Reed it More – Fitment / Stance / Flush “What is ?”

 

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : ธัญญนนท์ แสงภู่, ภูดิท แซ่ซื้อ

Low Life Story (ฉบับย่อ อ่านง่าย)

เคลียร์ใจสายเตี้ย สายเบียดแบบไหนเรียกอะไร

แน่นอนครับ การแต่งรถของทุกคนก็ย่อมจะต้องมีวิวัฒนาการโดยเริ่มจากการเปลี่ยนล้อกันก่อน จากการที่ล้อเดิมดูดาดๆ” (มาจากคำว่าสแตนดาร์ด”) จนอดทนไม่ได้ แต่พอเปลี่ยนล้อแล้ว สเต็ปต่อมาก็ต้องจัดทรงกันหน่อย เนื่องจากรถเดิมๆ มันก็จะโย่งๆ เพราะเขาทำให้ทุกคนใช้งานได้ถ้าสายซิ่งก็ต้องโหลดเตี้ยเพื่อให้รถเตี้ยลงมา Match กับล้อพอดี เพราะล้อที่ใส่ไปก็จะใหญ่กว่าล้อเดิมแน่ๆ มันจะดูฟิตเต็มพอดี ได้เรื่องความสวยงามและการทรงตัวที่ดีขึ้น (หากโหลดโดยใช้วิธีการและช่วงล่างที่ถูกต้อง) แต่ความต้องการของคนย่อมไม่สิ้นสุด สไตล์เตี้ยเลียดินจึงเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสายโชว์ยิ่งใครโหลดได้เตี้ยสุดๆ ล้อใหญ่ๆ แคมเบอร์ลบเยอะๆ หรือแบะนี่โคตรเท่ ตอนหลังก็จึงเกิดการแตกหน่อออกมามากมายหลากหลายสไตล์ หลายคนอาจจะรู้จักชื่อเรียกแต่หลายคนอาจจะยังสับสนหรือไม่เข้าใจอยู่บ้าง ว่าไอ้ที่เรียกๆ กันแบบไหนมันคือแบบไหนเพราะฉะนั้น ครั้งนี้เรามาเคลียร์ปัญหาใจกันดีกว่า ว่าจริงๆ แล้ว การจัดทรงรถเตี้ยๆ ในแต่ละแบบนั้น ต้องทำกันยังไง

.

ตำนานเรื่องเตี้ยๆในกาลก่อน

การแต่งรถจริงๆ ก็มีมานานแล้ว แต่จะบูมสุดๆ และเราคุ้นเคยก็จะเป็นช่วงยุค 80 หรือยุค เดอะ พาเลซที่รถซิ่งระบาดมาก แน่นอนว่า การแต่งรถก็จะต้องตัวเตี้ย ล้อกว้าง ยางอ้วนการโหลดเตี้ยสมัยก่อนนู้นก็ไม่ค่อยมีใครซื้อของแต่งกันหรอก ประการแรกมันแพงต้องคนมีตังค์หน่อย แต่ถ้าสไตล์บ้านๆก็ตัดเตี้ยหรือตัดสปริงรวมไปถึงตัดแกนโช้ค อัดน้ำมันเน้นเตี้ยไว้ก่อน จึงเป็นที่มาของคำว่าเด้งเหี้เตี้ยแป้กส่วนล้อตอนนั้นก็ต้องขอบ 13 แบบลึกๆที่ตอนนี้ราคาดั่งทอง มีแต่ขึ้น ไม่มีลง ตอนนั้นถ้าใครงบน้อยก็จะเอากระทะเหล็กไปผ่าขยายไซซ์ ที่เรียกกันล้อผ่าๆนั่นแหละ ยางก็มีหลายแนว ถ้าคนตังค์เหลือหน่อย ก็จะซื้อยางสลิคหรือยางตัวหนอนพวกยางซอฟต์ต่างๆ มาใส่ แต่ถ้าตังค์น้อย ก็เอายางทั่วไปนี่แหละใส่ดึงแก้มเอา แล้วก็จะต้องมีลิ้นหน้าทรงรถไถเลยเป็นสโลแกนประจำคอลัมน์ Return To Retro ว่าล้อกาง ยางปลิ้น ลิ้นกวาดล้อกางติดซุ้มใช่มะ ได้เลยตัดซุ้ม ใส่โป่งเย็บแม่มเลย ตอนนั้นเรื่องของ Fitment หรือ Stance อะไร ยังไม่มีใครมาบัญญัติไว้หรอก และโดยมากก็จะเป็นโหลดล้อตรงเพราะส่วนใหญ่รถทั่วไปยุคนั้นโดยมากก็จะเป็นช่วงล่างหลังแบบคานแข็งซึ่งจะไม่สามารถแบะล้อใดๆ ได้ มันก็เป็นแฟชั่นในยุคนั้น ตามที่มันจะพอทำได้

อีก 10 ปี มาถึงยุค 90 ที่เหมือนกับเป็นยุคทองของการแต่งรถ วัยรุ่นยุคนี้ไม่ทันแน่ๆ ก็จะมีวัยแรดอายุหลักสี่นี่แหละ เล่นกันหนักมาก ในตอนนั้นก็จะเน้นล้อใหญ่พวกล้อ 17 นิ้วออฟลึกนี่เลย RIAL Mesh ตอนนั้นบ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง จริงๆ มันเหมาะกับรถขนาดกลาง อย่าง HONDA ACCORD ตาเพชร หรือไฟก้อนเดียว/สองก้อน หรือ NISSAN CEFIRO A31 ค่อนข้างใหญ่ระดับ BMW 5 Series E34 หรือ MERC E-Class W210 แต่พวกรถเล็กๆ อย่าง SOLUNA หรือ CITY หรือ CIVIC ก็ยังอุตส่าห์ฝืนยัดเข้าไปจนได้ โดยการตัดต่อปีกนกหรือแหกซุ้มในอะไรติด กูทุบหรือตัดหมด ในตอนนั้นเริ่มบ้าล้อแบะเพราะรถยุค 90 ส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงล่างอิสระ สามารถทำแคมเบอร์ลบมากๆ ได้ แต่พวกช่วงล่างหลังคานแข็งในรถขับหน้า ตอนนั้นก็ SOLUNA AL50 รุ่นแรก ก็ยอมตัดเชื่อมคอม้าหลังใหม่ ให้ล้อหลังแบะได้ ไม่ได้บอกว่ามันขับดีนะ แต่มันเป็นหนทางที่จะยัดล้อเข้าไปในซุ้มให้ได้ เป็นแฟชั่นในยุคนั้น ตอนนั้นก็ตัดสปริง อัดน้ำมันโช้คตามสูตร เรียกว่าต้องกดให้เตี้ยแบบซองบุหรี่ตะแคงถึงจะสุด มันก็เป็นการ “Fitment Check” ในยุคนั้นตามประสาวัยรุ่น ว่าใครสุดกว่ากัน ตอนนั้นก็เตี้ยสดวิ่งไปท้องกระแทกพื้นไฟแลบไป คร่อมหมุดตาแมวอันใหญ่หน่อยแบบไม่ดูสระอีสระแอรับรองแคร็งค์แตกขับข้ามเนิน คอสะพานชันๆ หรือเนินดักรถซิ่งตามมหาลัย ก็ต้องตะแคงข้ามแบบมีลีลา ถ้าเพื่อนนั่งกันมาเยอะ ก็ต้องไล่มันลง เผลอๆ ก็ต้องช่วยกันยกรถอีก รถคันอื่นรำคาญก็บีบแตรด่าแม่กันให้ลั่น แต่มันก็เป็นสีสันในยุคนั้นจริงๆ ที่พอยุคนี้ หากวัยรุ่นยุค 90” กลับมารวมตัวกัน ก็เอามาเล่าความหลังกันอย่างมีความสุขทุกครั้ง

Flush Style สังคมรถเตี้ยที่กลับมาอีกครั้ง

ยุคก่อนนั่นก็คือแนวทางการทำเตี้ยแบบสังคมพาไปไม่มีการกำหนดชื่อแนวทางใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่าทำกันจนเป็นสังคมนิยมหลังจากนั้น การแต่งรถแนวนี้ก็หายไป เพราะมันขับลำบากและรถพัง” Ship หายหมด แต่ในช่วง 5-6 ปี ที่แล้ว กระแสรถเตี้ยกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มีคำจำกัดความและมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน จนเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมหรือ “Culture” ก็ได้ เรามาดูถึงเรื่องราวและคำนิยามของแต่ละอย่างกันเถอะพ่อคุณ

.

Hella Flush Begin

ย้อนไปเมื่อปี 2006 หรือ 13 ปีที่แล้ว มีวัฒนธรรมการแต่งรถที่มาจากแนว Street ทั่วๆ ไป จากอเมริกาในย่าน L.A. และ San Francisco ที่มีคนเอเชียอยู่มาก ผู้ที่สร้างกระแส Hella Flush ขึ้นมาก็คือ “Mark Arcenal” (มาร์ค อาร์เซนอล) เป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายฟิลิปปินส์ ที่บัญญัติการแต่งแบบนี้ขึ้นมา ไม่ได้ซื้อของแต่ง ชุดคิต ราคาแพงๆ ไม่ใช่รถเทพ โดยมากก็เป็นพวกรถญี่ปุ่น หรือ Import car ทั่วไปนี่แหละ จับมาโหลดเตี้ยแทบจะลากพื้น แล้วมีแนวการแต่งที่ใช้ล้อกางๆแต่ยางแคบๆมันเป็นการแต่งรถที่ผิดแปลกจากทั่วไป ทำแคมเบอร์ลบจนกระทั่งยางเบียดซุ้มล้อเอาแบบเฉียดที่สุด แต่ยังต้องขับได้ ตัวรถก็มีการตกแต่งสีสัน หรื สติกเกอร์ลายแนวๆ Gangster หรือจะปล่อยคลีนโล่งๆ หรือจะมี Prop อะไรบางอย่างประกอบ ไม่ว่าจะเป็น สีล้อ ลวดลาย สติกเกอร์ การแต่งที่มีจุดเด่นเฉพาะของแต่ละคน หรือแต่ละกลุ่ม มันลามไปถึงการใช้ชีวิตหรือ “Life Style” ของเจ้าของรถ การแต่งตัว การถ่ายรูป งานศิลปะต่างๆ แนวๆ “Street Art” การท่องเที่ยวไปในสถานที่มีแนวเก่าๆ แต่บรรยากาศคูลเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมของเขา จนแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะการแต่งแบบนี้ เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น ไม่ต้องใช้เงินถุงเงินถัง แต่ขอให้ใจใหญ่ก็พอ วัฒนธรรมนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก จนมาถึงเมืองไทยอย่างแน่นอน

“FS” or Flushstyle

ระบาดมาถึงเมืองไทย ขอเล่าประวัติพอสังเขปเพื่อไม่ให้มีการปะทะกับอ้อย คลองแปดกลุ่ม Flushstyle Thailand หรือ FS ก่อตั้งขึ้นมาในเดือนมีนาคม ปี 2010 เรียกว่าได้กระแสท่วมท้น เพราะเป็นการแต่งรถแบบอิสระ หรือ “Freestyle” หรืออะไรก็ได้ใส่ไอเดียได้เต็มที่ แต่ขอทรงต้องได้แค่นั้นพอ ไม่ได้ประชันกันที่ราคา แต่แสดงไอเดียของแต่ละคน ทำให้รถและคนขับเป็นที่น่าสนใจเมื่อวิ่งบนท้องถนน อาจจะมีคำถามในใจว่ามันขับไปได้ยังไงวะ เตี้ยขนาดนั้นแต่ก็เป็นความสุขในใจ ที่ได้ทำอะไรแหวกแนว ตื่นเต้น ไม่เหมือนใคร

.

อะไรเป็นอะไร

มาถึงขั้นตอนสำคัญ ว่าอะไรหมายถึงการแต่งอะไรส่วนอะไรหมายถึงเรียกว่าอะไรเพราะจริงๆ มันมีชื่อเรียกต่างกัน แต่ละแบบก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป อาจจะมารีมิกซ์กันได้ จึงไม่ได้เป็นข้อบังคับตายตัว แต่จะพูดเป็นหลักๆ ละกัน

Fitment

คำนี้จริงๆ แล้ว มันหมายถึงการประกอบแต่ในความหมายของการแต่งรถ จะเข้าใจกันถึงองค์ประกอบที่ต้องจัดสรรอย่างลงตัวก็จะหมายถึงว่า เรื่องของความเตี้ยของรถรวมไปถึงขนาดของล้อและมุมแคมเบอร์ลบที่จะต้องลงตัวกันพอดีทั้งหมดรถบางคันอาจจะไม่เตี้ยถึง Flush แต่ว่าขอแนวจัดฟิตเมนต์สวยๆ อาจจะเตี้ยพอดีๆ ขับใช้งานปกติได้ โดยไม่ต้องย่องหลบหรือทำให้ช่วงล่างแข็งสะเทือนตูดมากนัก ออฟเซตล้อแบบพอดีซุ้มอาจจะต้องพับซุ้มด้านในหน่อย ให้ล้อออกมาแนวพอดีกับตัวถัง แต่ไม่ถึงกับแหกแคมเบอร์ล้อลบไม่เยอะมาก แบบนี้ก็เหมาะกับรถที่ต้องการสวยแบบคลีนขับใช้งานได้จริง

แต่ถ้าเอาคำว่า Fitment มาใช้กันแบบภาพรวมคือการจัดทรงในแต่ละรูปแบบ ทุกอย่างต้องเป๊ะรถจะออกมาสวย ไม่ว่าจะ Hella Flush หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าฟิตเมนต์สวย รถคุณก็จะโดดเด่นขึ้นมาทันที จนมีคำพูดที่ว่า “Fitment is the king” คือ มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับการแต่งรถเตี้ยอย่างแท้จริง

Slam

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ก็มาจากคำว่า “Slam Dunk” ในบาสเกตบอล ที่จะเหมือนการทุ่มกระแทกก็เหมือนกับการโหลดรถลงมาเตี้ยจนเกือบกระแทกพื้น การแต่งแนวนี้ก็จะเป็นการโหลดเตี้ยแบบอมขอบล้อล้อจะหุบเข้าไปอยู่ด้านใน ซึ่ง Slam จะเป็นแนวเฉพาะทางเหมือนกัน อย่างพวกสาย VW Classic ที่เน้นการย่นคานหน้าแคบโหลดแล้วให้ล้อซุกด้านใน หรือ American classic ที่เกือบทั้งหมดจะเป็นช่วงล่างหลังแบบคานแข็ง ไม่สามารถมีแคมเบอร์ได้ ก็โหลดล้อตรงล้อซุกซุ้มไปเป็นอันจบ

Flush

คำว่าฟลัชเป็นศัพท์สแลงเหมือนเรากดชักโครก มักจะมีคำว่า Please Flush After Used แปลง่ายๆ ก็คือ มึงช่วยกดราดน้ำหลังจากใช้งานแล้วด้วย เลยมาเป็นสแลงในรถ คือกดให้แม่มเตี้ยโดยจะเน้นที่ฟิตเมนต์ของล้อและยาง อันนี้จะใส่ล้อกว้างๆ แต่ยางอันเดอร์ไซซ์หรือแคบกว่าสเป็กล้ออย่างมากเช่น ล้อ 9-10 นิ้ว ปกติใส่ยางกว้าง 255-265 มม. แต่กลับเอายางเล็กขนาด 205 มม. มาใส่ ทำให้แก้มยางล้มจนขอบล้อโผล่ ตอนใส่ก็ต้องยิงบาซูก้าอัดลมให้ยางพองขึ้นมาชนขอบ ใส่ปกติไม่ได้ อันนี้ต้องระวัง เพราะเป็นการผิดสเป็กแก้มดึงมากผิดปกติ มีโอกาสยางจะหลุดขอบ ระเบิด การเกาะถนนด้อยลง คนที่จะแต่งแนวนี้ต้องรู้และระวังกันเอง ส่วนฟิตเมนต์ ก็จะทำแคมเบอร์ลบ เพื่อให้ขอบซุ้มล้อลงมาเฉียดกับแก้มยางให้มากที่สุด และที่สำคัญเตี้ยสด งดถุงต้องเตี้ยโดยช่วงล่างจริงๆ โดยไม่ใส่ถุงลม อันนี้เป็นกฎอีกข้อหนึ่งครับ

Hella Flush

  ไม่ต้องสงสัย ว่าทำไมศัพท์สแลงเยอะมาก สไตล์วันรุ่นอเมริกันก็อย่างนี้แหละ มันจะเป็นศัพท์เฉพาะทางที่แต่ละกลุ่มก็บัญญัติขึ้นมาเอง คำว่า Hella ก็มาจาก Hell หรือนรกมันเหมือน Verb ช่องสอง หรือขั้นกว่าซึ่งสิ่งที่พิเศษกว่านั้น คือโหลดจนความเตี้ยของซุ้มล้อพอดีกับขอบล้อถ้าดูตามรูป แก้มยางจะอยู่ในซุ้มแบบเบียดๆ แต่ขอบล้อจะยื่นมาขี่กับซุ้มจะใช้แคมเบอร์แถวๆ -3 แต่ไม่เกิน -6 ครับ

Hella Fail

แนวเหมือนกันแต่ขั้นบ้ากว่าจะดัดจนแคมเบอร์เกินกว่า -6 ซึ่งแม่งก็แทบจะล้ม 45 องศา เอาไหล่ยางวิ่งกันอยู่แล้ว เรียกว่าฟิตเมนต์เฉียดนรก ขอบล้อโดนซุ้มนี่เรื่องปกติ เรียกว่าแนวสายโชว์เน้นความโอ้โฮเฮะกันเป็นหลัก

Mexi Flush

อันนี้เขาจะเป็นแนวเม็กซิโกแต่งรถ ไม่ได้ว่าผิดนะ จะเน้นล้อกางยางดึงเหมือนกันนี่แหละ แต่จะเป็นโหลดล้อตรงล้อจะยื่นออกมานอกรถ อาจจะดูตลกๆ หน่อย แต่บางคันก็ทำซุ้มล้อมาครอบได้อย่างพอดี มันก็อาจจะสวยไปอีกแบบนะ

Hella F*CK

อันนี้แถมให้ เป็นแนวสุดจักรวาลเหนือคำบรรยาย !!! ประเภทที่ทำช่วงล่างพิสดาร จนล้อกางออกมาเหมือนจานบินหรือเหมือน Transformer แปลงร่าง พูดง่ายๆ เอาแก้มยางวิ่งอ่ะ จนต้องอุทาน What da f*ck !!! หรือเชี่ยไรเนี่ยเรียกแขกอย่างเดียว อย่างอื่นอย่าถาม

Stance

ตอนนี้กำลังมาจริงๆ แล้ว มันก็จะเน้นความเตี้ยเหมือนกัน แต่รถที่ทำกันส่วนมากจะเป็น พวกรถหรูยุค 90 ทั้งหลาย ที่ทรวดทรงมีเอกลักษณ์ ตอนนี้นิยมรถฝรั่งโดยเฉพาะสาย Touring ของ BMW หรือ Estate อย่าง MERCEDES-BENZ หรือ VOLVO ถ้าเป็นสายยุ่น ก็จะต้องเป็นรถหรูสักหน่อย อย่าง LEXUS หรือ CROWN โดยเน้นความเรียบ สวยเดิมๆ ของตัวรถ สีเงาๆ แนวคลีนดูสะอาดตา แล้วก็จัดฟิตเมนต์ ลุคอาจจะดูไม่โหดแบบ Flush แต่จุดสำคัญอยู่ที่องศาของล้อโดยเฉพาะล้อหลัง ถ้ามองจากท้ายรถเป็นแนวตรงเข้าไป องศาล้อหลังจะต้องเป็นแนวเดียวกับทรงสอบของตัวรถไปจนถึงเสาหลังคามันจะเหมือนตัว A ที่สมบูรณ์ เพราะคำว่า Stance มันแปลว่าท่ายืนซึ่งท่าที่ถูกต้อง จะต้องยืนกางขานิดหน่อยให้ดูมั่นคง ก็เลยเอามาใช้เรียกการแต่งแนวนี้ และกำหนดทิศทางอย่างที่บอกไปนั่นเอง

บทสรุป

ท้ายสุดแล้ว การแต่งรถในแนวนี้ ก็คือ Freestyle มันเป็นอิสระของทุกคนที่จะทำออกมาในแนวที่ตัวเองชอบ ส่วนคำนิยามการเรียกชื่อแต่ละอย่าง มันอาจจะมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเป็นการบัญญัติว่าทำแบบไหนคืออะไร ซึ่งจะเป็นข้อแตกต่างแต่ไม่มีข้อจำกัดอาจจะมีการประยุกต์เอาอีกแนวหนึ่งเข้ามาผสมก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยึดติดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น ไม่มีใครผิดหรือถูก อยู่ที่จินตนาการและความต้องการของเจ้าของรถคันนั้นๆ ครับ #งดดราม่า

ขอบคุณข้อมูลจาก

Race Auto tire : FB/Race Auto Tire, Tel. 06-4789-3366