะไปทำร้านโช้คอัพที่มีชื่อเสียงดีในไทยนี่แหละ แต่อยากถามคุณพี ว่าผมจะบอกให้ช่างเซ็ตโช้คอัพอย่างไรดี เน้นขับแบบเฟิร์มขึ้น แข็งขึ้นได้ แต่ไม่ถึงกับกระด้างกระเด้งกระดอนมากไป…
A :ขอบคุณครับ ที่ติดตามกันมาโดยตลอด คำพูดคลาสสิกของผม แต่ก็ยินดีจะพูดต่อเมื่อท่านผู้อ่านยังไว้เนื้อเชื่อใจคนปากศัตรูแมวอย่างกระผม เอาละครับ ก่อนอื่นคุณต้องทำใจหน่อย ว่าเจ้า ดาวดวงน้อย ของคุณ ตอนนี้มันถูกนำกลับมาเล่นกันอีกแล้ว ด้วยรูปทรงที่ดูจะเป็น Retro แต่ก็ยังไม่ถึง ยังคงมีความร่วมสมัย ขนาดรถที่เล็กกะทัดรัด ขับใช้งานในเมืองได้คล่องแคล่ว อยากจะแรงก็ไม่ยาก สมัยก่อนก็เอา 2E-TEเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ จับยัดใส่เป็นได้จี๊ดจ๊าดทุกรายไป หรือจะข้ามไปเป็น 5E-TE 1.5 ลิตร แต่หาไม่ค่อยเจอ ของคุณSwapเป็น 4E-FE เกียร์ออโต้ ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนชอบความประหยัด ซ่อมบำรุงง่าย อะไหล่เยอะและไม่แพงด้วย เพราะตอนนี้ 2E ก็จะหายากขึ้นทุกที แถมจะแพงอีกด้วย หลายคนก็เลยหันมาเล่นกับตระกูล 4E ก็จะมีทั้ง FE และ FTEเทอร์โบ แล้วแต่ใครชอบแบบไหน แต่ใจจริงแล้วถ้าจะไม่เอาเทอร์โบ แล้วถามกันมาก่อนวางเครื่อง ก็จะแนะนำ 5E-FE 1.5 ลิตร ก็จะติดตีนกว่า 4E-FE อีกพอควร…
ในการเซ็ตโช้คอัพสำหรับ EP71 นั้น ก็จะต้องคำนึงหลายอย่างกว่ารถใหญ่เสียอีก เนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักเบาจริงๆ ท้ายสั้น ยิ่งจะเบาไปกันใหญ่ การใช้ช่วงล่างที่แข็ง จะยิ่งทำให้รถไม่เกาะถนน โดยเฉพาะด้านหลังที่เป็นช่วงล่างแบบคานแข็งธรรมดา ไม่ใช่ Torsion Beam เหมือนรุ่นใหม่ ถ้าใช้ช่วงล่างแข็งเกินไปจะยิ่ง กระดาน และ กระด้าง ไปกันใหญ่ ซึ่งก็เจอมาเยอะครับ ในทางเรียบอาจจะเกาะดี แต่ในทางบ้านเราถนนโคตร… (โปรดเติมคำในช่องว่างเอาเอง ขี้เกียจด่า) ก็คงไม่ดีแน่นอน ผมแนะนำว่า ในการเซ็ตโช้คอัพสำหรับรถวิ่งถนนเป็นหลัก และต้องการขับเร็วอย่างมั่นใจขึ้นกว่าโช้คอัพสแตนดาร์ด มันมีหลักอยู่ว่า ใช้ Bump หรือ Compression นิ่ม Rebound หนืดโช้คอัพของแต่งถ้าเป็นรุ่น Street ต่างๆ ก็จะใช้หลักการนี้ครับ…
ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่าง รถถนน และ รถแข่งสนาม โดยปกติรถถนนจะต้องวิ่งทางไม่เรียบ (ไปๆ มาๆ ก็ย้อนมาด่าสุดยอดถนนอั๊กลี่บ้านเราอีกเนอะ) ในจังหวะยุบ (Bump หรือ Compression) เมื่อเจออุปสรรค จะสัน ขอบเนิน หลุม อะไรก็ตามแต่ ถ้าช่วงยุบแข็งเกินไป จะทำให้เกิดความกระด้าง กระดอน พูดง่ายๆ คือ โช้คอัพไม่ซับแรงเท่าที่ควร ก็จะเกิดอาการดังกล่าวขึ้น ยิ่งรถเบาๆ ด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น จะต้องเซ็ตค่า Bump ให้นิ่มหน่อย ให้จังหวะยุบมีการซับแรงก็จะรู้สึกว่าไม่สะเทือนมากนัก ยังไงก็ดีกว่า Bump แข็งๆ เยอะเลย ส่วนจังหวะยืด (Rebound) อันนี้จะต้องเป็นในทางตรงกันข้าม คือ หนืด เพื่อให้รถไม่โยนหรือลอยตัวมาก ก็จะรู้สึกว่ามันหนึบขึ้น คุมง่ายขึ้น แต่ก็อย่าหนืดเกินไปนะครับ หากคุณใช้สปริงเดิม เดี๋ยวสปริงมันจะดันรถไม่ขึ้น วิ่งไปรถก็เตี้ยลงไป ฟีลลิ่งมันจะอมๆ ครับ เหมือนถูกรั้งไว้ตลอดเวลา เหมือนจะรู้สึกเกาะถนน แต่มันไม่ยืดสักพักมันก็ยัน ต้องดูสปริงที่เราใช้ด้วยครับว่าเป็นลักษณะไหน…
ส่วนรถแข่งที่นิยมใช้ Bump แข็ง เพราะไม่ต้องการให้รถยุบเยอะนัก รถแข่งจะต้องเลี้ยวแบบฉับไว (Flick) ได้ทันที ถ้ารถยุบเยอะมันก็จะ เอียงเยอะ ทำให้เกิดการโคลงตัว (Rolling) รถก็เลี้ยวช้าลง ส่วนเรื่องสะเทือนก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ Bump แข็งมากมายนะครับ แค่ในระดับหนึ่ง อย่างสนามพีระฯ มันมีช่วงโดด Bank ใน S1 และ S2 ด้วยความเร็วสูง (โดยเฉพาะ S1) ถ้า Bump แข็งเกินไป รถกระดอนมาก มาเร็วๆ มีโอกาสจะ เงิบ ได้ หรือสนาม Street race ต่างๆ อย่างลานทะเลสาบเมืองทองธานี ที่เป็นพื้นคอนกรีต ก็ต้องปรับ Bump นิ่มลงเช่นเดียวกัน แต่ละสนามก็มีเหตุผลของมันอยู่ แต่ถ้าเจอสนามเรียบๆ ไม่ต้องโดดอะไรเลย ผิวสนามดี เรียบ ก็ใช้ Bump แข็งขึ้น ให้รถเลี้ยวได้ไว พอมาถึงตรงนี้แล้ว คงเคยได้ยินใช่ไหม โช้คอัพรถแข่ง ไม่สามารถนำมาใช้ในรถบ้านได้เลย เหตุผลนี้แหละครับ…
ส่วนช่วงล่างด้านหลังที่เป็นแบบคานแข็ง ผมแนะนำว่าให้ Bump นิ่มลงกว่าด้านหน้า ส่วน Rebound ก็หนืดไว้หน่อย เพราะคานแข็งเวลาสะเทือนมันจะให้ตัวได้น้อย ก็ต้องเอา Bump นิ่มลงไปอีกสเต็ป เพื่อให้มันซับแรงไว้ ถ้า Bump แข็งจะบรรลัยละครับ เกวียนชัดๆ ส่วนตอนเลี้ยวเร็วๆ รถเอียงเยอะ ล้อด้านในมักจะลอยขึ้น และยิ่งรถท้ายเบามากอย่างนี้ด้วย ทำให้เสียการทรงตัวและเกิดอันตรายได้ เราต้องใช้ Rebound หนืดหน่อย เพื่อดึงรถให้อยู่กับถนนมากขึ้น ลดอาการล้อลอย ก็จะทำให้เกาะถนนดีขึ้นเวลาสะเทือนก็เหมือนกัน คานแข็งเวลาโยนทีมันโยนทั้งคาน จึงต้องเอา Rebound หนืดๆ ไปรั้วมันไว้ไม่ให้มันเหิมเกริมมากไป หลักก็มีอยู่ประมาณนี้แหละครับ ก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะให้ร้านโช้คอัพที่ไหนทำ และ เขาจะเข้าใจที่คุณบอกหรือไม่ ยังไงเลือกร้านดูดีมีมาตรฐานหน่อย สำคัญต้องมี Damper Dyno Test เอาไว้ทดสอบค่าต่างๆ ของโช้คอัพ (เหมือนแท่นวัดแรงม้านั่นแหละครับ) เพื่อความเป็นมาตรฐานในการทำ ไม่ใช่อาศัยการเดาด้วยแรงดึงมือครับ…
Q : 2. ไม่มีอะไรจะถามแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับ ขอให้โชคดี รวยๆๆๆ…
A :อ้าวเฮ้ย จบกันดื้อๆ งี้นะ ขอบคุณครับ รวยๆๆๆ เช่นกัน…
น้ำยาแอร์R12 กับ R134A เติมแทนกันจะพังไหม ???
Q :1. สวัสดีครับ สอบถามเรื่องน้ำยาแอร์ครับ ผมใช้ CEFIRO A31 เครื่องยนต์ RB20DET ตอนนี้เติมน้ำยาแอร์R12 อยู่ แต่พอเปลี่ยนท่อส่งน้ำยาแอร์ใหม่ทั้งหมด ร้านบอกใช้ท่อที่ใช้สำหรับน้ำยาเกรด R134A ไปเลยดีกว่า เผื่ออนาคตจะใช้น้ำยา R134A จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนท่อยางอีกครั้ง อยากทราบว่ามันใช้แทนกันได้จริงหรือไม่ครับ ผมกลัวโดนช่างหลอก เพราะไม่มีความรู้ด้านนี้เลย…
A :น้ำยา R12 ผลิตมาจากสาร CFC (ChloroFluoro Carbon) มีข้อเสีย คือ ทำลายชั้นโอโซน ส่วน R134A พัฒนาขึ้นมาจากสาร HFC (Hydro Fluoro Carbon) ที่ลดการทำลายชั้นโอโซน ถ้าจะพูดกันง่ายๆ (ไม่กล่าวถึงส่วนผสมอะไรต่างๆ นะ พอดีตกวิทยาศาสตร์) หนึ่งประการแน่ๆ คือ แรงดันของ R134A จะสูงกว่า R12 เพราะฉะนั้น หากคุณเอาท่อแรงดัน R134A มาใช้กับน้ำยา R12 นั้น ใช้ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตรงกันข้าม เอาท่อแรงดันที่ใช้กับน้ำยา R12 ไปเติมใช้น้ำยา R134A ไม่ได้ครับ รับรองแตกแน่นอน เพราะท่อแรงดันต่ำมาเจอแรงดันน้ำยาสูงๆ ไม่รอดแน่ รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ของระบบแอร์ทั้งหมดด้วยครับ…
Q : 2. แล้วรถผมในอนาคตจะเปลี่ยนไปใช้น้ำยา R134A ได้ไหมครับ ต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง…
A :จริงๆ แล้วรถที่ขายในต่างประเทศ เขาใช้น้ำยาR134A มาร่วมๆ 20 ปีได้แล้วครับ อย่างของคุณเป็นเครื่อง RB20DET นั้น ระบบแอร์มันทำมารองรับอยู่แล้ว คอมเพรสเซอร์แอร์ใช้ได้แน่นอนครับ เพียงแต่ว่าคุณต้องดูว่า อุปกรณ์แอร์ในรถคุณมันมีกี่อย่างที่รองรับ R134A บ้าง เพราะรถบ้านเราส่วนใหญ่ก็ยังใช้ R12 อยู่ ประการสำคัญ ต้องดู ตู้แอร์ ต้องเป็นของ R134A มันจะมีบอกไว้ ส่วนท่อต่างๆ คุณเปลี่ยนมารองรับ R134Aแล้วก็ดีไป สรุปง่ายๆ ถ้าจะเปลี่ยนใช้จริงๆ ก็ต้อง เช็กทั้งระบบครับ บางทีพวกซีล โอริงต่างๆ เริ่มเก่า ไปเจอแรงดันสูงมันจะรั่วได้ง่าย ถ้าจะทำก็ต้องเช็กให้หมดทีเดียวเลยครับ แล้วก็ใช้ยาวไป…
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก googleบางส่วน จาก www.speeddhunters.com
เรื่อง :อินทรภูมิ์ แสงดี
E-mail : pp_xo@hotmail.com