Reed It More : Story of R33 (Part I)

XO AUTOSPORT No.256

REEDXO256 (R33 Story Part I)

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี

ภาพ : www.r33gt-r.com, www.gtr-registry.com, www.google.com

SKYLINE GT-R “R33” Full Story (Part I)

ปฐมบทเจาะลึกเส้นขอบฟ้าที่โลกลืม

กลับมาพบกันกับวาระปกตินะครับ กับ Reed It More ที่ครั้งนี้จะขอเสนอเรื่องราวของ SKYLINE GT-R รุ่นที่ 9 ในรหัสสวย “R33” ที่ออกแบบมาเน้นความเรียบหรู แบบสปอร์ตรุ่นใหญ่แต่ว่าความดุดันใน R32 นั้น มันตรึงจิตจนยากที่จะถอน พอมาเปลี่ยนลุคใหม่ คนกลับนิยมน้อยลง เพราะมันไม่ดุซึ่งคนที่ชอบก็จะออกผู้ใหญ่วัยรุ่น” (รวมถึงวัยแรด”) กันไปสักหน่อย และมาฮิตกันอีกทีก็คือ R34 ซึ่งเป็นการปิดวิกตำนาน SKYLINE GT-R กับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง อย่าง RB26DETT ไป ดังนั้น R33 ก็เหมือนกับเป็นเส้นขอบฟ้าที่โลกลืมแต่ความที่มันดูแปลกแยกแต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์อีกทางหนึ่งซึ่งก็มีชนกลุ่มน้อยที่หลงใหลในสไตล์ของมัน ซึ่งเราได้รับความรู้เชิงลึกจาก “SKYLINE R33 CLUB THAILAND” ที่ตัวพ่อทั้งหลายได้ครอบครอง ส่วนในเล่มหน้า พร้อมเจาะลึกของแต่ง NISMO แบบ Super Rare Items ที่มีตังค์ก็ซื้อไม่ได้ทุกครั้งไปพร้อมกับ R33 ที่แต่งด้วยของ Rare Item เป็น Version ต่างๆ อีกเกินครึ่งโหลห้ามพลาดทั้งฉบับนี้ และฉบับหน้า เด็ดขาดครับ

Full Grand Touring Style

R33 จะออกแบบรูปทรงมาดูหนักกว่า R32 ด้วยความที่ต้องการให้เป็นรถสปอร์ตในลักษณะของ GT หรือ Grand Touring ที่มี 4 ที่นั่ง แบบที่ด้านหลังสามารถนั่งได้จริงแน่นอนว่า SKYLINE ก็ยืนหยัดรูปแบบ GT มาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสปอร์ตพันธุ์แท้ เนื่องจากว่ามีแบบ 4 ประตู เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสปอร์ตแท้ๆ อย่าง FAIRLADY Z นั้นจะมีเฉพาะ 2 ประตู เท่านั้น สำหรับ R33 จะยืดขนาดช่วงล้อหน้าถึงหลังให้ยาวถึง 2,720 มม. ส่วน R32 จะอยู่เพียง 2,612 มม. ทำให้ห้องโดยสารของ R33 นั้น สามารถยืดให้นั่งสบายขึ้นกว่า R32 และมีความกว้างขวาง นั่งสบาย คนที่เล่น R33 จะชอบตรงนี้กันมาก เพราะมันนั่งทางไกลแล้วสบายและด้วยน้ำหนักรถเปล่าถึง “1,540 กก.” (V-SPEC) ทำให้เกิดความนุ่มนวล หนักแน่นมากขึ้น

6 สูบเรียง เท่านั้น !!!

R33 จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านเครื่องยนต์ของรุ่นน้องรองแต่ที่แน่ๆ จะมีจำหน่ายเฉพาะบล็อก “RB” เท่านั้น ซึ่งบล็อกเล็กๆ 4 สูบ อย่างตัว CA18E ใน R32 4 ประตู ตัวถูกสุดนั้นไม่มีอีกต่อไป ในรุ่น GTS (HR33) จะเป็นเครื่อง RB20E 12 วาล์ว 130 PS ขึ้นมาเลยก็เป็น GTS-25 (ER33 และ ENR33 ที่เป็น 4WD) จะเป็นเครื่อง RB25DE ที่พัฒนาจากเครื่อง R32 รุ่น GXE โดยมีระบบกระดิกแคมไอดีหรือ NVCS (NISSAN Valve Timing Control System คนละเรื่องกับ VVL นะ) ส่วน GTS-25T (ECR33) ก็จะเป็น RB25DET 250 PS ซึ่งเป็นยีบห้าเทอร์โบที่ยอดฮิตกันนั่นเอง แต่รุ่นเทอร์โบนี้ไม่มีขับสี่นะครับ และสุดๆ กับ RB26DETT 280 PS ใน GT-R รหัสBCNR33 ซึ่งเป็นตัวแรงที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้

Tips

รหัสต่างๆ ที่ NISSAN SKYLINE ใช้มายาวนาน มีดังนี้

ถอดรหัสอะไรคือ C ใน BCNR33

ปัญหาโลกแตกซึ่งก็น่าแปลกว่า R33 เป็น GT-R ตัวเดียวที่มีตัว C แทรกมา ซึ่งใน BNR32 ไม่มี และพอเป็น BNR34 ก็เสือกไม่มีอีก ก็มีกระแสข้องใจกันว่า C น่าจะมาจาก “Comfortable” เพราะตัวรถมีขนาดยาวขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็ว่าน่าจะมาจาก Coupe แต่สองอันนี้มันไม่มี Reference ยืนยันได้ คำตอบเดียวที่มีตัวจริงมายืนยัน คนนี้ “Aki Itoh” (อากิ อิโตะ) เป็นตัวพ่อสายลึก R33” ที่มีเว็บ r33gt-r.com ชื่อว่า One Man’s Lonely in His R33 SKYLINE GT-R ได้มาตอบในเว็บ GT-R UK ใช้ล็อกอินว่า AKASAKA R33 ว่าตัว C นั้นหมายถึง ระบบ 4WS หรือเลี้ยวสี่ล้อ ที่เป็นแบบ Super-HICAS เหตุที่ต้องมี C เนื่องจากว่า ในช่วงที่ R33 ผลิต จะมีรถรุ่นอื่นของ NISSAN ที่มีเฉพาะ ATTESSA (รหัส N) แต่ไม่มีระบบ Super-HICAS ก็เลยต้องจำแนกมาเป็นแบบนี้ รวมถึงตัว GTS-25t ด้วยนะครับ ที่มีระบบ HICAS ก็ใช้รหัส ECR33 นั่นเอง แต่ยังไม่ใช่ขับสี่นะ

Tips “Super-HICAS” ดีกว่าตรงไหน

ระบบ HICAS ของ R32 ยังต้องใช้แรงดันจากปั๊มเพาเวอร์ จากการหมุนพวงมาลัยมาควบคุมการเลี้ยวของล้อหลังอยู่ ปั๊มเพาเวอร์จะมี 2 ห้อง คุมแร็คหน้าและหลัง ส่วน Super-HICAS ใน R33 จะควบคุมการเลี้ยวด้วยไฟฟ้าโดยตรง ปั๊มเพาเวอร์จะตัวเล็กลง เหลือเพียง 1 ห้อง คุมแร็คหน้าเท่านั้น โดยประมวลผลจากเซ็นเซอร์ที่คอพวงมาลัยและ G-Sensor ที่ด้านในจะเป็น Crystal Clock ส่งสัญญาณว่าตอนนี้รถเอียงไปทางไหน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าคอยขยับการเลี้ยวโดยตรง ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันไฮดรอลิกมาดัน สำหรับองศาการเลี้ยวก็ช่วยเพียง 1-2 องศา (โดยประมาณ) แต่มีผลมาก ในการเลี้ยว หากเป็นความเร็วต่ำกว่า 80 km/h ล้อหลังจะเลี้ยวสวนทางกับล้อหน้าเพื่อให้วงเลี้ยวแคบ ขับสะดวก แต่ถ้าความเร็วเกินกว่านั้น ล้อหลังจะเลี้ยวทิศทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อให้เข้าโค้งได้ง่ายขึ้น

R33 Concept – 1993

ปี 1993 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ” (Autumn) Tokyo Motor Show ครั้งที่ 30 ทาง NISSAN ก็ได้โชว์ New SKYLINE GT-R Concept Car ซึ่งในช่วงนั้น SKYLINE R33 ได้เปิดตัวและจำหน่ายแล้ว แต่เป็นตัว GTS ต่างๆ (ในตอนนั้นยังมี R32 ขายอยู่เลย) ซึ่งตัว GT-R Concept ก็จะมีรายละเอียดที่ต่างจากตัวจริงโดยเฉพาะกันชนหน้าที่เหมือนกับเอา GTS มาเหลา มันจะดูเรียบไปหน่อย ส่วนตัวจริงโผล่มาในเดือนมกราคม ปี 1995 พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

Series I – 1995

R33 จะมีทั้งหมด 3 Series ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่ามันมีแบ่งด้วยเหรอวะ ไหนๆ ก็มาลองดูกันว่า แต่ละซีรีส์ต่างกันอย่างไร เริ่มที่ Series I ก่อนก็แล้วกัน สำหรับรหัสตัวถัง หรือ Vin Number นั้น จะเป็นซีรีส์ไหน เลขเท่าไร ดูที่รูป Vin Range ได้เลย บอกชัดเจน

Optional

สำหรับอุปกรณ์เสริมพิเศษ ใน GT-R ก็มีหลายอย่างให้เลือกทุกอย่างสามารถเช็กในเว็บได้ซึ่งโดยหลักมีดังนี้

V-SPEC

สำหรับตัว V-SPEC หรือ Victory Spec นั้น ก็เหมือนกับเวอร์ชันพิเศษขึ้นมาอีกหน่อย แต่ของ R33 นั้นจะไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่น GT-R ธรรมดาชัดเจนเหมือน R32 เหมือนกับว่า R33 ให้ของดีและใหญ่มาหมดแล้ว เช่น ล้อก็เป็นขนาด 9 x 17 นิ้ว ยางก็ 245/45R17 เบรก BREMO ก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในตัว V-SPEC ก็จะเป็นระบบ “ATTESSA PRO” ที่ประมวลผลเร็วกว่า และมีการแบ่งกำลังที่เหมาะสมขึ้น เมื่อเทียบกันแล้ว ทำให้วงเลี้ยวแคบกว่า ATTESSA ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด (เป็นการลดวงเลี้ยว เนื่องจาก R33 เป็นรถบอดี้ยาว) ส่วนลิมิเต็ดสลิปก็จะเป็นแบบ “Active LSD” หรือ A-LSD (ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์เสริมในรุ่นธรรมดา) สังเกตที่วัดรอบจะมีไฟเตือน A-LSD เป็นเม็ดเล็กๆ อยู่ตรงกลาง ซึ่งรุ่นธรรมดาไม่มี การทำงานของมันก็จะอาศัยแรงดันน้ำมันมาดันที่แผ่นคลัตช์ LSD โดยสั่งตามเงื่อนไขการขับขี่จริง เวลาทำงานก็จะขึ้นไฟโชว์ที่วัดรอบ นับว่าเป็นของไฮเทคที่ SKYLINE บรรจงสร้างให้นักขับทุกคน

GT-R & GT-R V-SPEC “N1”

เป็นเวอร์ชันพิเศษ N1 มีทั้ง GT-R และ GT-R V-SPEC ก็คือรถที่ผลิตไว้สำหรับ Homologate ในการแข่งขัน “Group N” จริงๆ แล้วไม่ต้องตื่นเต้น มันก็คือรถสแตนดาร์ดเอาไปทำแข่งเครื่องยนต์จะเป็น RB26DETT N1 สเป็กพิเศษ เป็นเครื่องที่เหมาะสำหรับการแข่งขัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นเอกสิทธิ์ในรุ่น N1 มีอีกมากมาย ที่อดจะกล่าวถึงมิได้ งั้นผมรวบทั้ง 3 Series เลยทีเดียวแล้วกัน มีรายละเอียด ดังนี้

 

NISMO GT-R LM Edition Road Going Version “(Maybe) One in the World”

โคตรอภิมหา Rare Item เพราะเป็นรถที่ผลิตขึ้นมาสำหรับให้ผ่าน Homologate ในการแข่งขัน Le Mans 24 Hours (LM) ในคลาส GT1 ซึ่ง NISMO ได้ผลิตขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นเพียงคันเดียวในโลก เพราะขนาดเว็บ GT-R Registry ก็มีข้อมูลตัวเลข Vin เพียงหนึ่งเดียว คือ N400R-05014 ซึ่งมีแรงม้าอยู่ที่ 300 PS ตัวรถขยายโป่งออกไปข้างละ 50 มม. รถคันนี้ถูกเก็บไว้ที่ NISSAN Heritage Collection ในเมือง Zama ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงตัวแข่งที่พูดถึงด้านล่างนี้ด้วย

NISMO GT-R LM Race Car

สำหรับตัวแข่ง Le Mans ของจริง จะมีทั้งหมด 5 คัน

End of R33 GT1 Le Mans

หลังจากนั้น NISSAN ก็หยุดใช้ R33 แข่งในรุ่น GT1 ไป เพราะค่ายยุโรปก็ต่างสร้างรถ GT1 แบบเฉพาะทางขึ้นมา การที่จะเอา R33 มาทำเพื่อไปสู้กับเขาได้นั้น น่าจะเป็นการลงทุนที่มหาศาล ด้วยความที่ตัวรถเป็น GT อะไรต่างๆ ก็ออกจะเสียเปรียบเขา ทำไปปลายทางอาจจะไม่คุ้มค่า คิดว่าผลิตรถใหม่น่าจะดีกว่า ซึ่ง NISSAN ก็ได้ผลิต R390 GT1 ออกมาในปี 1997-1998 ซึ่งเป็นรถแข่งเฉพาะทางออกมา ได้สรีระตามต้องการ เครื่อง VRH35L ทวินเทอร์โบ 550 PS แบบไม่ต้องเค้นกันมากและยังมี R390 GT1 Road Car เพื่อให้ผ่าน Homologate ออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นรถระดับ Exotic car ที่ราคาแพงมาก เพราะมันมีจำนวนน้อยจริงๆ

Victory of Production Car

แม้จะดูว่า R33 อุ้ยอ้าย แต่เอาเข้าจริง สมรรถนะมันเหนือกว่า R32 เยอะนะ ยิ่งสร้างชื่อในตอนที่ถูกส่งไปทดสอบในสนาม Nurburgring ประเทศเยอรมนี ขับโดย “Dirk Schoyman” นักแข่งแถวหน้าของเยอรมัน ที่มีประสบการณ์ขับในสนามแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า “14,000 รอบเรียกว่ารู้ยันหญ้าและเป็นนักทดสอบ เซตช่วงล่างให้กับ SKYLINE GT-R ตั้งแต่ R32-R34 ขับ R33 GT-R แรดในสนามได้ในเวลาต่ำกว่า 8 นาทีจำได้ว่าน่าจะแถวๆ “7 นาที 55-56 วินาทีหากจำไม่ผิด (เคยเห็นในคลิปเก่าๆ นี่แหละ) ซึ่งเป็น Production Car จากญี่ปุ่นคันแรกที่ทำลายสถิติเลข 8 วินาที นี้ลงได้ ตอนนั้น R32 GT-R ก็อยู่แถวๆ 8 นาที 20 กว่าวินาที นับว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามของ R33 GT-R แต่เชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องสงสัยกับเวลานี้บ้าง ???

สำหรับดราม่าเรื่องของสถิติเวลาของ R33 GT-R ในสนาม Nurburgring ก็มีข่าวเป็นกระแสอยู่พักหนึ่งในเว็บไซต์ใหญ่ของ R33 เว็บหนึ่ง ตีประเด็นสงสัยว่าเป็นรถเดิมจากโรงงานจริงหรือซึ่งมันไม่น่าจะทำเวลาได้เร็วขนาดนั้น เพราะก่อนหน้านั้นเร็วสุดก็ NSX Type R ก็ประมาณ 8 นาที 10 กว่าๆ วินาที ซึ่ง R33 ที่ทั้งใหญ่และหนักกว่าชาวบ้านเขาหลายร้อย กก. มันไม่น่าจะเร็วกว่านั้น ข่าวมันมาว่า ตอนที่เอารถคันนี้ไปจอดโชว์งานอะไรสักที่ แล้วมีใครสักคน (งานอะไรกับใคร ไม่รู้จริงๆ ว่ะ อย่าถามเลย) ไปเปิดดูแล้วสังเกตเห็นสวิตช์ปริศนาที่คอนโซลกลาง เลยเป็นประเด็นว่าแอบโมฯ เครื่องเพิ่มมาหรือเปล่าสวิตช์อันนี้ อาจจะเอาไว้กด Over Boost เพื่อเพิ่มอัตราเร่งหรือไม่ ก็คงเป็นปริศนากันต่อไป เราเพียงนำมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ เท่านั้น

Series II – 1996

มันอาจจะมียุคคาบเกี่ยวจาก Series 1 มาในช่วงต้นๆ ปีนี้บ้างนะ แต่ถ้าเอาให้เข้าใจง่าย ก็ปัดเศษเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวคนเขียนคนอ่านจะงงทั้งคู่ สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงเพิ่ม ก็มีดังนี้

“LM Limited” Special Limited Edition 

จากการที่ R33 เป็นรถสปอร์ตจากญี่ปุ่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน Le Mans ใน GT1 Class (ซึ่งปัจจุบันนี้ GT1 นั้นเลิกแข่งไปแล้ว เพราะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก) ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 1996 GT-R Series II ก็ได้ออก GT-R LM Limited เหมือนเป็นการฉลองซึ่งจะมีทั้ง GT-R LM Limited จำนวน 86 คัน กับ GT-R V-SPEC LM Limited จำนวน 102 คัน สำหรับสิ่งพิเศษในรุ่นนี้ก็มีมากมาย ดังนี้

Series III – 1997-1998

  ยุคสุดท้ายของ R33 แล้วครับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น R34 ในปีนี้ NISSAN เทของดีๆใส่หลายอย่าง เนื่องจากว่าต้องการโกอินเตอร์ส่งรถไปขายในประเทศต่างๆ รวมถึงอเมริกาด้วย ซึ่ง R33 ก็เน้นหนักในด้าน Safety ให้สูงสุด แต่ก็มีกระแสว่าทางอเมริกาได้กดด้วยกฎหมายมลพิษ (Emission Control) ที่เข้มงวดมาก ทำให้ GT-R ไม่สามารถผ่านไปขายในอเมริกาได้ เนื่องจากเครื่อง RB26DETT เป็นนิสัยใช้กำลังในรอบค่อนข้างสูงถ้าไปตอนให้น้ำมันบาง ก็คงจะไม่เหมาะนัก อีกอย่าง ในอเมริกาจะใช้น้ำมันออกเทน 91 เป็นหลัก (ซึ่ง GT-R จะให้ดีก็ต้องออกเทน 98 ขึ้นไปจนถึง 100 ในญี่ปุ่นและยุโรปบางประเทศ) ทำให้แรงม้าตกแน่ๆยุ่งยากมากนัก ไม่ทำแม่งเลยดีกว่า ก่อนอื่นเรามาดูสเป็กญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

GT-R AUTECH VERSION 40th Anniversary

มาดูเวอร์ชันพิเศษกัน กับ “GT-R 4 ประตูที่หลายคนหลงใหลในความแปลก ที่บริษัท AUTECH ได้ผลิตขึ้นมา เป็นการเอาเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน อุปกรณ์ต่างๆ ของ BCNR33 มาใส่กับตัว 4 ประตู ซึ่งทำออกมาได้แหวกแนว และเป็นรถที่ขายจริง เป็น AUTECH VERSION ฉลองครบรอบ 40 ปี ภายนอก เป็นหน้า GT-R โป่งหลังขยายใหม่ ภายในจะเป็นเบาะสีแซมม่วงน้ำเงิน อุปกรณ์ภายในต่างๆ เป็น GT-R ซึ่งมีจำหน่ายทั้งหมด “416 คันมี 4 สี คือ KN6 Dark Grey Pearl น่าแปลก เพราะมีคันเดียวเป็นคันที่ 241/416 ต่อมาเป็น KR4 Sonic Silver 253 คัน, LP2 Midnight Purple 43 คัน, QM1 White 119 คัน

GT-R V-SPEC “UK Spec”

นับว่าเป็นครั้งแรกของ GT-R ที่มีผลิตสำหรับสเป็กส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งเป็น UK Spec หรือ Great Britain หรือ UKDM พูดง่ายๆ ก็สเป็กอังกฤษนั่นแหละ รายละเอียดบอกตรงๆ บางอย่างจะพิเศษกว่า JDM อย่างเห็นได้ชัด เพราะฝรั่งสเป็กสูงมีข้อบังคับในด้าน Safety เยอะกว่า โดยมีข้อแตกต่าง ดังนี้

Last in The World of R33 GT-R

สำหรับแสงสุดท้ายของ R33 GT-R ก็จะอยู่ในช่วงเดือน 11 ปี 1998 ซึ่งตอนนั้น R34 GT-R ได้ออกมาแล้ว ก็จะแบ่งตัวสุดท้ายในโลกเรียงลำดับได้ดังนี้

Next Episode

ยัง ยังไม่จบแน่ๆ สำหรับเรื่องราวของ R33 GT-R ที่เล่มนี้เป็นเพียงปฐมบทเท่านั้น เล่มต่อไปจะมี “Tips” ต่างๆ ที่น่าสนใจ และไฮไลต์โชว์ของแต่งและโชว์รถที่บรรจุด้วย Rare Item NISMO กันทั้งคัน พาเหรดกันมากว่าครึ่งโหลจุใจแน่ๆ อย่าพลาดเชียวนะ

Special Thanks

คุณอ๊อด, คุณโอ๋ สำหรับข้อมูลในฉบับนี้

Facebook/SKYLINE R33 CLUB THAILAND

ข้อมูลอ้างอิง

www.gtr-registry.com, www.r33gt-r.com