- สองหนุ่มคู่ซี้ “คุณฮัท” และ “คุณล้าน” เหลาของซิ่ง ของแต่ง ยุค 90’s
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : ธัญญนนท์ แสงภู่ (TakeSnap), ธวัชชัย กรสิทธิศักดิ์ (SlowTake)
ขอวนเวียนกลับมาในยุค 90’s ที่เหมือนกับเป็น Golden Era หรือ “ยุคทอง” ของการโมดิฟาย รถในยุคนั้นจะเป็นการเปลี่ยนจากยุค 80’s ที่จะออกแนว Retro จนมาถึงช่วงปี 1986 ++ ก็จะเริ่ม “ร่วมสมัย” แต่ในปี 90’s นั้น เป็นรถที่มีการ “พัฒนาแล้ว” ในด้านสมรรถนะ รูปทรง จนสามารถอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน รถยุคนี้ก็ยังมีเล่นกันอยู่ต่อเนื่อง ของแต่งต่างๆ ก็ยังหาได้ ถ้าเป็นของแต่งในสมัยนี้ มันก็สามารถซื้อหาได้ทั่วไป แต่… ถ้าย้อนไปถึงของแต่ง “ตรงยุค” ณ ตอนนี้ กลับกลายเป็น Rare Item ไปเสียแล้ว มันคือ “ของสะสม” ของเหล่า “นักสะสม” ที่จะต้องมีประสบการณ์ และ “ผ่านการเล่น” มาจริงๆ จึงจะ “รู้ของ” ว่าอะไรที่มันใช่และน่าสะสม…
อีกประการ ของแต่งในยุคนั้น จะเหมือนมี “มนต์เสน่ห์” ของแต่ละยี่ห้อจะมี “เอกลักษณ์” ส่วนตัว คนที่ชอบหรือช่วงที่ฮิตแบรนด์ไหน ก็จะต้อง “มี” ไว้ประดับรถ เหมือนเป็น “คุณค่าทางใจ” มากกว่า และสมัยนั้นจะต้องดิ้นรนหา “ของแท้” มาให้จนได้ มีตังค์เยอะก็ “จัดใหม่” ตาม Speed Shop ชื่อดังต่างๆ หรือใครมีตังค์จำกัด ก็ “มือสองเซียงกง” ที่จะต้องเดินหาตาม “กระจาด” ก็เป็นสิ่งที่สนุกดีเหมือนกันสำหรับสายเดินทัวร์ (อย่างตัวผมเองนี่แหละ) บางทีก็ “ฟลุค” ได้ของแปลกๆ ที่ไม่มีขายอย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อเวลาผ่านไป ของพวกนี้ก็ถูกทิ้งบ้าง สูญหายไปบ้าง ก็เป็นธรรมดาครับ ตอนนี้ของในอดีตก็กลายเป็น “Rare Item” อยู่ในการครอบครองของนักสะสมทั้งหลาย ครั้งนี้ เราได้ “บุกรัง” ของ “คุณล้าน” เพื่อชมของซิ่งยุค 90’s แล้วก็มีแขกรับเชิญพิเศษ “ฮัท” ซึ่งเป็นสาย Retro ที่หันมาสะสมของยุคนี้กันด้วย ลองดูครับ ว่าการ “รำลึกอดีต” ครั้งนี้ จะมีอะไรที่ทำให้คนยุคนั้น “ยิ้มออก” และคนยุคใหม่ได้ “รู้” ว่าสมัยนั้นเขาเล่นอะไรกัน…
- ของพวกนี้มันเป็น “ความสุขทางใจ” ที่เหมือนเชื่อมต่อระหว่างยุครถ Retro กับยุค Modern ที่สมัย 90’s ถือว่าการแต่งรถรุ่งเรืองมาก
The Way of 90’s Car Accessories
สำหรับของซิ่งยุค 90’s ต้องยอมรับว่าสมัยนั้นเป็น “ยุคทอง” ของการโมดิฟายรถจริงๆ เนื่องจากตัวรถเข้าสู่ยุค “พัฒนาแล้ว” ทั้งในด้านรูปลักษณ์ สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาได้ “ร่วมสมัย” จนกลายเป็น “ตำนาน” มาจนถึงปัจจุบัน ที่กระแสการเล่นรถยุคนี้ยังคง “เต็มพิกัด” อยู่ ไม่รู้ว่ะ ผมเองก็ว่ามันมีเสน่ห์จริงๆ นะ รถยุคนั้นมันเหมือน “ความฝัน” ที่หลายคนอยากจะสัมผัสความแรงของมัน หรือเคยผ่านมาแล้ว ฟีลลิ่งที่ตอบสนอง “ตรง” แม้จะไม่ดิบเหมือนรถยุคก่อนหน้านั้น คือ มันดิบในระดับหนึ่ง แต่มันสามารถควบคุมและโมดิฟายต่อยอดได้มากกว่ารถยุค 80’s มันเหมือนกับเป็น “ส่วนผสม” ระหว่างยุคก่อนกับยุคใหม่ ไม่เหมือนรถสมัยใหม่ที่เหมือนกับขับ “เกมคอมพิวเตอร์” ระบบต่างๆ มันช่วยเหลือให้ขับง่ายไปหมด รถยุค 90’s มันเหมือนเป็นสิ่งที่เรายังเล่นและสัมผัสกับมันได้ ไม่ยากเหมือนสาย Retro ปีลึก มันยังมีตำนานและเรื่องราวของมันอยู่…
แน่นอนครับ บุคคลนี้เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะมา “เหลา” ให้ฟังในคอลัมน์นี้หลายครั้งหลายคราว ล่าสุดก็ RX-7 และ NSX ไม่ใช่ใครครับ “จารย์ล้าน” นั่นเอง ทำไมเราถึงเลือกคนนี้ เนื่องจากเป็นคนที่เล่นรถยุคนี้มาตลอด และ “รู้ทรง” มีของสะสมแบบตรงยุคจริงๆ ทั้งซื้อสะสมไว้ตั้งแต่ยุคนั้น หรือจะประมูลมาในยุคนี้ก็ตาม จึงสามารถถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้เราได้ “เก็ต” กันได้ และมีแนวร่วมอย่าง “ฮัท” ที่หันมาเล่นรถยุคนี้ด้วยเหมือนกัน ดีครับ คอลัมน์นี้ก็จะยังคงสาระเมามันส์เช่นเคย โดยตัวผมเอง “พี สี่ภาค” ก็อาศัยว่าตอนนั้นก็ “ยังทันจะรู้ความอยู่” บอกก่อนว่าไม่ได้เป็นนักสะสมตัวพ่ออะไรกับเขาหรอก แต่ “จำเรื่องราวได้” ก็ถือว่าช่วยกันสื่อสารให้เนื้อเรื่องมันสนุกขึ้นไปอีกนะครับ…
เอ้า…ต้องบอกก่อนว่า ของซิ่งที่เรานำมาเสนอนั้น จะเป็นของในแนว Accessories ที่เป็น “แฟชั่น” การตกแต่ง ที่สามารถเก็บสะสมไว้ “โชว์” ได้ ของทุกชิ้นเชื่อว่าคนในยุคนั้นย่อมรู้จักกันดี แต่คนรุ่นใหม่ที่อาจจะ “ไม่ทันเล่น” ของยุคนั้น ก็ศึกษาซะหน่อย ว่าในยุคนั้นเขา “เล่นอะไรกัน” อย่ามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อย่าลืมนะครับ รถในฝันของคนยุคใหม่หลายคนก็ไม่พ้นยุคนี้ ซึ่งตอนนี้คนรุ่นใหม่หรือคนตรงรุ่นก็หันมาเล่นรถยุคนี้กันเยอะ ไหนๆ จะเล่นกันแล้ว ก็ขอนำเสนอเรื่องราวเป็นการสนับสนุนเลยก็แล้วกัน ว่า “เล่นแบบไหนดี” ถึงจะเข้ายุค…
The 90’s Style
สำหรับ “สไตล์” ยุคนั้น เริ่มกันจาก “ของ” กันก่อน สมัยนั้นการออกแบบของจะ “มีเอกลักษณ์” ของแต่ละค่าย จะพยายามสร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูด “สาวกซิ่ง” ให้มาเป็น Brand Royalty ของตัวเอง บางค่ายก็เน้นดีไซน์หวือหวา บางค่ายก็เน้นความเรียบ แต่ดูมีเสน่ห์ ประมาณว่า “ใครมีใส่แล้วเข้าแนว” เพื่อนฝูงนับหน้าถือตา ตานี้ก็แยกย่อยไปอีก ถ้าใครมีงบประมาณก็ “ซื้อของใหม่” ตาม Speed Shop ต่างๆ ก็แปลกว่ะ มันเหมือนเป็น “แฟชั่นความเท่” ว่าในสมัยนั้น ถ้าใครซื้อของจาก Speed Shop ที่โด่งดังสุดๆ มาได้ มันจะรู้สึกภูมิใจกว่าปกติ “เฝ็น” กับเพื่อนไม่เลิก เจอบ่อยไปครับ บางทีงบน้อย แต่ก็แห่กันไปซื้อของไอ้จุกไอ้จ้อย อย่าง “สติกเกอร์” หรือ “เสื้อยืด” จากสำนักแต่งดังๆ ขับรถดั้นด้นไปตั้งไกล เพื่อไปซื้อของกับ Shop ที่ตัวเองชอบ งานนี้ก็คุยไปได้อีกยาวว่า เฮ้ย กูไปซื้อของร้านนี้ว่ะ ได้เจอพี่เจ้าของร้านตัวเป็นๆ ด้วยว่ะ เผลอๆ ขอ “ลายเซ็น” ให้ด้วย เหมือนเป็น “ไอดอล” รถซิ่งก็ว่าได้ อารมณ์ตื่นเต้นแบบนี้ก็คงพอจะจำกันได้นะ…
มาถึง “ของเก่า ของใหม่” ก็ว่ากันไปตาม “งบ” ที่แต่ละคนมี ถ้า “เป๋าหนัก” หน่อย ก็ไปเลยครับ “เบิกใหม่สดซิง” มาซิ่งในรถเรา หลักๆ ก็ซื้อตาม Speed Shop นั่นแหละครับ สมัยนั้นของ “หิ้ว” มีน้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ แต่ถ้า “งบพอประมาณ” ก็นี่เลย “สวรรค์เซียงกง” ป๊อปสุดยุคนั้นก็ต้อง “ปทุมวัน” ก็ต้องอาศัย “เดินทัวร์” กันหน่อย ผมว่ามันสนุกดี (ถ้ามีเวลานะ) คุ้ยไปคุ้ยมา เจอของถูกใจ พอจ่ายไหว ก็ “ยิ้ม” กันไป สมัยนั้นของ Used แนวๆ นี้ไม่แพงมากครับ เพราะบางร้านก็ติดๆ มา ไม่รู้ว่าของแบรนด์ดัง งานนี้ต้องอาศัย “ฟลุ้ก” ดวงมันจะได้ ผมเคยเจอบ่อยไปครับ บางทีถูกไม่น่าเชื่อ (ตอนเจอของก็ต้อง “รักษาฟอร์ม” กันหน่อย อย่า “ออกอาการ” ให้มากนัก คนขายจะรู้ว่าเรา “อยาก” ราคาจะขึ้น แต่ถ้าตีเนียนๆ ไม่ออกอาการ อาจจะได้ถูกลง แต่ตอนนี้ไม่น่าได้แล้วนะ เพราะ “รู้ของ” กันหมด) บางคนเดินเพลิน ซื้อไปซื้อมา ของเต็มบ้านเลย ก็จะเกิด Moment ที่เรียกว่า “รักพี่เสียดายน้อง” ไอ้นั่นก็ชอบ ไอ้นี่ก็ใช่ ไอ้นู่นก็ไม่เลว เอาเข้าเอาออกอยู่นั่นแหละ (เอาของเปลี่ยนไปมา อย่าคิดมาก) ทำมันทั้งวัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาชัก “งง” เอง ตกลงกูจะเอาอะไรกันแน่ ผมเชื่อว่าคนที่ “ผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร” คงต้องมี Moment แบบนี้กันบ้าง…
สำหรับสไตล์การแต่ง ก็จะแบ่งอีก 2 ประเภทหลักๆ ว่า “แต่งแบบแบรนด์ตรงยี่ห้อรถ” เช่น NISSAN กับ NISMO/IMPUL หรือ TOYOTA กับ TRD/TOM’S หรือ HONDA กับ MUGEN/SPOON อะไรทำนองนี้ คนที่นิยมแต่งแนวนี้ก็จะค่อนข้าง “อนุรักษ์นิยม” และ “มีฐานะ” หน่อย เพราะจะต้องแต่งแบบ “ยกเซต” ตั้งแต่หัวจดท้าย มาเป็นแบรนด์เดียวกันทั้งหมด หรือใช้เป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีของแบรนด์อื่นปนบ้าง ยังไงก็ “อย่าหลุดโทน” อีกอย่างจะเป็น “แต่งแบบเลือกใช้ของตามชอบ” ก็จะมีทั่วไป อันนี้จะเป็นแบรนด์กลางๆ ใช้กันได้หมดทุกยี่ห้อ ในคันนึงก็มีหลายแบรนด์สลับกันไป แบรนด์ยอดฮิตสมัยนั้นก็ต้อง RAZO, MOMO, LONZA ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ศรัทธา แต่ยังไงก็ขอให้ “ไปในทิศทางเดียวกัน” เช่น รูปแบบ สีสัน อันนี้สำคัญ จะดูว่า “เป็น” หรือเปล่า ก็เรื่องนี้เป็นหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ “แต่งแบบใช้ของข้ามแบรนด์” เช่น NISSAN เอาของ TRD มาใช้ จริงๆ “ตัวผมเองไม่ได้มีอคติใดๆ” เพราะแล้วแต่ใจท่านชอบ เพียงแต่ใน “เทรนด์” คนแต่งรถจริงๆ เขาไม่นิยมกัน เอ้า แพ่มมาเยอะแล้ว มาดู “ของ” กันดีกว่า ว่าชิ้นไหนมันฮอตฮิต ชิ้นไหนแพงมหาโหด ชิ้นไหนหายาก ดูดิ๊ว่ารุ่นไหน “ป๊อป” เริ่มกันเลย…
- MUGEN FG360 “มิกกี้เมาส์” ตัวเลข 360 คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง หน่วยเป็น “มิลลิเมตร” ไอ้นี่แหละโคตรแพงของจริง
Steering Wheel
เอา “พวงมาลัย” ขึ้นก่อนแล้วกัน เพราะมันมักจะเป็นอุปกรณ์ภายใน “ชิ้นแรก” ที่จะเปลี่ยนกันก่อนอย่างอื่น…
MUGEN FG360
นี่เลย ยอดพวงมาลัยเทพ โคตรมหาแพง สาย HONDA คงได้ “ตะลึงตาวาว” เมื่อได้เห็น และถ้ามีวาสนาได้ครอบครอง MUGEN FG360 ล่ะ “งานใหญ่” สุดมาก บ้านเราเรียกรุ่นนี้ว่า “Mickey Mouse” เพราะมันมีปุ่มแตรสีแดงๆ โผล่มาสองปุ่ม เหมือน “หูหนู” ก็เรียกกันให้น่ารักไป ความนิยมนั้น “มหาศาล” สำหรับสาย HONDA โดยเฉพาะฝั่ง “อเมริกา” นั้น ตามล่ากันให้วุ่น ราคาก็เลย “ถีบ” ขึ้นไปมาก ประมูลกันเริ่มต้นราวๆ “เฉียดสี่หมื่นบาทไทย” นี่สภาพสวยกลางๆ นะ แต่ถ้าสภาพ “กริ๊บ” มีกล่อง สำคัญคือ “มีนวมกลาง” รับรองราคา “เฉียดแสนบาท” !!! นี่บ้าไปแล้วหรือ แต่ขอบอกว่าราคานี้จริงๆ ย้อนไปยุคที่มันเกิด ในเมืองไทยก็มีจำหน่ายครับ เท่าที่นึกออก ก็จะมี “กลั่นกรอง คาร์แคร์” และ “SPEED FACTORY” ที่อยู่ ณ ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ แล้วก็ “RPM” (Road Performance Motoring) ของ “คุณตุ๋ย” ย่าน RCA (ไม่ใช่ RPM ในปัจจุบันนะครับ) ตอนนั้นราคาประมาณ “หมื่นหก” ถ้าเป็น “รถเด่น” ที่ใส่พวงมาลัยรุ่นนี้ในยุคก่อน คือ ACCORD ตาเพชร สีเขียว จาก EMOTION R นั่นเอง…
- BENETTON “Harlequin” ยอดนิยมสีสัน
- BENETTON รุ่นนี้ “นวมใหญ่” จะฮิตน้อยกว่า
BENETTON FORMULA 1
ขาดไม่ได้เลย พวงมาลัยหลากสีสัน ยอดฮิตในยุคนั้น “เบเนตอง” ที่เป็นแบรนด์แฟชั่นเครื่องแต่งกายหลากสี แล้วก็มาทำทีมแข่ง F1 อีกด้วย จึงมีเวอร์ชั่นที่เป็นพวงมาลัยซิ่ง 4 สี (ยังดีไม่ 7 สี 7 ศอก) ที่จ้าง MOMO ผลิตให้ ต้องเรียกว่า “โดนใจวัยรุ่น” กันสุดๆ ในยุคนั้น เรียกว่าเดินเซียงกง ถ้ามี “แขวน” จะต้องมีคนสนใจอย่างมาก แต่ถ้าจะซื้อของใหม่ จะมี Speed Shop บางร้านติดเข้ามา หรือไม่ก็ต้องไปดู “ร้านเจ๊สะพานเหล็ก” ขายของแต่งรถแท้ๆ ร้านนี้ก็ดังเหมือนกัน (ขออภัย “คนต้นเรื่อง” ดันลืมชื่อเจ๊ไปเสียได้) ที่ฮิตกันมากๆ เพราะมันเป็น “แบรนด์ทั่วไป” ใส่รถอะไรก็ได้ ก็ใส่แม่มทั่วเมืองเลย สำหรับพวงมาลัย BENETTON ตัวยอดฮิต มี 2 รุ่น นะครับ…
รุ่น “3 ก้านโค้ง” ใช้พื้นฐานพวงมาลัย MOMO Type D35 ซึ่งเป็นทรงยอดฮิต นำมาเย็บหนัง 4 สี รุ่นนี้จะมีฉายาว่า “Harlequin” ซึ่งชื่อนี้มาจาก “ตัวตลกฝรั่ง” ที่ใส่เสื้อลาย “ข้าวหลามตัด” และเป็นสีสันแบบนี้แหละ เลยเอามาเรียก เพราะมัน “เหมือน” ตัวนี้คนไทยจะเรียกว่า “นวมเล็ก” ตอนนี้ถ้าเป็นของสภาพเยี่ยม มี Tag หนัง MOMO ราคาอันนี้โดนไป “หมื่นหก” สบายใจ…
รุ่น “3 ก้านตรง” หรือ “นวมใหญ่” อันนี้จะฮิตน้อยกว่า เพราะทรงมันจะไปทาง “รถยุโรป” ซะมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ในกระแสเหมือนกัน รุ่นนี้จะมีทั้งแบบสีสัน และ Black Version สีดำล้วนด้วยนะครับ…
- NISMO Old Logo ที่จะต้องมีแป้นแตรของมันที่ทรงไม่เหมือนชาวบ้าน
NISMO
กระชากอารมณ์กันหน่อย จากสีสัน สู่ “ความเรียบง่าย” สไตล์ NISMO ที่ไม่ค่อยจะหวือหวาอะไรนัก เน้นสไตล์สุภาพ ขรึมๆ แต่มีเอกลักษณ์ คนที่ชอบ NISMO ก็จะต้องเป็นแฟนๆ NISSAN ที่ออกจะ “อาวุโส” สักหน่อย บอกก่อนนะว่าแบรนด์นี้จะเป็นแบบ “เฉพาะทาง” ซึ่ง NISSAN ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นที่นิยม NISMO ก็เลยนิยมในเมืองไทยไปด้วย ณ ตอนนั้น ตัวแทนจำหน่าย NISMO อย่างเป็นทางการ คือ “Aim Motorsport” ของ “คุณปั้น” อยู่ถนนพหลโยธิน (ตอนผมเด็กๆ ได้ตามพ่อไปซื้อของ NISMO ซึ่งขณะนั้นกำลัง Clearance Sale อยู่ ก่อนจะเลิก NISMO และเปลี่ยนไปทำเกี่ยวกับ MERCEDES-BENZ แทน) ซึ่งพวงมาลัย NISMO ก็มีฮิตๆ อยู่ 2 รุ่น บอกก่อนว่า “ขออภัย” ไม่รู้รุ่น เป็นสไตล์ของของ NISMO ที่ไม่ค่อยจะบอก Detail อะไรมาก เหมือนรู้กันว่า ของในแต่ละยุคมันต้องทรงไหน…
รุ่น 3 ก้านตรง ถ้าตัวฮิตต้อง “330 F” มีขนาด “330 มม.” เป็นวงเล็ก ไอ้รุ่นนี้แหละออกมาตั้งแต่ยุคก่อน 90’s โดยออกแบบมาใช้กับตัวแข่ง JGTC ตัวฮิตจะต้องเป็น “Old logo” ยิ่งเก่ายิ่งแพง ถ้าเป็น New Logo ก็จะเป็นรุ่นใหม่ๆ ยุค 90’s ปลายๆ แล้ว มีทั้งแบบ “หนังเรียบ” (Leather) และ “หนังกลับ” (Suede) รุ่นนี้จะมีขนาด 360 มม. ด้วย เอกลักษณ์ที่พิเศษ คือ “แป้นแตรอยู่หลังก้านพวงมาลัย” เวลาจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา แล้วต้องการกดแตร ใช้นิ้วโอบไปด้านหลังแล้วกด ถ้าพลิกด้านหลังพวงมาลัยมาดู ที่ก้านจะมี “ร่องสายไฟแตร” ให้ด้วยนะ นับว่าแนวคิดประหลาดดีเหมือนกัน…
รุ่น 3 ก้านโค้ง อันนี้จะใหม่ขึ้นมาหน่อย แต่ก็ออกมาในยุค 90’s เหมือนกัน ตั้งแต่ยุค R32 แต่พอเป็น R33 จะใช้ในตัว “400 R” ก็ใช้เรื่อยมาจนถึง R34 เป็น New Logo มีทั้งแบบ หนังเรียบและหนังกลับ ตามฟอร์ม แต่จะให้ Supplier ที่ไหนผลิต ก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีปั๊มบอกอะไรไว้ (สไตล์ NISMO ก็งี้แหละ เงียบๆ ไม่ค่อยจะเปิดเผยอะไร) แต่ให้ “สันนิษฐาน” อาจจะให้พวก PERSONAL หรือ NARDI ผลิตให้ สังเกตที่ “นอตยึดพวงมาลัย” จะเป็นแบบ “2 ตัว อยู่บน” ก็จะมีสองเจ้านี้แหละที่เป็นลักษณะนี้ อันนี้ “คาดการณ์” นะครับ ถ้าผิดพลาดขออภัยมณี…
- IMPUL 913 EXPERT เคยมีขายอยู่ในเมืองไทย แต่ไม่นิยม ส่วนตัวผมว่ารูปทรงมันก็สวยดีนะ
- IMPUL 913 CF อันนี้แนว “ของประหลาดหายาก” ครับ
IMPUL 913 Series
อันนี้ก็ของสาย NISSAN แต่จะยิ่งเฉพาะทางกว่า NISMO อีก ความนิยมจะอยู่ในกลุ่มในวงที่ไม่กว้างนัก แต่ยุคนั้นก็ถือว่า “มีชื่อเสียง” ในระดับหนึ่ง บ้านเรารู้จักแบรนด์นี้จากตัวแข่ง R32 Group A ทีม CALSONIC IMPUL นั่นเอง สำหรับ Items ที่เอามาโชว์ บ้านเราอาจจะไม่ฮิต แต่ “หายาก” จึงดูไว้เป็น Rare Item ก็แล้วกัน…
913 EXPERT อันนี้ให้ MOMO เป็นผู้ผลิต ทรวดทรงสไตล์ Racing แต่มีเอกลักษณ์ที่ “แหวนแป้นแตร” แบบ 6 เหลี่ยม ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ถ้าเป็นแบบ “หนังกลับ” จะเรียกว่า 913 Special…
913 CF บ้านเราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน (รวมถึงผมด้วย) อันนี้เอามาให้ดูเพราะ “แปลก” และ “หายาก” ที่พิเศษสุดๆ ก็คือ “เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งอัน” เป็นที่มาของ CF นั่นเอง สมัยนั้นบ้านเราเรียก “เคฟลาร์” ไอ้นี่ไม่ใช่แค่หุ้มนะครับ “ขึ้นรูปแบบชิ้นเดียวทั้งอัน” จริงๆ เบาโคตรๆ นับว่าเป็นเทคโนโลยีการขึ้นรูป CF ยุคแรกๆ ข้างในกลวงอีกต่างหาก เอาเป็นว่า ขนาดประธาน IMPUL ยังมีเก็บไว้แค่วงเดียว แต่คนไทยมี “สุดไหมล่ะ” ท่านผู้ชม…
- ATC SPRINT-R COMPETIZIONE ทำปุ่มแตรเหมือน “ปุ่มตรัส” เหมาะมากสำหรับ R32 เพราะพื้นที่วางขามันแคบหน่อย เลยต้องใช้พวงมาลัยทรง D-Cut แบบนี้
ATC SPRINT-R COMPETIZIONE
รุ่นนี้เป็นพวงมาลัยที่ให้อารมณ์ Racing เต็มพิกัด ตอนนั้นรถแข่งก็นิยมใช้พวงมาลัยแบบ “ตูดตัด” หรือ “D-Cut” เพื่อเอาไว้ “หลบเข่า” เพราะรถแข่งตำแหน่งการขับจะเตี้ยหมด อีกอย่าง รถแข่งก็ไม่ได้หมุนพวงมาลัยเกินรอบอยู่แล้ว ด้านล่างจึงไม่จำเป็นต้องจับ สมัยนั้นพวงมาลัยทรง D-Cut ที่โดดเด่นก็จะเป็นค่าย “อิตาลี” ซะส่วนมาก สำหรับตัวยอดฮิตในบ้านเรา ก็จะเป็น “ATC SPRINT-R COMPETIZIONE” นี่ชื่อเต็มๆ นะครับ ความเท่ของมันก็จะอยู่ที่ “ปุ่มสีแดง” ตรงก้านพวงมาลัย และมีนอตยึดเพียงแค่ 3 ตัว ไม่สามารถใส่กับคอพวงมาลัยแต่งทั่วไปได้ พวงมาลัยรุ่นนี้ในบ้านเรามีขายตาม Speed Shop ชั้นนำทั่วไปครับ สมัยนั้นจะนิยมใส่กับ SKYLINE R32 เพราะทรงและขนาดมันเข้ากับความโค้งของหน้าปัดพอดีครับ…
- VEILSIDE COMBAT ทรงบึกบึน
VEILSIDE COMBAT
ตอนนั้น PROJECT-M กำลังเฟื่องฟู แบรนด์ VEILSIDE ก็เป็นที่รู้จักในเมืองไทย เพราะ SUPRA ในตำนานที่โมดิฟายจาก VEILSIDE Japan โดยตรง (นำเข้ามาทั้งคัน) และเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นี้โดยตรง สำหรับพวงมาลัย VEILSIDE COMBAT ก็จะออกแบบมาให้ดู “ล้ำสมัย” จนนึกอยู่ว่า “คิดได้ไงวะ” (ก็ลองดูพาร์ทเขาสิ) ในเมืองไทยอาจจะไม่ฮิตเหมือนพวก MOMO หรือ PERSONAL มีกลุ่มคนเล่นแบบเฉพาะทางไม่มากนัก แต่มันก็เป็นพวงมาลัยในตำนานยุค 90’s อีกรุ่นหนึ่งในเมืองไทยเหมือนกัน…
- RE AMEMIYA ทรง D-CUT
RE AMEMIYA
อันนี้สาย MAZDA RX-7 “FD3S” โดยตรง “ต้องมีนะฮะ” เป็นพวงมาลัยสไตล์ D-Cut ก้านก็จะหนาๆ อวบๆ จับมันส์มือดี อันนี้ก็น่าจะให้ MOMO ผลิต หนังหุ้มจะมี 2 สี คือ แดง และ ดำ ฝาแตรก็มีประมาณ 3 สี หลักๆ คือ แดง เขียว น้ำเงิน ส่วนโลโกบนฝาแตร ก็ดีไซน์ได้เท่ดี ออกแนว “วินเทจ” หน่อย เป็นตัว RE ที่ทำ Font กลมๆ แล้วมีลายเซ็น Amemiya ของ “เจ้าสำนัก” กำกับไว้ ถ้าตัวแทนจำหน่ายในสมัยนั้น คงไม่พ้น PROJECT-M อีกนั่นแหละ…
- ในยุคนั้น หัวเกียร์แบบ CF จะฮิตมาก
Shift Knob
อันนี้ขอพูดรวมๆ เลยละกันนะ หลังจากที่ได้ “พวงมาลัย” มาจับให้กระชับมือแล้ว ไฉนเลยจะปล่อย “หัวเกียร์” เอาไว้ได้ มันของคู่กันครับ ก็มีสไตล์ของแต่ละแบรนด์ คนที่ใส่ถ้าจะแนวๆ อนุรักษ์หน่อย ก็จะใส่พวงมาลัยกับหัวเกียร์แบรนด์เดียวกัน เข้าชุดกัน ตอนนั้นหัวเกียร์ก็มีทั้งแบบ “หนังหุ้ม” พวก NISMO, MOMO จะนิยมเป็นแบบนี้ ดูหรูๆ หน่อย แต่ถ้า “เทรนด์ฮิต” ยุคนั้นจริงๆ จะต้องเป็น “อะลูมิเนียม” ที่จะดูโคตรซิ่งกว่าแบบหนังหุ้ม แต่ถ้าจอดตากแดดล่ะก็ “ร้อนมือฮิบหาย” เอาน่า เป็นวัยรุ่นรถซิ่งต้องอดทน (ตอนนั้นนะ ตอนนี้คงขอสบายนิสนุง) ถ้าจะให้ “ฮอตฮิต” ก็ต้องหัวเกียร์อะลูมิเนียมที่มี “คาร์บอนไฟเบอร์” ประดับ ตอนนั้น CF ก็กำลังฮิตไง หัวเกียร์ของเทียมก็เลยติด “สติกเกอร์เคฟลาร์” (ขอเรียกตามยุคนั้นเลยนะ) ออกมาให้ดู “คล้าย” แล้วก็ใช้กันทั่วเมือง แม้แต่ “เกียร์ออโต้” ก็ยังมีหัวเกียร์ซิ่งเหมือนเกียร์ธรรมดา ที่แน่ๆ ก็ของ RAZO ดูดีมีราคา รองลงมาก็ LONZA ช่วงนั้น “สะพานเหล็ก” หรือ “คลองถม” ก็มีขาย “ของแท้” ด้วยนะครับ (แต่หลังจากนั้นก็มีของเทียมขายเพียบ) มันก็ลามไปถึงพวก “แป้นเหยียบ” ด้วยนะ แต่ขอละไว้ก่อน เพราะได้รับความนิยมน้อยกว่าหัวเกียร์…
- RECARO A8 สุดยอดในยุคนั้น
- RECARO SR3 อยู่ยงคงกระพัน
- นวมหุ้ม BELT แต่ละแบรนด์
Seat
เอ้า… ไหนๆ ลามมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องมี “เบาะ” กันหน่อย เบาะเดิมของรถนั่งทั่วไป ดูทรงไม่พึงใจ นั่งแล้วไม่พึงตูด เลยต้อง “ยกเครื่อง” กันใหม่ เอาเบาะซิ่งไฉไลมาใส่ไอ้ตัวแสบ ตอนนั้นเบาะที่ยังตราตรึงใจจนถึงปัจจุบัน แน่นอนครับ ไม่บอกก็ต้องแทงถูกว่าเป็น RECARO แบรนด์ดังระดับโลกจาก “เยอรมัน” เท่านั้น ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ คือ “TOON MOTOR SPORT” ถ้ายุค 90’s จะให้ “สุดประเทศ” ก็ต้อง “A8” ที่ตอนนั้นคู่ละ “เหยียบแสน” ใครใส่ตอนนั้นถือว่า “ไฮโซ” สุดๆ เพราะเบาะราคานี้คงนับคนซื้อใส่ได้ รุ่นนี้มีสอบแบบ คือ “หนังล้วน” และ “ผ้าลาย” ซึ่งด้านหลังเบาะ จะมีโลโก RECARO A8 เป็นวงกลม สำหรับอีกรุ่นที่นิยมมากในยุคนั้น ก็จะเป็น SR III ที่ถูกใช้เป็นเบาะในรถเวอร์ชั่นพิเศษต่างๆ หลายรุ่น ตอนนั้นยังไม่นิยม Full Bucket Seat เพราะมันไม่เหมาะกับการขับรถใช้งานในชีวิตประจำวัน RECARO ในยุคนั้นจึงเป็นแบบ “ปรับพนักได้” เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน รวมถึงความกระชับที่เหนือชั้นกว่าเบาะเดิมคนละโลก ไหนๆ พูดถึงเบาะ ก็พูดถึง “นวมหุ้มเบลต์” ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครใช้เบลต์ 4 จุด กัน ก็ใช้ของติดรถนั่นแหละ แล้วมาใส่นวมหุ้มเอา โดยหน้าที่แล้ว ไอ้ตัวนี้เอาไว้ “ซับแรง” เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วเบลต์รัดแน่น (ก็ต้องรัดให้อยู่ละ ไม่งั้นคงหัวทะลุไปข้างนอกรถ) แต่จริงๆ ก็เหมือนเป็นแฟชั่นมากกว่า มีขายเกือบทุกแบรนด์…
- เกจ์จากฝั่งญี่ปุ่น ตอนนั้นหน้าตาก็จะคล้ายๆ กันประมาณนี้แหละ จอขาวจะเป็นยุคหลังๆ หน่อย
- ไอ้นี่แหละ วัดบูสต์แพงสุดในโลก (มั้ง) HKS รุ่นนี้วัดได้ถึง “2 บาร์” กับราคาที่ขนหัวลุก
- วัดรอบสุดฮิต AUTO METER รุ่น Sport-Comp MONSTER พร้อม Shift-Lite จอดเผลอที่ไหนก็ “สบายดี” หายจ้อย ส่วนพวงมาลัย ATC ก้านยก ก็เริ่มมีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
Meter or Gauge
สำหรับ “มาตรวัด” หรือ “เกจ์” ที่ติดแยกออกมาต่างหาก เกิดจากรถโมดิฟายที่ต้องการ “รู้ค่าการทำงานของเครื่องยนต์” แบบละเอียด ก็เลยต้องติดเกจ์เพิ่ม โดยเฉพาะรถ “มีหอย” ที่จะต้องเอา “เกจ์วัดบูสต์” มาติดไว้บนหน้าปัด “ขู่” ว่ามีของนะเว้ย (แต่ขู่แล้วจะโดน “สวนหาย” หรือเปล่าไม่รู้) แต่ที่แน่ๆ “ล่อตาโจร” เรียกว่าโดนฉกกันไปไม่รู้เท่าไรแล้ว ตอนหลังก็เลยฮิต “ตัวยึดเกจ์ที่เสาหน้า” หรือ A-Pillar เกาะเรียงกันไปเลย มีทั้งแบบ “แยกเป็นตัว” กับ “ครอบทั้งเสา” มี 2-3 ตัว ก็ว่ากันไป ตอนนี้ก็ไม่ฮิตแล้ว กลับไปติดไว้บนคอนโซลเหมือนเดิม สำหรับเกจ์ที่ฮิตๆ ก็มีสองสัญชาติ ประมาณนี้ครับ…
AUTO METER
ไม่ต้องแนะนำมากนะครับ คนยุคนั้นถ้าไม่รู้จัก ผมว่าคุณไม่ได้เล่นรถจริงๆ ว่ะ “เกจ์ในตำนาน” แบบนี้ แรกเริ่มคนไทยจะติด “เกจ์วัดบูสต์” ไว้บนหน้าปัด ลักษณะของ AUTO METER ก็จะเป็นแบบ “On-Dash Gauge” มีขาตั้ง มีถ้วยครอบตูดเกจ์อย่างสวย สำหรับตั้งบนคอนโซลให้เด่นเป็นสง่า วัดบูสต์ที่ฮิตมากตอนนั้น จะเป็นแบบขนาด “2 5/8” หรือ “สองนิ้วห้าหุน” วัดบูสต์ได้สูงสุด 20 psi เป็นรุ่น “PRO-COMP Liquid Filled” หรือ “หน้าน้ำมัน” เอาไว้ป้องกัน “เข็มสั่น” จำได้รถพ่อเคยใช้ ตอนนั้นราคา “สามพันกว่าบาท” หลังจากนั้นก็จะเป็น “วัดรอบ” ขนาด 5 นิ้ว ยิ่งไอ้รุ่นมี Memory ยิ่งแพง ไอ้ตัวนี้ใส่กัน “สนั่นเมือง” เรียกว่ารถแรงไม่แรงก็ต้องดิ้นรนใส่หมด แถมมี “Shift Light” เอาไว้ยิงเข้าตาเวลา “รอบถึง” หลังจากนั้นอีกหน่อย ยุค “หน้าปัดขาว” กำลังฮิต ก็เป็นรุ่น PHANTOM หน้าปัดขาว ขอบดำ ตามสมัยนิยม เกจ์รุ่นนี้ทำ “กระจกแตก” มานับไม่ถ้วน “ล่อตาโจร” กันสุดๆ ถ้าใครจอดในที่ลับตาสักหน่อย ยิ่งกลางคืนตาม “สถานบันเทิง” มืดๆ ล่อๆ ลับๆ เอ๊ย ลับๆ ล่อๆ (สไตล์ “เสี้ยม ริมหาด”) รับรอง “ไม่รอด” ช่วงนั้น “ตลาดมืด” มีของโจรขายกันบาน ดูง่ายๆ ถ้าอุปกรณ์ภายในอะไรก็ตามที่วางขายอยู่ แล้ว “สายไฟถูกตัด” นั่นแหละใช่ คนซื้อไปก็ “ใบ้แดก” เพราะต่อไม่ถูก ไม่มี Wiring Diagram ให้โหลดในเน็ตเหมือนสมัยนี้นี่ฮะ มึงต่อมั่วๆ เดาๆ ไปละกัน อย่างเก่งสุดก็ “กระดิกได้แต่ไม่ตรง” ยิ่งพวก “ตัวปรับ” ทั้งหลาย สมัยนั้น HKS ก็มีหลายอย่าง กับ GReddy Rebic พวกนี้ก็โดนสอยเหมือนกัน แต่เอาไปก็ไร้ค่า ไม่มี Sensor จะไปทำอะไรได้ นอกจาก “ติดโชว์” แค่นั้น…
JDM Gauge
ข้ามมา “ฝั่งญี่ปุ่น” กันบ้าง อันนี้สำหรับสาย JDM ที่เน้นความเป็น “ญี่ปุ่น” ส่วนใหญ่แล้วเกจ์ที่นิยมกันก็จะเป็นของ GReddy มีสองแบบ “หน้าดำ เข็มขาว” แต่ที่สวยหน่อย “หน้าขาว เข็มดำ ตัวเลขเขียว” วัดบูสต์ “ตัวใหญ่” ขนาด “80 มิล” ถ้าไซส์นี้ก็จะมีพวก NISMO, BLITZ (หน้าปัดขาว เข็มแดง) นี่แหละที่เห็นกันบ่อยหน่อย บอกหน่วยเป็น “บาร์” หรือ kg/cm สมัยนั้นบูสต์กัน “บาร์เศษๆ” ก็ถือว่าเยอะแล้ว ไหลไป 1.5 บาร์ เสี่ยง “หรอยหลับ” ก็ต้องดูกันดีๆ เผื่อ “บูสต์ไหล ไส้แตก” กันนะครับ แต่ถ้าไฮโซและแพงโคตรๆ ก็ต้อง HKS ที่มีระบบ Warning จำได้เลย RAY SPORT ขายวัดบูสต์ตัวใหญ่ ราคา “สองหมื่นเศษ” !!! อันนี้ราคาจริงครับ จำได้เลย คนที่ซื้อใส่ก็จะต้อง “ตั๋งๆ” หน่อย เพราะของ HKS สมัยก่อนก็รู้ราคากันอยู่…
- BBS RS ลายยอดฮิต ที่ไม่ต้องคิด ใส่แล้วก็ต้อง “กดจม” แบบนี้
- SPARCO NS II เริ่มยุคแห่ง “ขอบสี”
- O.Z. Racing DTM จริงๆ ลายมันก็ไม่ได้สวยนะ มีสติกเกอร์โลโกแปะรอบๆ ล้อ แต่ส่วนใหญ่จะแกะออก ต้องใส่กับรถเตี้ยๆ จะดูโหดไปอีกแบบ ส่วน “สติกเกอร์ของแรง” จะแปะประตูในแบบนี้แหละครับ
- RE AMEMIYA AW7 ของคู่กาย RX-7
- ENKEI PRO 1 ก้านยาวเรียวเล็ก สวยสุดๆ ต้อง “18 นิ้ว” แบบคันนี้
- RIAL MESH ในตำนาน ต้องล้อซุก กดเตี้ย วัดความเตี้ยกันที่ “ซองบุหรี่”
Wheels
สำหรับ “ล้อ” แสนสวย ปราการด่านแรกของคนเริ่มแต่งรถ จะต้องมีแน่ๆ ล้อเยอะแยะมากมายครับ ผมคงบอกในนี้ไม่หมด เอาเป็นว่า ขอแบบ “ยอดฮิต” รุ่นหลักๆ
< ตอนนั้นไม่มีใครเกิน “BBS” รุ่น “RS” ลายรังผึ้ง บางคนบอก “ลายไม่ต้องคิด” คิดไม่ออก บอก BBS มาจากสายฝรั่งก็จริง แต่มีรุ่นสำหรับรถญี่ปุ่นด้วย ถ้าเป็นของคู่กันก็ต้อง BMW E30 ดีว่าเป็น 4 รู 100 มม. เลยเอามาใส่กับ “ยุ่นขับหน้า” ได้ด้วย ยุคนั้น “ของเมื้อนเหมือน” มีเกลื่อน…
< ถ้าพวกลายก้านๆ ก็ต้องเป็น SPARCO NS II ยุคนั้นเท่ด้วย “ขอบล้อ Anodize” สีแดง น้ำเงิน ลวดลายแปลกดีไม่ซ้ำใคร ยุคนั้นก็ต้อง SILVIA S14 หน้าหมู สีแดง ของ “คุณอู๊ดดี้” ใส่ขอบ 17 นิ้ว สวยสุดๆ ถ้ารถขับหน้า ก็หนีไม่พ้น CIVIC EG 4 Doors ของ “คุณที ZIGGY” ขุมพลัง ZC + Turbo จริงๆ SPARCO ตอนนั้นมีขายอีกรุ่น คือ NT (อันนี้ผมโคตรชอบ) เป็นลาย 5 ก้าน แต่คนไทยไม่ฮิตเท่าไร…
< ถ้าเป็น “ลายตัน” ช่วงนั้นกระแสรถแข่ง DTM กำลังมาแรง ถ้าของแท้ก็ต้อง O.Z. ทำ Center Lock แบบ “หลอกๆ” สมัยนั้น “รถดัง” ที่ใส่ล้อรุ่นนี้แล้ว “ขึ้น” ก็คือ CIVIC 3 Doors ของ “คุณนิค 5000 Miles” ขุมพลัง D15B + Turbo โมฯเต็มพิกัด จาก NOI ELEVEN รถสีขาว ล้อขาว ขอบ 17 นิ้ว กดเตี้ยๆ เรียกว่าคันนี้มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นจริงๆ ครับ ส่วนอีกแบรนด์ที่เป็นลายประมาณนี้ ก็คือ “IMPUL Silhouette” ครับ…
< อมตะจนถึงบัดนาว ENKEI PRO 1 ห้าก้านเรียว รถเด่นๆ ที่ใส่ก็จะเป็น SKYLINE R32 ของค่าย JUN ขอบ 17 นิ้ว ถ้าจะสุดก็ต้องขอบ 18 นิ้ว ใส่ RX-7 FD3S โคตรสวยเลย ฮิตกันจนถึงบัดนี้ ใส่รถทรงมนๆ ตั้งแต่ยุค 90 “เข้าทุกรุ่น” นับว่าออกแบบได้แจ๋วสุดๆ
< ชื่อรุ่นเรียกซะเสียอนาคต “ADVAN กางเกงใน” จริงๆ มันคือ SUPER ADVAN RACING รุ่น SA3R โดดเด่นด้วย Anodize ก้านดำ ขอบแดง หรือน้ำเงิน เป็นแฟชั่นในยุคนั้น…
< อื่นๆ ก็เป็นล้อที่ “เฉพาะทาง” เช่น “NISMO GT 2” ขอบ 17 นิ้ว ใส่ R32 ขอบ 18 นิ้ว ใส่ R33 ก็สวยตรงรุ่น “RACING BEAT” 6 ก้าน สำหรับ RX-7 FD3S ตอนนั้นก็มีคนเอามาใส่ ACCORD ตาเพชร โหลดเตี้ยๆ ก็สวยดี อีกอัน “RE AMEMIYA” ลาย 5 รู ก็สวยมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ…
< ยังไม่ลืม VEILSIDE ANDREW 5 ก้าน ยุคนั้นจะมี SUPRA สีดำ ใส่อยู่ เป็นรถลูกค้า PROJECT-M (คันนี้เหมือนเคยเห็นไปทำที่ RAY’S SPORT ก่อน) ล้อชุดนั้นจริงๆ ก็เคยเป็นของ SUPRA VEILSIDE ของ “เฮียเล็ก” นั่นแหละ แต่นึกไง เปลี่ยนใจไปใส่ O.Z. FUTURA (เป็นล้อที่ผมโคตรชอบที่สุด) ก็เลยขายต่อให้คันสีดำนี้ไป ตอนหลังมีของเมื้อนนนเหมือน ตอนนั้น “ฮา” สุดๆ ก็ออกมาชื่อ WHEELSITE ก็เอาที่สบายใจก็แล้วกัน…
< ตบตูดด้วย RIAL Mesh รู้กันภาษาสายซิ่งว่า “เรียลออฟลึก” อันนี้โคตรมหาฮิตกันทั่วเมืองจริงๆ คนจะเรียกว่า “ออฟเซตกระป๋องโค้ก” คือเอากระป๋องน้ำอัดลมวางที่ขอบได้เลย หรือ “ออฟเซตแมวนอน” ก็ว่ากันไป ตอนนั้นกระแสรุนแรงมาก ตั้งแต่รถขนาดใหญ่อย่าง BMW E34 รองลงมาก็ E36 ไปยันรถขนาดเล็กอย่าง CIVIC EG อะไรประมาณนี้ ก็ต้องหาทาง “ยัด” เข้าไปให้จนได้ และทำรถให้เตี้ยสุดๆ จนต้อง “ดัดและตัดปีกนก” กันอุตลุด ยังไงไม่ว่า ขอให้ “เท่สุดใจ” กูก็ยอม อย่าง SOLUNA ก็เอากะเขามั่ง ช่วงล่างหลังเป็น “คาน” ก็ยังอุตส่าห์ไป “ดัด ตัด เชื่อมดุมล้อหลังใหม่” ให้แคมเบอร์มันเป็นลบ เพื่อที่จะยัดล้อเข้าไปจนได้ นับว่าตอนนั้นเป็น “ล้อกระแส” จริงๆ สำหรับรถซีดาน เก่าหรือไม่ รู้ กูต้องใส่ แต่พวกรถสปอร์ตกลับไม่ค่อยนิยม จะหันไปเล่นกับล้อญี่ปุ่นชื่อดังซะมากกว่า…
- ฝาน้ำมันเครื่อง (Oil Cap) ในตำนาน VEILSIDE TURBINE TYPE ที่โดดเด่นมากในยุคนั้น และ “แพง” นะฮะ
- ตอนนี้ใครมีของพวกนี้เก็บไว้แบบมี Package ที่ไม่เคยแกะ ราคาพุ่งพรวดเลยนะ ในรูปเป็นของ CALSONIC ซึ่งทรง “ห้ากลีบ” แบบนี้ ของ NISMO ก็มี
- สติกเกอร์ตัว “ตัดไฟ” ที่ฮิตเอามาติดกัน
- หม้อพักทรง “อวกาศ” ในยุคนั้น เป็นอะลูมิเนียมพร้อมครีบระบายความร้อน อันนี้ของ DEVOLT ไอ้หน้าตาแบบนี้มีอีกยี่ห้อนึงก็คือ HOSHINO RACING (ข้าพเจ้าเคยมี แต่ขายไปซะแล้ว เสียดายจัง)
ETC.
< ที่เหลือก็จะเป็น “โหมดจุกจิก” เช่น “ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเครื่อง” อันนี้ต้องมีในห้องเครื่องเป็นชิ้นแรกๆ เพราะ “ราคาถูกสุด” สมัยนั้นถ้าของมี “เอกลักษณ์” ก็ต้องนี่เลย “VEILSIDE” เป็นทรง “เทอร์โบ” ตอนนั้นของใหม่อยู่ประมาณ “4,500 บาท” ไม่ถูกนะครับ แต่เรียกว่าไม่ซ้ำใครแน่ๆ เพราะของส่วนใหญ่จะยังเป็น “ทรงดอกไม้” กันอยู่ ถ้าสาย NISSAN ก็ต้อง “NISMO” หรือ “CALSONIC” 5 กลีบ เป็นต้น…
< ลืมไม่ได้ คือ “สติกเกอร์แรงทางใจ” โอ้โห ต้องติดตรง “ประตูหน้า” เป็นแถบเลยนะ เอาแม่มทุกสำนัก โดยเฉพาะ “HKS” ที่เข้าวิน ไล่เรียงมาก็ TANABE, GReddy, TRUST, KAKIMOTO (ยี่ห้อกรองอากาศแบบ “มีหลุมกลาง” ซึ่ง K&N ผลิตให้ มีหม้อพักไอเสียด้วย) แล้วก็แบรนด์พวก NISMO, TRD ตามยี่ห้อกันไป แล้วก็ต้องมี “สติกเกอร์สวิตช์ตัดไฟ” ที่เป็นตัว E และฟ้าผ่า นั่นแหละ รวมถึงสติกเกอร์ที่เป็น “ช่องเติมน้ำมันรถแข่ง” แบบหลอกๆ ติดฝาท้ายอีกด้วย…
< สำหรับกระแส “เซตโบ โมฯเช็ด” กับเครื่องเดิมติดรถ “ที่ขายในบ้านเรา” (นะ) ตอนนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่ง “เล่น” เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นสำนัก NOI ELEVEN ตัวแรงๆ เช่น CIVIC EG 3 Doors เครื่อง D15B + TURBO ของ “คุณนิค” และ ACCORD ตาเพชร เครื่อง F20A + TURBO สีขาว ล้อ 7 ก้าน ประมาณว่า ขุนเครื่องเดิมให้ไปสวนเครื่องนอกวางใหม่ได้ แต่วิธีนี้ก็ไม่ใช่ถูกนะครับ กว่าจะโมฯให้แรงได้ก็แพงกว่าซื้อเครื่องแรงจากนอก แต่มันได้เรื่อง “สะใจ” เป็นหลัก คนทำก็ต้อง “ถึง” ด้วยนะครับ ไม่งั้นดันพัง Ship หายหมด…
Speed Shop 90’s
สำหรับ Speed Shop ในยุคนั้น ยอมรับว่า “มีเยอะพอสมควร” ขอคัดเฉพาะที่ “โด่งดัง” มา “รำลึกความหลัง” กันหน่อยนะ…
RAY SPORT : เจ้าตำนาน HKS ในยุคนั้น ดั้งเดิมอยู่ “พระโขนง” ในหมู่บ้านนั้นจะต้องมี “ตัวแรง” จอดอยู่เพียบ น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ละคันทรงเครื่องกันเพียบ คนดังๆ เช่น “คุณป๊อปปิ”, “คุณอั๋น ATP” (แก๊ง KANSAI) และอีกหลายๆ คน ก็เคยเป็นลูกค้าที่นี่มาก่อน…
PROJECT-M : อยู่ “ซอยวัดบัวขวัญ” ของ “คุณเล็ก” คงไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะขายของแบรนด์ดังๆ หลากหลายจริงๆ เป็นที่ฮือฮามากในยุคนั้น…
EMOTION-R : ของ “คุณหม่อม” อยู่หน้า “ABAC” มีแบรนด์หลากหลาย ตอนนั้นรับ “เซตโบ” คันที่ดังๆ ก็ ACCORD ตาเพชร สีเขียว (เป็นรถลูกค้า แต่คนจะนึกว่าเป็นรถคุณหม่อม) H22A + Turbo กล่อง MoTeC ฮือฮามากเพราะสมัยนั้นมีคนกล้าสั่งมาใช้ไม่กี่คน…
RPM : ของ “คุณตุ๋ย” สายนี้ก็เล่นรถมาเยอะ เปิดร้านขายเองแม่มเลย อยู่ RCA ขายสินค้า HKS, TRUST & GReddy เบาะ RECARO และ SPARCO พวงมาลัย ATC, NARDI ตัวแรงประจำร้าน คือ SKYLINE R32 สีฟ้าสวยงาม…
SPEED FACTORY : ของ “คุณก้อง” อยู่ “ซีคอนสแควร์” ชั้น G เน้นของตกแต่งสวยงาม Accessories ต่างๆ อยู่ใกล้กันก็คือ “กลั่นกรอง คาร์แคร์” ขายของแนวเดียวกัน…
DRIVER MOTORSPORT : ของ “คุณเหน่ง” เปิดอยู่ชั้น Basement “เซียร์ รังสิต” ขานี้ของแปลกๆ นำเข้าจากญี่ปุ่นเยอะ เพราะที่บ้านเขาวิ่งของเองอยู่แล้ว เลยสั่งของแปลกๆ ออร์เดอร์พิเศษมา “สนอง Need” สายซิ่งได้…
- Andy & Eddie @ SHORT BLOCK
- Lek @ Project-M
- Tui @ RPM
90’s Men Talk
Eddie & Andy SHORT BLOCK : ถ้าจะให้ย้อนไปยุคนั้น กลุ่มรถซิ่งดังๆ และมีรถสปอร์ตญี่ปุ่นระดับหัวๆ เพียบ ก็จะต้องเป็น KANSAI แน่นอนครับ กลุ่มนี้จะซิ่งกันแบบมีมิตรภาพ ไม่เกเร เลยเป็นทีมที่พวกเราประทับใจทีมหนึ่งในยุคนั้นเลยทีเดียว…
Lek PROJECT-M : สำหรับ “สปอร์ตในฝัน” ของยุคนั้น จะให้ “สุดจริง” ก็ต้อง HONDA NSX แน่นอน ตอนนั้นเมืองไทยมีน้อยมาก ด้วยราคาที่แพงกว่าสปอร์ตญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆ อยู่ “ล้านกว่าบาท” ใครมีขับถือว่า “โคตรรวย” ส่วนใหญ่ NSX จะเป็น “สายหล่อ” มากกว่า ถ้า “สายแรง” ก็ต้อง SUPRA JZA80 หรือราคาย่อมลงมาหน่อย ก็จะเป็น RX-7 FD3S รถเยอะมาก สองรุ่นนี้เป็นทรง “สปอร์ตพันธุ์แท้” ส่วน SKYLINE GT-R ตอนนั้นถือเป็น “ตัวเลือกสุดท้าย” เพราะทรงมันออกแนว GT ไม่สปอร์ตแท้ แถมรถมีน้ำหนักมาก คนเลยไม่ค่อยเลือกกัน…
Tui RPM : สำหรับสิ่งที่เป็น “เสน่ห์” ในสมัยก่อน นอกจากตัวรถที่เป็นระดับตำนานแล้ว ในฐานะที่ผมเคยขายของแต่ง ก็ทำให้รู้ว่า การจะซื้อของไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้เลย ของต้องสั่งนอก รอกันเป็นเดือนๆ คนขายจริงๆ ก็มีไม่มาก ไม่ได้สั่งกันได้เยอะและง่ายเหมือนสมัยนี้ ยุคนั้นถ้าจะให้มันส์ก็ต้อง “ทัวร์เซียงกง” มีลุ้นตลอดว่าเราจะเจออะไรบ้าง บางทีไอ้นี่ถูกใจ แต่ไม่รู้ว่าซื้อมาจะใส่ได้มั้ย สภาพดีมั้ย เน่าในหรือเปล่า ลองผิดลองถูกมาก็เยอะ ต้องศึกษาหา “ความรู้” ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเชี่ยวชาญ ผมว่ามันมีเสน่ห์ตอน “หาของ” นี่แหละครับ…
Special Thanks
คุณล้าน, คุณเล็ก PROJECT-M สำหรับเรื่องราวย้อนยุครถซิ่ง 90’s, คุณตุ๋ย RPM ที่แบ่งของยุค 90’s มาให้ คุณล้าน ได้เก็บรักษาต่อ และ “คุณฮัท” ที่ร่วมเอาของสะสมมาให้ชมกัน…