XO AUTOSPORT
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพ : XO AUTOSPORT Team
ส่งท้ายปีเก่า แต่ยังไม่ต้อนรับปีใหม่ เพราะเหลืออีกสิบวันก่อนจะ “เฮฮาลั้นลา” ประสาสายซิ่ง เล่มนี้เลยเป็นโอกาสทองของแฟนๆ XO AUTOSPORT ที่จะได้โชว์โฉมไอ้ตัวเก่งของตัวเองถึง “100 คัน” แน่นอนว่า Reed It More เล่มนี้ เป็น “โบนัส” กันแบบจัดเต็ม เอาไว้นอนกอดให้เพลินรับปีใหม่ 2017 ที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา (ก็อย่าเฮฮาจนลืมเรื่องความปลอดภัยล่ะครับ) เล่มนี้เนื้อหาของเราจะพูดถึงเรื่อง “การแต่งรถแบบ Street Style” แบบเต็มระบบ เลือกของแต่งทั้งคันยังไงให้ “แมตช์” กับสไตล์ที่เราชอบ ในรูปแบบ “ฉบับเพลิดเพลิน” ที่จะเป็นเนื้อหาเบาๆ อ่านเมามันส์ แต่ยังคงได้สาระเช่นเดิมสไตล์เรา XO AUTOSPORT ครับ…
Intro
สำหรับการแต่งใน Street Style นั้น เราจะเสนอการแต่งรถในระดับ “Street Used” ที่ “ขับใช้งานบนท้องถนนได้” โดยไม่รู้สึก “ลำบาก” กันนัก ไม่จำเป็นต้องใส่ของท่วม ของเทพ แต่ขอให้ “เข้ากัน” ก็พอ และ “มีสไตล์” ก็ยิ่งดี ความแรงก็หลายระดับ แต่อยู่ในรูปแบบที่ “ขับขี่บนท้องถนนได้อย่างปกติสุข” ไม่ใช่โมดิฟายกันเต็มเหนี่ยว แต่ขับทั่วไปไม่ไหว ฝืนขับแล้วเรียกว่ารถตัวเองเป็น Street Used ยังงี้ไม่ใช่แนวของเรา ตานี้เราขอแยกเป็นส่วนๆ ไปนะครับ ว่า “ภายนอก ภายใน เครื่อง ช่วงล่าง จิปาถะ” ไอ้พวกนี้ว่าเขา “ฮิตใส่อะไรกันบ้าง” เราขอแนะนำแบบ “ยกตัวอย่าง” นะครับ ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ไปอ่านต่อใน xo-autosport.grandprix.co.th ได้เลยจ้า…
Out Look
ก่อนอื่นเลยเมื่อเราไป “ออฟ” รถมาสักคันนึง จะป้ายแดง ป้ายดำ ก็แล้วแต่ตังค์ของพวกท่าน ไอ้ที่ดิ้นรนก็เริ่มจาก “ภายนอก” กันทั้งนั้น เพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถก่อนอื่นใด นี่เลย เริ่มที่ตรงนี้…
Wheel & Tire
ล้อและยาง เป็นปราการแรกที่จะต้อง “เสียตังค์” ให้กับ ซึ่งล้อเป็นสิ่งที่เหมือนกับ “รองเท้า” ที่จะต้อง “ดูดี” และ “เข้ากับรถ” ไว้ก่อน ถ้าล้อสวยแพง แต่ “ไม่เข้า” ก็คง “จบเห่” ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย สีสัน ขนาดล้อ ออฟเซต ขนาดยาง ต้อง “ลงตัว” และ “ให้เหมาะกับสไตล์ที่เราจะแต่ง” ก็จะต้องแยก “ประเภท” กันอีก ว่าแนวไหนจะนิยมล้ออะไร ล้อมันมีหลายร้อยแบบครับ ก็ขอพูดถึง “ฮอตฮิต” เป็นการยกตัวอย่างก็แล้วกันนะครับ…
VOLK Collection ก็ยัง “มา”
< ถ้าเป็นสายซิ่งแนว Street เน้นสมรรถนะ มาดูกันที่ “สายแป๊ดแป้” ตั้งแต่ Eco Car ไปยัน 1500 ส่วนมากก็จะเป็น Road Wheel ยอดฮิต อย่าง ล้อ RAY’S หรือ VOLK แบรนด์นี้เลยครับ ลายยอดฮิต “TE37” หกก้าน และ CE28 ไปจนถึง RE30 ถ้าเป็นรถเล็ก ก็จะเป็น “ก้านแบน” ขนาด 7 x 15 นิ้ว ที่ขนาด “กำลังดี” กับรถพิกัดนี้ จริงๆ แล้วผมว่าดีว่ะ เพราะจะได้ขับเต็มสมรรถนะ ถ้าล้อออฟเซตเหมาะสม ก็จะตัดปัญหาเรื่อง “ติดซุ้ม” และ “พวงมาลัยฉก” อีกประการ ไม่โดน “โบก” เวลาเจอ “ลูกเสือ” (คุยกันเรื่องนี้นะ เรื่องอื่นไม่รู้นะ) แต่ถ้าเป็นรถระดับ HONDA CIVIC ก็จะเล่นกันขนาด 9 x 17 นิ้ว ให้สมกับความใหญ่โตของตัวรถ แถมต้องเป็น “ก้านยก” อีกหน่อย แต่จะออกทรงล้อยื่นหน่อย ถ้าเอาแนบในซุ้มก็ต้องก้านเรียบ สวยคนละแบบ…
< ส่วนเรื่อง “ยาง” เหล่า Eco Car หรือ 1,500 c.c. โดยมากก็นิยมขนาดหน้ากว้าง 195-205/50R15 ซึ่งก็ดูเหมาะสมกับตัวรถมาก ทั้งในด้านความสวยงาม ซึ่งรถจะดูเตี้ยๆ อมๆ สวยดี ส่วนการยึดเกาะก็ดีเพราะล้อมัน “สมตัว” ไม่ใหญ่ไปจนทำให้สมรรถนะรอบด้านด้อยลง ส่วนล้อ 16 นิ้ว ไม่ค่อยนิยมเพราะ “ก้ำกึ่ง” สไตล์ “ลูกเมียน้อย” ยางก็หายากและแพงกว่า ส่วนล้อ 17 นิ้ว Eco Car ไม่เหมาะสมแน่ ส่วน 1,500 c.c. ก็พอได้ แต่ออกจะใหญ่ไปสักหน่อย “คับซุ้ม” อึดอัดไปนิด แต่ถ้าชอบล้อใหญ่ๆ ก็ได้ครับ ต้องเข้าใจว่าอยากได้ความสวย ก็ต้องเพิ่มโหลดให้กับรถพอสมควร…
< ลวดลายของ “ดอกยาง” ถ้าสาย “เน้นของแท้” ก็นี่เลย YOKOHAMA AD08R คงไม่ต้องพูดถึงมันกันมาก แต่ตอนนี้ก็มี “ยางทางเลือก” ที่ “ลายแลดูจะคล้าย” ได้ราคาย่อมเยากว่า ก็อยู่ที่ “งบ” ของแต่ละคน…
ดีเซลล้อใหญ่ ใส่สีสุดติ่ง
< ถ้าเป็น “สายดีเซล” ก็จะนิยม “ไซส์ใหญ่” เช่น 9 x 17 นิ้ว หรือ 10 x 18 นิ้ว อันนี้สุดตาราง นิยม “ก้านยก” เพราะใส่แล้วล้อยื่นๆ กางๆ ยางโตๆ ว่าไม่ได้สไตล์ใครสไตล์มัน แต่ระวังไปทำร้ายสิ่งรอบด้านหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเป็นลายยอดฮิตสไตล์ “ยุ่น” ก็ไม่พ้น TE37, CE28, RE30 ของ VOLK แต่ถ้าเป็น ENKEI ก็ต้อง RPF-1 แน่นวลลลล หรือไม่ก็ล้อแบรนด์ไทย หรือแบรนด์อื่นๆ เป็นลวดลายแบบ Racing ต่างๆ ก็แล้วแต่ศรัทธา…
< ณ บัดนาว กระแสล้อ “อเมริกันสไตล์” กำลังฮิตมาก และต้องเป็นขอบโครเมียมคาดก้านดำซะด้วย สไตล์ WELD RACING ที่เกิดมาจากล้อ Drag Racing แล้วเอาหน้าตามาดีไซน์เป็นล้อวิ่งถนน ดูๆ มันก็สวยดีนะผมว่า สไตล์อเมริกันจะดูเรียบๆ ง่ายๆ ลายมันก็ 5 ก้าน พื้นๆ (ตอนนี้ก็มีลายใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ) แต่พอล้อ 18 นิ้ว ก้านเลยยาว ทำให้ล้อดูใหญ่และปราดเปรียวขึ้น…
< ถ้าเป็นยาง โดยหลักก็จะเหมือนกับตะกี้ ถ้าเป็น “ยางซิ่งแก้มบาง” นะ ไซส์ที่ชอบใส่ล้อหลังก็ 265/35R18 แต่ถ้าเป็น “ยางหนานุ่ม” จริงๆ แล้วก็ต้องพวก “NITTO NT420S” ที่ฮิตกันมาก่อนยี่ห้ออื่น จริงๆ มันไม่ใช่ยาง Drag Racing นะครับ มันคือยางแบบ All Season Truck & SUV แต่ได้เปรียบที่ว่า “แก้มหน้า” เลยได้เปรียบเวลาออกตัว เพราะแก้มจะ “ซับแรง” ไว้ ทำให้ออกตัวได้ดี เส้นรอบวงก็เยอะกว่า ลดอาการฟรีทิ้ง กลายเป็น “เข้าเกือก” ซะงั้นว่ะ ซึ่งตอนนี้ก็จะมีรุ่นแข่งเฉพาะที่ใช้ยางสไตล์นี้ด้วย…
เก๋งแต่งยุคใหม่ อเมริกันสไตล์ ไฉไลล้อวิ้ง
< ถ้าเป็นลายสไตล์ “อเมริกัน” ก็จะเน้นขอบเงาๆ ก้านโครเมียมอะไรวิ้งๆ นี่แหละ ก็มีทั้งฝั่งญี่ปุ่นคลั่งอเมริกัน โดยมากที่เห็นก็เหล่า Flush Style หรือจากอเมริกันแท้ๆ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมีอิทธิพลมาจากล้อแข่งสำหรับรถ Drag โดยมากจะเป็นลายของ WELD MAGNUM ห้ารูกลมๆ หรืออีกรุ่นก็เป็นแบบห้าก้าน มาทำเป็น Road Wheel หลายขนาด จริงๆ แล้วจะนิยมกับ “กระบะ” ก่อน เพราะได้อิทธิพลมาจากรถ Drag นั่นเอง ซึ่งล้อแบบนี้ส่วนมากจะเป็น “แบรนด์ไทย” ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง อย่าง KC WHEEL หรือ LENSO เป็นต้น ส่วนสีรถก็ต้องสดใส เป็นสี Metallic ประกายยุกยิก เพื่อที่จะได้ตัดกับล้อขอบโครเมียม เปลี่ยนมั่งก็ดีเพราะ “เบื่อของเดิมๆ” นั่นแหละ…
ด่วนราตรี กับลีลา Kanjo Old School
< สำหรับสไตล์ “ซิ่งด่วนราตรี” หรือ “คันโจ” จะออกแนวรถ Circuit ที่ไม่ได้มี Aero Part อลังการมากเหมือนกับ Time Attack โดยมากก็จะเป็น CIVIC ถ้าจะให้เท่ก็ต้องเหล่า 3 ประตู ตั้งแต่ EA ไปยัน EK ยอดฮิตก็ EG นั่นแหละ พวกนี้ก็ยังเน้นล้อลายยอดฮิต ขอบ 15 นิ้ว ตามที่บอกไป อีกแบรนด์ที่เน้นเป็น Performance Street Used จริงๆ ก็ต้องแบรนด์ SSR ที่ลวยลายอาจจะไม่ได้หวือหวานัก แต่ดู “สวยเรียบง่าย ดูได้นาน” น้ำหนักเบา ก็เลือกกันตามชอบเถอะครับ…
< บางคันถ้าเป็น “สายอนุรักษ์” ก็จะจัดล้อแนว Old School หรือ “ตรงยุค” เช่น CIVIC EA ก็ต้องล้อ MUGEN CF48 !!! ที่เด็กซิ่ง (บางคนตอนนี้ก็ “เด็กหนวด”) เรียกซะเสียอนาคตว่า “มูเก้นหมูกระทะ” เช็ดกระโด้!!! ประธาน MUGEN ได้ยินเข้าคงศรัทธา ถ้าเป็น EF ก็ต้อง MUGEN MR5 อันนี้สวยคลาสสิก หรือ NR10 ก็ไม่เลว (กลับไปทรงย้อนยุคอีกที) แต่บอกก่อนว่าไอ้ล้อพวกนี้แม่ง Rare Item นะน้อง ราคาก็ปั่นซะเป็นไอ้นั่น (น้ำผลไม้ปั่นไง อย่าคิดมากดิ) ส่วนใหญ่อยู่ “สายโชว์” กันมากกว่า สายซิ่งวิ่งจริงจะไม่ค่อยใส่กัน เพราะถ้า “มิด” ขึ้นมาทีล่ะ บรรลัยเกิด…
< ส่วน “ยาง” ก็ต้องซิ่งเหนือชาวบ้านกันหน่อยดิวะ หลักๆ ก็พวก “เรเดียลซิ่ง” Tread Wear แถวๆ 180 ยอดฮิตก็คงไม่พ้น YOKOHAMA AD08 หรือในระดับใกล้เคียง เป็นยางประเทศอื่นๆ เช่น TRI-ACE Racing King แต่ถ้าจะให้ “สุดตรีน” จริงๆ ก็ต้องพวก “ยางซอฟต์” อย่าง YOKOHAMA A050 หรือ TOYO R888 ถ้าไม่บ้าญี่ปุ่น ก็มียางเกาหลีบางแบรนด์ เช่น KUMHO KU36 หรือ NANKANG AR-1 อันนี้แล้วแต่ศรัทธา…
< ที่แน่ๆ ก็ต้อง “ศิลเปรอะบนแก้มยาง” กันหน่อย ถ้าสายคลาสสิก ก็จะ Paint เป็นโลโกยางที่ใช้อยู่ มีหลายแบบเหมือนกัน ถ้าซื่อๆ เลยก็ “เมจิกเขียนยาง” เขียนไปบนขอบโลโกเลย ถัดมาจะเป็น “ใช้บล็อกปิดพ่น” คงนึกออกกันนะ ตัดแผ่นบล็อกเป็นโลโกยาง เทียบแก้มแล้วเอาสีพ่นเลย อีกอย่างนึงเป็น “Tire Bomb” ฟังน่ากลัวว่ะ แต่จริงๆ แล้วมันก็คือ “ตัดแผ่นยางพาราเป็นโลโกยาง แล้วเอากาวร้อนติด” แต่มันจะดูลอยๆ หน่อยนะ…
Free Style & etc.
< อันนี้แล้วแต่ “นิยม” เลยว่ะ เพราะมีหลายรูปแบบมากๆ เช่น รถรุ่นใหม่ แต่ใส่ล้อลาย Retro ที่นิยมก็ “สายกล้วย” WATANABE หรือ BLACK RACING (BR) หรือถ้าเป็นล้อ “แฟชั่นยุคเก๋า” ยอดฮิตก็ลาย W WORK EQUIP 01 และ 03 มีสองแนวครับ แนวแรกก็จะ Fitment แบบ “พอดีซุ้ม” ไม่ยื่นไม่หุบ เรียกว่า “กำลังดี” ใช้งานและได้สมรรรถนะ อีกแนวก็จะ “ล้อปลิ้น” ก็จะเน้นล้อ Retro แบบ 3 ชิ้น เพื่อที่จะได้ “ขอบเงาลึก” วิ้งๆ หน่อย อันหลังนี้สาย Flush นิยมกันมาก…
< ถ้าเป็นกระแสรถยุค 90 ซึ่งถือว่าเป็น “ยุคทองของรถสปอร์ต” ก็จะต้องหาล้อ “ตรงยุค” มาใส่ ถ้าเป็นสาย BMW E30 นี่เลย BBS RS เท่านั้น ส่วนสาย SKYLINE GT-R R32 ถ้าจะให้เก๋าก็ต้อง “ล้อเดิม” และจะต้องมี “ฝาโลโก S” ของ SKYLINE ตรงกลางด้วย สมัยก่อนเรียกว่า “ใส่ทิ้งใส่ขว้าง” ตอนนี้ค่าดั่งทอง ส่วนล้อแต่งก็จะเป็นตรงยุค เช่น RACING SPARCO NS Series ที่ใครใส่ตอนนั้นถือว่าสุด อื่นๆ ก็มี เช่น VEILSIDE ANDREW ในตำนาน ใส่ได้ทุกรุ่น หรือ RACING BEAT ของ RX-7 ที่เอามาข้ามยี่ห้อใส่ ACCORD ตาเพชร ก็สวย…
Body Dress Up
หลังจากเลือกล้อเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องทำต่อ คือ “ชุดพาร์ท” ก็เป็น “ปราการด่านที่สอง” ซึ่งชุดพาร์ทจะต้องเข้ากับลักษณะและขนาดของ “ล้อ” และ “ความสูงของรถ” รวมถึงโทนการแต่งรอบคัน บางทีอาจจะ “โดด” กันได้ครับ ไม่ได้มีสูตรตายตัว ชุดพาร์ท Racing อาจจะไปแมตช์กับล้อ Retro หรือ VIP บางลายก็ได้นะ เพราะเคยเห็นบางทีแค่ “เปลี่ยนสี” มันก็ไปอีกลุคนึงแล้ว หรือไม่ก็แนวชุดพาร์ท “Custom Made” จากความคิดและการออกแบบ จริงๆ จะอยู่ที่ Decorate ยังไงก็แล้วแต่ไอเดีย ขอให้ “ขัดแย้งกันอย่างลงตัว” ก็แล้วกัน ส่วนตัวชอบแนว Contrast นะ ดูไม่ปิดกั้นความคิดดี…
Less Is More
< บางทีก็ไม่ต้อง “อะไรเยอะ” ก็ได้ ไม่ต้องอลังการเวอร์ มีน้อยชิ้นแต่ “เน้นความลงตัว” ถ้าเป็นสาย Street ใช้งานทั่วไป หลักๆ ก็จะมี “ลิ้นหน้า” (Front Lip) สเกิร์ตข้าง-หลัง ก็แล้วแต่ว่าจะใช้ของ Accessories โรงงาน หรือจะเป็น “ทรวดทรงแบรนด์นอก” หรือจะ “Custom Made” หรือจะ Mix & Match ต่างแบรนด์มารวมกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว ณ ตอนนี้ จะเน้นงาน “คาร์บอนไฟเบอร์” ภาษาเด็กซิ่งเรียก “แค็บล่า” ต้องมีแน่นอน คือ “ฝากระโปรงหน้า” รองลงมาก็ “ครอบบานฝาท้าย” และ “สปอยเลอร์หลัง” แต่ถ้าใคร “คลั่ง” หน่อย ก็จะ “หุ้ม” ส่วนอื่นๆ ด้วยก็แล้วแต่ชอบ…
< ถ้าเป็น “สายกระบะ” ก็ไม่นิยมชุดพาร์ทแต่อย่างใด โล้นๆ นั่นแหละ แต่ต้องมีนี่เลย “หัวคาร์บอน” ฝาทั้งบาน หุ้มแก้มหน้า หุ้มประตู หุ้มฝาท้าย เป็นคาร์บอนทั้งหมดจะเรียกว่า “สุดตีน” นัยว่า “ไล่เบา” สไตล์รถแข่ง พวกนั้นเปลี่ยนเป็นคาร์บอนทั้งชิ้น เน้นๆ ที่ “ประตู” คาร์บอนทั้งบาน เพราะมันเป็นชิ้นส่วนที่ “ใหญ่โต” และสามารถ “ลดน้ำหนักได้เยอะสุด” ในบรรดาชิ้นส่วนภายนอกทั้งหมด แต่ไม่เหมาะสมที่จะมาใส่กับรถขับใช้งานจริงๆ นะครับ…
Import Brand Style
< สำหรับพาร์ท “แบรนด์นอก” ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแนว “ซื้อใส่” เป็นส่วนใหญ่ คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ณ ตอนนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ROCKET BUNNY ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งบางคันก็นำไป Adapt ปรับปรุงจนออกมาอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้…
Racing & Time Attack
< สำหรับสาย “ด่วน” ส่วนมากก็จะได้รับอิทธิพลมาจากรถ Time Attack ที่แต่ละอย่าง “อลังการโคตร” เหมือนกัน ประเภทมึงจะทำอะไรกันนักหนาวะ แต่จริงๆ แล้วที่เขาทำกันบานเบอะ เนื่องจากต้องการ Aero Dynamics และ Down Force (แรงกด) กันสุดๆ จึงต้องใช้พาร์ทใหญ่โตขนาดนั้น ซึ่งรถแข่งแบบ Time Attack นั้นทำได้ เพราะ “ปล่อยวิ่งทีละคัน” มันเลยไม่ปะทะกับคันอื่น ไม่เหมือนรถ Circuit ที่ปล่อยกันทีละหลายๆ คัน ขืนเอาพาร์ทอลังเวอร์แบบนี้ไปคงได้เกี่ยวกันตายห่_…
< สิ่งที่ต้องระวังในพาร์ทแบบนี้ เรื่องแรก “ความแข็งแรงของวัสดุ” เมื่อมันมีขนาดใหญ่ วัสดุไม่แข็งแรงพอจะเกิดการ “แตกหักเสียหาย” บินไปฟาดกบาล “แมงกะบื่อ” รอบด้านได้ เรื่องสอง “ขับได้ยากขึ้น” ไอ้นี่ก็กาง ไอ้นั่นก็สูง บดบังทัศนวิสัยรอบด้าน ก็ทำให้เกิดอันตรายได้…
< ปกติชุดพาร์ทแนวนี้จะเป็น “Custom Made” อยู่แล้ว ถ้าเป็นรถแข่ง มันเกิดจาก “จินตนาการ” และ “การขับขี่จริง” ทดสอบผ่านอุโมงค์ลมอะไรกันเยอะแยะ แต่ถ้าเป็น Thailand Style ก็อาจจะเอาแนวบางแนวมาผสมกันบ้าง ที่เห็นงามๆ ก็คือ MR2 ของ “พี่หม่อม” ที่ลงปก XO AUTOSPORT ไปล่าสุด คือ ชุดพาร์ท Street Warrior จาก GARAGE UNIQUE นั่นเอง…
Nostalgia Replica
< อีกแนวหนึ่งที่นิยมกันมาก ก็คือ “ทำลวดลายเลียนแบบรถแข่งสนาม” ถ้ารถยุคใหม่ๆ ก็จะทำตามตัวแข่งที่มีชื่อเสียง ส่วนรถยุค 90 ก็จะนิยมเลียนแบบ Group A Racing ที่สุดยอดมากในสมัยก่อน จริงๆ Group A มันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ได้เรื่อง “สีสัน” สติกเกอร์ ก็ทำตามแบบนั้นเลย ในยุคแรกๆ ก็จะเป็นเหล่า SKYLINE R32 ที่นิยมทำกันมาก ส่วน CIVIC EG ก็จะมีทำกันบ้างเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ “ไม่เหมือนแน่นอน” ก็คือ “ล้อ” เพราะการจะหาล้อแข่ง Center Lock แท้ๆ คงยาก ให้ได้มาก็คงได้แค่ใส่โชว์ เพราะต้องสร้างดุมใหม่…
Sticker Prop
< ขอยาวหน่อยเหอะว่ะ เรื่องสติกเกอร์นี่ “มันส์ปาก” มาก เพราะมันเป็นคำพูด คำวลี อะไรต่างๆ ที่ขึ้นอยู่กับ “จินตนาการ” ของคนคิด บางทีอ่านก็อดจะขำ หรืออดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า “คืออะไร คิดได้ยังไง” ณ ตอนนี้ รถรุ่นใหม่ๆ ถ้าสไตล์ “แว๊นซิ่ง” ก็จะเน้น “สติกเกอร์” สีตอแห_ ๆ หน่อย มีในรูปแบบต่างๆ “ข้างประตู” บ่งบอก “ทีม” ที่อยู่กัน จะต้องมีคำว่า “Zing” หรือ “ซิ่ง” ตามตูดเสมอ หรือไม่ก็ “ชื่อเจ้าของรถ” หรือ “ชื่อผู้สนับสนุน” ที่นิยมก็จะมี “เสี่ย…” นำหน้าชื่อ เรียกว่า “บารมีมา” กันทีเดียว ถ้าเป็นสาวๆ จะเป็น “เจ๊…” ก็จะมีทั้ง “สาวซิ่งใจถึง” รถตัวเอง แต่งตังค์ตัวเอง สาวๆ เหล่านี้จะ “ดูมีเสน่ห์เหลือเกิน” ก็ต้องมีแปะสติกเกอร์ข้างกระจก “ขออภัยไม่ใช่รถผัว” แน่นวลลล…
< คำว่า “จัดหนัก” หรือ “น้อยๆ แต่ร้อยเปอร์เซ็นต์” นี่ส่วนมากต้องมี เออ แล้วก็นี่ “กิจการของเจ้าของรถ” ต่างๆ และต้องพ่วงกับ “ซิ่ง” บางทีก็ดูแปลกๆ ฮาๆ ดี เช่น ไก่สดซิ่ง ข้าวแกงซิ่ง มะม่วงซิ่ง ส้มซิ่ง หมูซิ่ง ผักสดซิ่ง ลูกชิ้นซิ่ง ทอดมันซิ่ง น้ำพริกซิ่ง ที่นอนซิ่ง กระพงซิ่ง ปลาสลิดซิ่ง เอวซิ่ง (อันนี้งงมากมันซิ่งยังไงวะ แต่ดูทรง “น้องนางคนขับ” ก็พอจะเข้าใจอยู่) ส่วนกระจกหลัง ก็ต้องแปะชื่อ “อู่” และ “ทีม” ต้นสังกัด ต้องแปะให้เต็มที่กันไป…
In Car
ย้ายมาดูด้านในรถกันบ้าง สายซิ่งเขามีอะไรที่ “ต้องโชว์” กันอีกเยอะ ภายในก็เป็นสิ่งที่เรา “สัมผัสได้” เพราะคุณก็ต้องหย่อนตูดลงนั่ง และชื่นชมกับทัศนียภาพในรถกันทุกครั้งที่ขับ โดยมากตอนนี้ก็จะเป็น “Trendy” ที่จะต้องมี Item นั้นนู่นนี่สำเร็จรูป มีอะไรบ้างเชิญชม…
เบาะ พวง เกจ์ กระจก ZOOM
< ถ้าเป็นสายซิ่งทั่วไป สามอย่างนี้ต้องมี เริ่มกันจาก “มาตรวัด” หรือ “เกจ์” ก็ต้องนี่เลย Defi ใคร “สายเหลือ” ก็ต้องจัดชุดใหญ่ 5-6 ตัว สีสันแพรวพราวยามราตรี วางเรียงเป็นตับ แต่คง “ดูไม่ทัน” ก็อาศัยตั้ง Peak Warning เอาแล้วกัน ซึ่งค่าที่เราจะตั้ง ต้อง “ศึกษา” ด้วยนะครับ ว่าเครื่องแต่ละรุ่น โมดิฟายสเต็ปไหน ควรจะ “ตั้งค่าเท่าไร” เพราะยังไงมันก็ไม่เท่ากันแน่ ทำงี้เพื่อบอกกับเราว่า เออๆ กูจะพังแล้วนะ คนขับจะได้ Save เครื่องยนต์เวลามีปัญหา…
< ถ้าไม่ใช่ Defi ก็ GReddy พวก “เรืองแสง” นี่แหละครับ อื่นๆ ก็ใส่ ZD Gauge อีกสักตัว วัดรอบอีกหน่อย ถ้าเหลือๆ หน่อยก็จอ Cluster ไปเลย!!! ส่วนกระจกมองหลัง ชั่วโมงนี้ต้อง ZOOM ครับ…
< ส่วน “เบาะ” ก็มีหลายแบบ สไตล์ Drag Racing ก็หนีไม่พ้น KIRKEY เป็นเบาะอะลูมิเนียม หลายคนเอามาใส่รถวิ่งถนน “เจ็บตูด” แล้วยิ่ง “โช้คซิ่ง” คันไหนเซตมาแข็งๆ หน่อยนะมึงเอ๊ยยย “รู้เฟือง” ไม่เป็นมิตรกับ “ริซซี่ดวงงงง” แน่นอน เพราะเราใช้ “ผิดประเภท” เพราะรถ Drag จะวิ่งด้วยเวลาน้อยมาก เขาไม่ได้ออกแบบให้คุณมานั่งนานๆ จะหล่อในแนวนี้ก็ต้องทำใจ…
< คันปากอีกเรื่อง ซื้อเบาะซิ่งใส่ได้ แต่ “ไม่คาดเบลท์” มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ อีกอย่าง เอาเบลท์เดิมติดรถไปคาดกับเบาะปีกสูงๆ มัน “ไม่คาดที่ตัว” นะครับ เวลา “ทิ่ม” เบลท์จะ “ล็อกช้ามาก” ดีเลย์ไปเยอะ โอกาสที่จะไปโหม่งกับพวงมาลัยซิ่งสุดสวยก็มีมากนะฮ้า…
< พวงมาลัยจริงๆ ไม่มีรูปแบบเยอะนัก หลักๆ ก็ต้อง “ก้านยก” นั่นแหละครับ แต่ก่อนก็ฮิต NARDI ตอนนี้ก็มา VERTEX ต้องปักสีๆ ที่วงด้วยถึงจะ “จ๊าบต๊ะ” มียี่ห้ออื่นๆ อีก ก็ OMP และต้องใส่กับ “คอพับ” ด้วยนะ แต่ถ้าคันไหนชอบแนวเรียบๆ หน่อย ก็มี NARDI CLASSIC ก้านดำ แล้วก็พวกของแต่งตรงยี่ห้อต่างๆ แล้วแต่ชอบ…
เรื่อง XX
< อ่ะน่า คิดมากก็ได้ไม่ว่ากัน กระผมจะว่าถึง “ค้ำตัวถัง” ยอดฮิตที่ยังไงก็ต้องมี คือ “X-Bar” ที่พื้นฐานมาจากแบรนด์ MIRACLE CROSS BAR จริงๆ แล้วมันเรียกว่า “ครอสบาร์” นะครับ แต่ใช้ X เป็นสัญลักษณ์ “กากบาท” แต่บ้านเราเรียก “เอ็กซ์บาร์” ไอ้นี่ผลิตขึ้นมาเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับรถที่ “เปิดตูด” เช่น 200 SX, Integra หรือพวก Hatchback พวกนี้ท้ายมันจะโล่งๆ ทำให้ตัวรถบิดง่ายกว่ารถซีดาน ก็เลยต้องทำ “ครอสบาร์” นี้ออกมา ซึ่งบ้านเราก็ฮิตมากในรถ Hatchback แล้วก็ลามไปสาย “กระบะ” ที่ทำไว้ “ค้ำปลายกระบะ” เน้นเท่ ตอนนี้จะให้สุดต้อง “ไทเทเนียม” นะคร้าบบ ส่วนค้ำเสา C ก็เหมือนกัน แต่ระวังเรื่อง “บังตอนมองกระจกหลังนะ” แค่นี้แหละ…
อะไรอีกล่ะ
< ถ้าเป็นอื่นๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น “พรมหมากรุก” สีแดงดำ สีน้ำเงินดำ หรือพรมพื้นตัวนอก ก็ต้องรถที่มีขายในญี่ปุ่น สาย JDM ทั้งหลาย “หัวเกียร์สีไทเทเนียมรุ้ง” ก็ดูฟรุ้งฟริ้งดีนะ แต่จอดตากแดดคงร้อนชิบไห จับทีมือพองแน่ “น้ำหอมรถซิ่ง” ก็มีทั้งแบบกระปุก กลิ่นยอดฮิตอะไรไปดมเอาเอง แล้วก็มีเป็นแบบ “แผ่นหอม” สารพัดกลิ่น แขวนที่กระจกมองหลัง แต่เตือนไว้ก่อนน้ำหอมพวกที่เป็น “เจลระเหย” อาจจะทำให้แอร์ตันได้เร็วกว่าปกตินะ…
สเต็ปการโมฯ โบไม่โบได้หมด
มาถึง “เครื่องยนต์” กันแล้ว ตอนนี้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ยอมรับว่า “แรง” ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนใหญ่จึงนิยมโมดิฟายเครื่องเดิมกัน มีหลายสเต็ปให้เลือกแบบ “สำเร็จรูป” พวกของโมดิฟายต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมายสไตล์ไทยแลนด์ เอาเป็นว่า ผมขอพูดถึงคร่าวๆ ก็แล้วกัน เพราะรายละเอียดต่างๆ ก็เคยเล่าให้ฟังกันไปแล้วครั้งหนึ่ง…
< ถ้าเป็นสาย “เบนซิน” ซื้อรถมาก็คงดิ้นรนหา “กล่องพ่วง” กันก่อน ทำให้แรงขึ้น และแก้ปัญหาเรื่องปลดล็อกความเร็วในรถบางรุ่น ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน รุ่นเกียร์ออโต้จะปลดยากกว่าเกียร์ธรรมดา กล่องพ่วงก็มีหลายสเต็ป ถ้าเครื่องเริ่มมี “ทำ” เพิ่ม เช่น เปลี่ยนกำลังอัด ปาดฝา สเต็ปถนนขับสนุก จนไปถึงเปลี่ยนแคมชาฟต์ ลูกสูบ ที่จะเริ่มเอาไปวิ่งหาเวลากันแล้ว ก็ต้องซื้อกล่องที่ “ฉลาด” ขึ้นไปอีกระดับ…
< ไม่พอใจก็ต้อง “เซตโบ” อันนี้มีทำกันมาตั้งนานแล้วครับ แต่ก่อนก็จะมีคนนิยมเอาเครื่องเดิมติดรถ หน้าตาซื่อๆ มาเซตเทอร์โบ ทำไส้ในถึงๆ ไว้ไปไล่แดกพวกเครื่องแรงๆ ตัวนอกที่วางมาใหม่ มัน “สะใจ” ดี ถ้าจะทำไว้ “ใช้งาน” ด้วย ก็ไม่ต้องบูสต์เยอะ ไม่เอาเทอร์โบใหญ่ไปจน “รอรอบ” เอาขนาดพอดีๆ มือ (แจ๊ะๆ) ให้การตอบสนองแบบ “ติดตีน” มากขึ้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไป Hard Core มาก เดี๋ยวมันจะพังซะก่อน…
< สาย “ดีเซล” อันนี้คงได้อ่านกันไปแล้วนะครับ จุดเริ่มต้น ก็ “กล่องยก กล่องดัน” รวมขายเป็น Package คู่ “หมื่นเก้าห้า” พร้อมจูน เพิ่มบูสต์อีกหน่อย ส่วนการ “เปลี่ยนเทอร์โบ” สเต็ปแรกก็ต้อง “โบสามพัน” จาก ISUZU 4JJ1-TCX จะหมกจะอะไรก็ว่าไป ไปยัน “F55” ที่ตอนนี้เล่นกันดุเดือดเหลือเกิน เป็นเทอร์โบที่วิ่งถนนก็ไม่เลว อยู่กลางๆ แต่ตอนนี้ทำกันเลยเถิดไปนู่น เคยนำเสนอไปแล้วก็ไม่พูดซ้ำนะ…
< ส่วน “สีสันในห้องเครื่อง” สายเบนซิน ก็จะเน้น “พ่นสีฝาวาล์ว” ก่อนเลย โดยมากมักจะเป็นสีเดียว เช่น แดง Type R นี่โคตรฮิต เป็นสีย่นๆ ถ้าเป็น “สายดีเซล” ก็จะเน้น “ลวดลายวิจิตรพิสดาร” พวกท่ออินเตอร์ต่างๆ ก็เล่น “ไทเทเนียม” ตอนนี้ลามไปทั้งห้องเครื่องแล้ว อุปกรณ์อะไรที่ทำได้ก็ทำทั้งหมด เปิดมาจะดูไฮโซมาก อย่างน้อยต้องมี “สองแสนอัพ” เฉพาะงานไทเทเนียมนะครับ ที่สำคัญ “ต้องฉลุลายเป็นชื่อเจ้าของรถ” อันนี้ขาดไม่ได้เพราะเป็นคนจ่ายตังค์…
< แล้วก็ใส่พวก “หัวต่อสี” สายซิ่งเรียก “หัวฟุตติ้ง” จริงๆ แล้วมันต้องเรียกว่า “ฟิตติ้ง” (Fitting) สายต่างๆ ก็แล้วแต่ “สายถัก” หรือ “ซิลิโคนสี” ต้องระวัง บางที่เล่นของถูก เป็นซิลิโคนเกรดต่ำกว่าของเดิม พวกนี้จะไม่ค่อยทน ใส่ท่ออากาศเล็กๆ ล่ะพอได้ แต่ถ้าไปใส่ท่อที่มี “แรงดัน” ต่างๆ ไม่แนะนำ พวกนี้ของไทยมีขายเยอะแยะครับ เกรดดีๆ ก็มีให้เลือกซื้อกัน ของจุกจิกอื่นๆ ที่มี เช่น “ถุงครอบกระปุกน้ำมันเบรก” อะไรอีกวะ “ฝาเติมน้ำมันเครื่อง” แล้วก็ “แผ่นปิดอุด EGR วาล์ว” สีสันต่างๆ ไปยัน “พูลเลย์ซิ่ง” ที่ทำจาก “ปิเนียม” เอ้ย “อะลูมิเนียม” เล่นเอาสีสันตาลายไปหมด…
Footwork Step
เอ้า เรื่องสุดท้ายแล้ว แค่นี้ก็ล้นจน “อ้อย คลองแปด” ฝ่ายศิลป์รุ่นขุ่นแม่จะด่าเอา สำหรับ “ช่วงล่าง” ก็พูดถึงหลักๆ ก็แล้วกันนะ ว่าใครจะชอบสไตล์ไหน และการใส่อุปกรณ์บางสิ่งอย่างมีข้อควรระวังอะไรบ้าง…
< โช้คอัพและสปริง ตอนนี้ก็เลือกซื้อเอาตามชอบใจ ถ้าเป็น “สายเก๋ง” เริ่มกันจาก “สปริงโหลด” ที่ใส่กับโช้คเดิมได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เน้นขับเร็วนัก แต่อยากได้รถเตี้ยๆ หน่อย แล้วก็มายอดฮิต “สตรัทปรับเกลียว” ที่ตอนนี้พัฒนาคุณภาพไปเยอะ เริ่มต้น “สามหมื่นมีทอน” และเป็นแบบ “ปรับสไลด์ที่กระบอก” ไม่ได้ไปปรับที่เบ้าสปริงเหมือนรุ่นก่อนๆ แถมยังมีปรับค่าได้หลายสิบระดับ ก็ต้องจับอาการกันให้ได้ว่าลงตัวที่จุดไหน…
< แล้วก็ยอดฮิตอีก คือ “ค้ำช่วงล่าง” ก็จะมีค้ำหลายแบบ ค้ำโครงแชสซีแบบ 4 จุด ก็จะทำให้รถบิดตัวน้อยลง แต่ที่ฮิตมากๆ คือ “ค้ำช่วงล่างหลัง” เกิดจาก HONDA CIVIC ที่ใช้ช่วงล่างหลังแบบอิสระ ที่จุดยึดปีกนกที่ตัวรถมันจะห้อยเป็น “ติ่ง” ความแข็งแรงได้ระดับหนึ่ง ถ้าเล่นแรงๆ ต้อง “ค้ำ” ให้มันแข็งขึ้น มุมล้อจะเปลี่ยนน้อยลง มาจากสายเซอร์กิตตั้งนานแล้ว…
< การใส่ค้ำพวกนี้ต้องพิจารณานะครับ ผมก็แปลกใจที่รถช่วงล่างแบบ Torsion Beam หรือ “คานบิด” ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่แบบอิสระ ก็นิยมค้ำกันด้วย ใส่แล้วมันจะ “แข็งขึ้น” ถ้าใส่โช้คและสปริงแข็งอยู่แล้ว ใส่ไอ้นี่จะกลายเป็นแข็งเกินไป เลี้ยวเร็วๆ ท้ายจะไหลได้ง่าย ขับดูก็รู้ครับว่าใส่แล้วเป็นไง ไอ้ค้ำแบบปกติไม่เท่าไร แต่บางคันใส่ค้ำแบบ “เตี้ยลากดิน” ต้องระวังนะครับ ใส่แล้วก็ดูด้วยว่ามันจะมีประโยชน์ หรือ ทำอันตรายให้ได้หรือเปล่า…
< พวก “ปีกนกมิเนียม” ก็เหมือนกัน ของแต่งแท้ๆ มันจะ “เหนียว แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา” ส่วนของแต่งแบบเหมือนๆ บางอันก็คุณภาพไม่ถึง โลหะเป็นเกรดที่ราคาถูกลง คุณภาพก็ต่ำลงด้วย ตกหลุมแรงๆ ระวัง “ปีกนกขาด” ก็แล้วกัน ใส่ได้แต่ขับระวังๆ อย่าเผลอละกัน…
< ส่วน “เบรก” ตอนนี้ไม่ยาก เพราะมี “ของสำเร็จรูป” ให้เล่นกันเยอะ จะแท้หรือเหมือนแท้ คุณภาพและราคาก็ลดหลั่นกันไป แบรนด์นิยมก็ ENDLESS และ BREMBO หรือ PROJECT Mu ก็แล้วแต่นิยม สีสันสดใส ขนาด 4-6 pot ก็แล้วแต่ขนาดรถที่ใส่ ถ้าสายกระบะต้อง 6 pot ถึงจะสวย เพราะใส่ล้อใหญ่อยู่แล้ว หรือคนที่นิยม “สายแปลง” คงไม่ต้องบอกนะว่า SKYLINE ฮิตเพียงไร ตอนนี้มีตัวนิยมเพิ่มขึ้น คือ “เบรก 3 ยู” หมายถึง LEXUS หรือ CELSIOR ที่เป็นเครื่อง 3UZ-FE ซึ่งชุดเบรกมีขนาดใหญ่ หน้าตาเรียบร้อย เบา ราคาไม่แรงนัก นิยมเอามาแปลงใส่กันครับ…
จบดีฝ่า
บทสรุป คำว่า Street Style มันก็คือ “แนวรถวิ่งถนน” เหมาะสำหรับผู้ที่มีรถเพียงคันเดียว มันจะต้อง “ไม่สุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง” ทำออกมาแล้วต้องขับได้อย่างไม่ทรมาน แรงพอประมาณ ขับสนุก แต่งสวยๆ เน้นใช้ของที่มีคุณภาพเหมาะสม ผมไม่ได้บอกให้ใช้ของแพงเริ่ดๆ มันจะดีเสมอไปนะ หรือบางอย่างก็ไม่ควรจะใช้ของถูก คุณภาพไม่ถึง โดยเฉพาะ “จุดที่เกี่ยวกับความปลอดภัย” บนสรุปที่สำคัญของการแต่งรถ Street Style คือ “เพิ่มสมรรถนะและความสวยงามให้กับตัวรถ ในรูปแบบที่วิ่งถนนได้โดยไม่เดือดร้อน” ต้องหาจุดพอดีให้เจอ แล้วจะแต่งรถ ขับรถได้อย่างมีความสุข…
สวัสดีปีใหม่…
อินทรภูมิ์ แสงดี (พี สี่ภาค)
ปอลิง : ทำรถแล้วก็ไปซิ่งกันในสนามนะ อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน Goo ขอร้อง